ตอนที่ 434 ถูกศิษย์บงการกลับ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 434 ถูกศิษย์บงการกลับ

ฉินหลิวซีแวะไปหอเก็บตำราของอารามเพื่อค้นหาค่ายอาคมคุ่นเซียนตามที่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนว่าไว้ ในตำราประวัติศาสตร์ไม่ปรากฏ ทว่าในประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการซึ่งกล่าวถึงบุคคลสำคัญเล่มหนึ่งกลับค้นเจอบันทึกขอจิ่วหยางเจินเหริน

เจ้าหุบเขาแห่งหนึ่ง ขอบเขตขั้นปราณทอง เป็นยอดฝีมือเรื่องค่ายกล ค่ายอาคมคุ่นเซียนและค่ายอาคมเคลื่อนย้ายดวงดาราล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกของเขา ในนั้นบันทึกความสุดยอดของค่ายอาคมคุ่นเซียน รวมถึงข้อมูลการจัดวางบางส่วน

นักเขียนผู้บันทึกประวัติศาสตร์ไม่เป็นทางการของบุคคลสำคัญเล่มนี้เป็นศิษย์ของสำนักชิงผิง บางทีอาจแค่ฟังมาจากคนรุ่นก่อนๆ ทว่าไม่รู้ถึงแก่นแท้ค่ายกลของค่ายอาคมคุ่นเซียนอย่างแท้จริง เพียงบรรยายคร่าวๆ ไว้เท่านั้น

ฉินหลิวซีนำมาเทียบกับชิ้นส่วนนั้น ซึ่งละม้ายคล้ายค่ายอาคมคุ่นเซียนนัก

หากเพิ่มเติมจนครบสมบูรณ์ได้ ไม่แน่อาจมีไม้เด็ดเพิ่มขึ้นมาปกป้องชีวิตจริงๆ ก็ได้

นางสังหรณ์ใจว่านางจะได้ต่อกรกับซื่อหลัวเข้าจริงๆ นี่ไม่ใช่เพราะคิดว่าตนเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่คอยช่วยเหลือใต้หล้านี้หรอกนะ แต่รู้สึกว่าตนเป็นตัวโชคร้ายดวงซวย สวรรค์ไม่มีทางให้นางใช้ชีวิตอย่าสุขสบายแน่นอน!

จิ๊ สัญชาตญาณแบบนี้มันช่างน่าหงุดหงิดใจนัก

พับ ฉินหลิวซีปิดหนังสือลง ครั้นหันหน้าไปก็เห็นศิษย์ตัวน้อยจัดเรียงหนังสือที่วางเอียงอยู่ให้เป็นระเบียบ พลันมุมปากก็กระตุกทันที

ขณะที่หมายจะเอ่ยบางอย่าง นางก็เห็นเขาสำรวจรอบกายก่อนจะถอนหายใจ

“มีเรื่องลำบากใจอะไรหรือ ไยจึงต้องถอนหายใจด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม

เถิงเจามองมา เอ่ย “ห้าพันตำลึงเงินสามารถสร้างหอใดได้หรือไม่ขอรับ”

ฉินหลิวซีชะงักไป “จะสร้างหออะไรหรือ”

เถิงเจาชี้ไปที่หอเก็บตำราเล็กๆ เอ่ย “ตอนเด็กๆ ข้าเคยไปเมืองเซิ่งจิง บ้านตระกูลเซิ่งแถบชานเมืองตะวันตกมีอารามเต๋านามว่าวัดจินหัว ผู้คนมากราบไหว้มากมาย ชื่อเสียงโด่งดัง เพื่ออาการป่วยของข้า พ่อเคยพาข้าไปพักในวัดจินหัวระยะหนึ่ง วัดจินหัวมีหอตำราชื่อว่าหอไจซิง สูงราวเก้าจั้ง มีเก้าชั้น ยอดหลังคาสามารถมองเห็นนอกเมืองเซิ่งจิงได้ ปีนขึ้นหลังคาไปก็เปรียบดั่งเส้นทางก้าวสู่ขั้นเซียนเทพ”

ฉินหลิวซีสะบัดปลายเล็บเล็กน้อย “แล้ว?”

