บทที่ 332 ตอนจบ (1)
บทที่ 332 ตอนจบ (1)
ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจอยู่มาก แต่ก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าเด็กสาวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น รีบชี้นิ้วไปด้วยความตื่นเต้นทันที ในที่สุดความจริงก็พิสูจน์แล้ว “เห็นไหม? เห็นไหมเล่า? นางฟื้นแล้ว! ก็บอกแล้วว่าข้าพูดความจริง!”
โหลวจวินเหยาได้ยินจึงหันกลับมา เด็กสาวหรี่ตาลงครู่หนึ่ง สีหน้าดูฉงนอยู่บ้าง ราวกับร่างไร้วิญญาณ เขาพลันรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ เอื้อมมือไปคว้ามือนางมากุมไว้ มันยังคงเย็นน้อย ๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“จิ้งจอกน้อย…..” เขาเอ่ยคำเบา ๆ ราวกับกลัวจะทำให้นางตกใจ
ดวงตากลมโตของนางกะพริบหลายครา ก่อนจะค่อย ๆ คืนสติ เคลื่อนสายตาไปมองคนที่มีสีหน้าเป็นห่วงข้างกาย ค่อย ๆ ตื่นขึ้นเต็มตา
มันเป็น….. แค่ฝันสินะ
มันเหมือนจริงนัก นางก็คิดว่า….. เรื่องทุกอย่างมันย้อนกลับมาอีกครั้งเสียอีก
เรื่องทั้งหมด….. เหมือนจริงนัก
แต่ว่า…..
สายตานางชะงักค้าง พลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้
เมื่อครู่เหมือนนางจะได้ยินเสียงท่านปู่ นั่นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นแค่ฝันกัน?
“แม่นางน้อย….. คงไม่ได้ความจำเสื่อมกระมัง?”
เห็นชิงอวี่มีสายตาสับสนมึนงงเช่นนั้น ไม่ตอบสนองอยู่หลายชั่วอึดใจ ไป๋จือเยี่ยนจึงมีสีหน้าจริงจัง ถามนางขึ้นด้วยเสียงเป็นกังวล “รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?”
ภาพฉากนี้ ดูคุ้นตาไม่ใช่น้อย
เมื่อครั้งอยู่แดนมุกหยก ตอนร่างวิญญาณนางออกจากร่างจริง และนางฟื้นขึ้นมาหลังหมดสติไปหลายวัน ชายหนุ่มก็ถามว่าจำเขาได้ไหมเช่นนี้เหมือนกัน ซึ่งมองแล้วก็น่าขำไม่น้อย
ชิงอวี่จึงจ้องเขานิ่งไม่เอ่ยคำ
ไป๋จือเยี่ยนเห็นแล้วยิ่งตกใจ ใบหน้าหล่อเหลายับย่นไปหมด “ดูท่าจะจำข้าไม่ได้จริง ๆ ข้าคงต้องไปรื้อสูตรยาดูว่ามีตรงไหนที่ผิดไปหรือไม่….”
“เจ้านี่เสียงดังจริง” เด็กสาวพลันเอ่ย ขัดเสียงพูดไม่หยุดของเขาเอาไว้
ไป๋จือเยี่ยนชะงักไปชั่วขณะก่อนเอ่ย “เจ้า…..”
“ข้าไม่ได้ความจำเสื่อม” ชิงอวี่เปิดปากไขข้อสงสัย
“แล้วทำไมถึงได้หมดสติไปนานนัก? เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” ไป๋จือเยี่ยนมุ่นคิ้วถาม
ชิงอวี่ดูประหลาดใจ หันมามองหน้าชายหนุ่ม “ข้าหมดสติไป….. นานเลยหรือ?”
“เกือบยี่สิบวัน” โหลวจวินเหยาตอบเสียงทุ้ม
“ข้านอนไปนานขนาดนั้นเชียว…..” ชิงอวี่พึมพำเสียงเบาแล้วยกมือขึ้นปิดตา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ บรรยากาศรอบกายถึงได้ดูหดหู่เช่นนั้น
ชายหนุ่มจ้องเด็กสาวนิ่ง โหลวจวินเหยามองนางสายตาล้ำลึก ดูท่าทางเป็นห่วง “เป็นอะไรไปหรือ? หรือว่ายังไม่สบายที่ตรงไหน…..”
ประโยคที่พูดไม่ทันจบพลันหยุดลงที่ตรงนั้น
เพราะเด็กสาวพลันเอื้อมแขนมาคล้องคอเขาไว้แล้วซุกศีรษะลงบนไหล่ ก่อนเอ่ยเสียงเบาขึ้น “ข้าสบายดี แค่รู้สึกโชคดีนักที่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็เท่านั้น…..”