“วัดอู๋เซียงเองก็มีหอเก็บคัมภีร์หลังหนึ่ง ห้าชั้น”

“ดังนั้น?”

“อารามชิงผิงของเราก็ควรทำหอสูงสักหลังบ้างหรือไม่ หอตำราสูงตระหง่านมองเห็นแต่ไกล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ด้วยเช่นกัน” เถิงเจาเอ่ย

ฉินหลิวซีมองเขา ผ่านไปนานถึงเอ่ย “เจาเจา เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว”

เถิงเจามุ่นคิ้ว “?”

“ฟุ้งเฟ้อขึ้นแล้ว”

เถิงเจาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “ข้าแค่รู้สึกว่า หอเก็บตำราจะดูแร้นแค้นไม่ได้”

“เจ้าพูดถูก” ฉินหลิวซีตบหน้าขาที “คนอื่นมีเราเองก็ต้องมี ต้องทำอารามชิงผิงของเราให้งดงามโอ่อ่า กลายเป็นอารามใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า แร้นแค้นเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน สร้าง พวกเราสร้างไปเลยเจ็ดชั้น ต้องแขวนกระดิ่งด้วย สลักด้วยสัตว์มงคล ไม่เพียงแต่เป็นหอเก็บตำราที่สูงลิ่ว แต่ยังเป็นหอปราการอารามด้วย”

เถิงเจาถอนหายใจ

“เช่นนั้นจะใช้ห้าพันตำลึงนั่นหรือ แต่เป็นเงินใช้สอยที่พ่อให้เจ้าเชียวนะ”

เถิงเจาเอ่ย “ข้ามีท่านอาจารย์ขอรับ ไม่หิวตายหรอก”

ฉินหลิวซีตื้นตันใจแทบตาย “ศิษย์ที่น่ารัก”

เถิงเจาคว้าหยิบตำราศาสตร์การวางผังให้นาง “หากจะทำเป็นหอปราการอารามด้วย ตอนลงเสาเอกคงต้องวางผังค่ายกลด้วยกระมัง ท่านลองเอาไปไตร่ตรองดูดีหรือไม่ขอรับ”

ฉินหลิวซี “?”

ไม่สิ นางเพิ่งเป็นอาจารย์มิใช่หรือ เหตุใดถึงถูกศิษย์บงการกลับได้เล่า

เนรคุณจริงๆ!

เข้าสู่ช่วงส่งท้ายปี กิจการร้านค้าผลไม้แช่อิ่มก็ดีขึ้นเรื่อยๆ สะใภ้หวังฉวยโอกาสนี้ทำขนมแป้งนุ่มนมเปรี้ยวขึ้นมา โดยทำขึ้นจากนมที่หมักจนกลายเป็นนมเปรี้ยว ไข่ไก่ และผงแป้งละเอียด หลังจากทำเสร็จด้านนอกก็โรยด้วยเกล็ดน้ำตาล เมื่อตักเข้าปากมีรสชาติเปรี้ยวหวานนุ่มนวล ช่วยย่อยได้ดี

นี่เป็นขนมเพียงหนึ่งเดียวของร้านผลไม้แช่อิ่ม นางจัดการแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ โรยเกล็ดน้ำตาล ซึ่งขายดิบขายดีอย่างมาก แค่แนะนำก็ได้รับการตอบรับที่ดีไม่น้อย ยอดขายก็พุ่งเพิ่มขึ้นด้วย

ดังนั้นช่วงนี้สะใภ้หวังจึงวุ่นสุดๆ จนมือไม้พันกันไปหมด ทว่านางกลับกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาเป็นประกายสุกใส

แต่พอกิจการไปได้ดีย่อมมีคนอิจฉา

สะใภ้หวังคิดไว้แล้วว่าต้องมีคนอิจฉา ทว่าคนที่ไม่อยากอิจฉาร้านค้าของนางเลยคงเป็นตระกูลติงที่ก่อนหน้านี้เคยโหดเหี้ยมต่อพวกเขาดั่งงูและแมงป่อง สิ่งที่ชวนให้รู้สึกหน้าไม่อายที่สุดก็คือสีหน้าที่ฉายแววละโมบโดยไม่คิดปิดบังสักนิด รวมถึงแสดงท่าทีว่าตระกูลข้ายอมซื้อของด้วยก็นับว่าเป็นบุญมากแล้วก็มิปาน

นี่จึงทำให้สะใภ้หวังสะอิดสะเอียนใจเหลือเกิน

“ฮูหยินฉิน ซื้อรวมกับสูตรของทางร้านราคาแปดร้อยตำลึงเงินขาดตัว เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีของสองตระกูลเราในอดีต ได้ยินมาว่าท่านผู้เฒ่าและเหล่าคุณชายทั้งหลายของตระกูลใช้ชีวิตในซีเป่ยไม่ค่อยราบรื่นนัก หากมีเงินตำลึงนี้ อย่าว่าแต่เรื่องอื่นเลย ก็คงจะทำให้พวกเขาได้สบายขึ้นบ้างแน่นอน ขอเพียงพวกท่านยอมขายร้านนี้ให้พวกเราเสีย นายหญิงของเราเกริ่นบ้างแล้วว่ายินดีขอร้องใต้เท้าหาเส้นสายทางซีเป่ยช่วยไกล่เกลี่ยให้”

สะใภ้หวังชายตามองผู้ดูแลหลิวที่ติดตามฮูหยินติงสามผู้นี้มา เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “คงไม่รบกวนให้ฮูหยินสามของท่านต้องเป็นกังวลไป เพราะร้านนี้ข้าไม่ขาย”

ผู้ดูแลหลิวหน้าหม่นลงทันที ทว่าพยายามฝืนไว้ เอ่ยเสียงทอดถอนใจ “ฮูหยินฉิน ตอนนี้ไม่เหมือนดั่งอดีตแล้ว เดิมทีสตรีเปิดกิจการร้านค้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ก็นับว่าผิดธรรมเนียมไร้ขื่อแป หากเจอคนอันธพาลในท้องถิ่นขึ้นมา ชื่อเสียง…”

“คนอันธพาลในท้องถิ่น ก่อนหน้านี้พวกเราก็เจอที่นี่” สะใภ้หวังฉีกยิ้มกล่าว “โชคดีที่ตอนนั้นใต้เท้าอวี๋แวะเวียนมาซื้อผลไม้แช่อิ่มให้ฮูหยินพอดีเลยไล่ไป ใต้เท้าอวี๋เห็นแก่วันวาน ยังจำที่ข้ากับสามีเคยร่วมท่องเที่ยวด้วยกันในปีนั้นได้เลยเชิญองครักษ์ประจำเมืองมาช่วยลาดตระเวนให้บ้างเป็นครั้งคราว ร้านจึงปลอดภัยดี”

ส่วนเรื่องชื่อเสียง ร้านค้าที่นางทำก็เป็นไปอย่างถูกต้อง จะไร้ขื่อแปได้เช่นไร

ช่างน่าขันนัก

ผู้ดูแลหลิวสีหน้าเปลี่ยน “ใต้เท้าอวี๋หรือ”

“ใช่แล้ว ใต้เท้าอวี๋ชิวไฉ” สะใภ้หวังยกชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง พลันดวงตาก็เป็นประกาย ลุกขึ้นยืนก่อนหยิบผลไม้แช่อิ่มที่ห่อเตรียมไว้นานแล้วมาตรงหน้าประตู เอ่ยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “พี่ๆ ทั้งหลายต้องทำงาน วันอากาศหนาวๆ เช่นนี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว นี่เป็นห่อผลไม้แช่อิ่มเอาไปไว้กินเล่นกันเถิด”

“เถ้าแก่เนี้ยอย่าเกรงใจไปเลย” หัวหน้าอมยิ้มพร้อมโบกมือ “หยิบเอาไปทุกรอบ เปลืองของเสียเปล่าๆ”

ผลไม้แช่อิ่มของร้านหรูอี้อร่อย แถมราคาไม่แพง เพียงแต่สินค้าออกใหม่ขนมแป้งนุ่มนมเปรี้ยวอะไรนั่นราคาค่อนข้างสูง ร้านค้าทำมาค้าขายกำไรเล็กน้อยจะเอาไปทุกรอบก็คงไม่ดี

“ไม่เท่าไรเอง ลำบากที่พวกเจ้าต้องคอยลาดตระเวนถึงทำให้เหล่าประชาราษฎร์อย่างพวกเราได้ทำมาค้าขายอย่างเป็นสุข” สะใภ้หวังยังคงยัดใส่มือไปให้

คนเหล่านั้นปฏิเสธไม่ลง แถมยังนิ่งดูดายเฉยๆ มิได้ พลางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ขอรับไว้อย่างไม่ละอายใจแล้วกัน หากมีพวกอันธพาลที่มีตาหามีแววไม่มาก่อกวนอีก ขอแค่บอกมาได้เลย”

เขาเหลือบมองผู้ดูแลหลิวแวบหนึ่ง กวาดมองอย่างละเอียด

องครักษ์ประจำเมืองไม่กี่คนเดินจากไป สะใภ้หวังหันมา พลันก็เห็นสีหน้าถมึงทึงของผู้ดูแลหลิวซึ่งไม่ได้ผิดจากที่นางคาดคิดไว้สักเท่าไร

ผู้ดูแลหลิวลุกขึ้นมองไปทางสะใภ้หวัง เอ่ย “ฮูหยินฉินลองใคร่ครวญดูเถิด สตรีที่ทำการค้าย่อมมีปัญหาวุ่นวายมากมายตามมา”

“ไม่ส่งแล้วกัน”

ผู้ดูแลหลิวแค่นเสียงเหอะก่อนจะสะบัดชายผ้าเดินจากไป

สะใภ้หวังมองแผ่นหลังของนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฉินอิงเหนียงเดินเข้ามาหา เอ่ยขึ้นว่า “ตระกูลติงหน้าไม่อายจริงๆ เสียแรงที่เมื่อก่อนท่านพ่อเคยช่วยเหลือพวกเขาอยู่หลายครั้ง น่าขยะแขยงเสียจริง”

“พอไร้เงินไร้อำนาจก็เย็นชาใส่”

ฉินอิงเหนียงมุ่นคิ้วกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเขาแย่งไปไม่สำเร็จ คงไม่ใช่ไปหาวิธีสกปรกมาจัดการลับหลังเราหรอกกระมัง พวกเราบอกเจ้าหนูซีดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ตอนนี้อย่าเลย ให้ลูกน้องระวังตัวไว้สักหน่อย อย่าให้ใครทำอะไรเด็ดขาด” สะใภ้หวังขบคิด จากนั้นก็ให้นางเตรียมของกำนัลสี่ชนิด โดยเฉพาะขนมแป้งนุ่มนมเปรี้ยว วางแผนให้ติงหมัวหมัวที่ติดตามข้างกายเอาไปให้ตระกูลอวี๋ด้วยตัวเอง

พี่หญิงใหญ่น้องหญิงสะใภ้ทั้งสองต่างไม่รู้ว่าภายในร้านค้ามีผีรับใช้ตัวหนึ่งคอยจับตาดูอยู่ พอร้านปิด เจ้านั้นก็รีบนำข่าวไปรายงานทันที!