คำพูดนางราวกับเพิ่งเลือกเป็นเลือกตายมา เพิ่งจะรอดพ้นจากฝันร้ายน่ากลัวมาก็มิปาน
ซึ่งก็ไม่ต่างจากความจริงไปมากเท่าไหร่
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าฝันนั่นยาวนานและน่ากลัวมากเพียงไหน ทุกอย่างที่ฉายกลับมาในใจอีกครั้งหนึ่ง มันช่างกดดันมากเสียจนนางแทบหายใจไม่ออก
เมื่อไป๋จือเยี่ยนเห็นท่าทางทั้งสองคนแล้ว จึงปลีกตัวออกมาอย่างรู้ความ ในตอนนี้ในห้องจึงเหลือคนเพียงสอง เงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันชัดเจน
เด็กสาวไม่พูดอยู่นาน เพียงแต่กอดเขาไว้แน่นเท่านั้น ไม่คลายอ้อมแขนสักนิด
แม้โหลวจวินเหยาจะไม่รู้ว่านางพบเจออะไรในความฝันบ้าง แต่ทำให้เด็กสาวที่เข้มแข็งถึงกับแสดงความอ่อนแอไม่สบายออกมาได้มากเช่นนี้ เขาก็พอจะเดาออกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
“ชู่ว ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว”
โหลวจวินเหยาเคลื่อนวงแขนไปที่เอวนาง แล้วยกอีกมือขึ้นลูบหลังนางเบา ๆ เด็กสาว เอ่ยปลอบโยนนางด้วยเสียงอ่อนโยน
“คนคนนั้นจะไม่ปรากฏขึ้นอีกแล้ว เขาตายไปแล้ว เจ้าลืมแล้วหรือ?”
ได้ยินแล้วชิงอวี่ก็อึ้งไป
ชิงเทียนหลิน….. ตายแล้วหรือ?
ใช่แล้ว นางยังจำได้เด่นชัดว่าคนผู้นั้นกรีดเสียงร้องลั่นจนเสียงแหบก่อนจะตายไป
นางยังจำนักฆ่าใบหน้าหล่อเหลาคนนั้นได้ คนที่มือเปื้อนเลือดคนมานับไม่ถ้วน แต่กลับมีวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์นัก เขาพูดไว้ว่า “อย่าลืมข้า”
เขา….. ตายไปแล้ว…..
เขากระโดดเข้าประตูนั่นไปพร้อมกันกับชิงเทียนหลินเพื่อช่วยนาง
คิดดูแล้ว ชิงอวี่ก็เจ็บปวดใจจนหน้าซีดไปเล็กน้อย
ทำไมการตายของคนคนนั้นได้ลืมไม่ลงเช่นนี้? พวกนางพบกันไม่กี่ครั้ง ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากมายด้วยซ้ำ
ในตอนนั้น ราวกับโหลวจวินเหยาใจเชื่อมถึงนาง เขาค่อย ๆ เอ่ยคำขึ้นว่า “เมื่อหลายปีก่อน ข้าได้ยินอาหลานเล่าเรื่องคนชื่อซีจ้านเฉินให้ฟัง นางบอกว่าหลายปีก่อน ก่อนเจ้าจะเกิด ยังอยู่ในครรภ์นาง เจ้ากับเขาก็เกี่ยวพันกันแล้ว…..”
“พอเจ้าเกิดมา เจ้าก็ขี้โรคอ่อนแอนัก แทบเอาชีวิตไม่รอด และด้วยเลือดจากเผ่าอสรพิษนั้นมีคุณสมบัติน่าอัศจรรย์ เจ้าจึงถูกป้อนเลือดเขาเข้าร่างไป ทำให้เจ้ารอดชีวิตมาได้ จากนั้นมาพวกพืชพิษสัตว์พิษทั้งหลายก็ไม่อาจทำอันตรายเจ้าได้ และเจ้าก็มีร่างกายแข็งแรงมาตลอด แทบไม่เจ็บไข้ได้ป่วย”
พูดถึงตรงนี้ โหลวจวินเหยาก็เงียบไปน้อย ๆ ก่อนเล่าต่อ “อาหลานบอกว่าข้อแม้หนึ่งเดียวในการช่วยชีวิตเจ้าในตอนนั้นคือให้เจ้าอยู่ข้างกายเขาตลอดไป แต่ไม่รู้ทำไมสุดท้ายเขาถึงได้ปล่อยเจ้าไป”
โหลวจวินเหยาเอ่ยจบแล้ว ภาพทั้งหลายก็แล่นผ่านห้วงคำนึงของชิงอวี่ในทันที
ทั้งหมดล้วนเป็นภาพใบหน้านิ่งขรึมไม่เจือยิ้มของซีจ้านเฉิน มีแต่ตอนเห็นนางเท่านั้นใบหน้านั่นจึงเจือรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมา
เขาดูเหมือนเดิมในภาพฉากเหล้านั้น แต่นางกลับเป็นเด็กหญิงตัวจ้อยที่เพิ่งจะหัดพูดได้ไม่นานเท่านั้น
“ท่าน….. จะจ้องข้าทำไมกัน?” น้ำเสียงเด็กน้อยบริสุทธิ์ของนางเอ่ยเสียงอู้อี้ ปากเล็ก ๆ บุ้ยไปมาด้วยความไม่พอใจ
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยคำว่า “เพราะข้าชอบเจ้า จึงอยากมองเจ้า เกรงว่าต่อไปคงไม่ได้พบเจ้าแล้ว”
ชิงอวี่เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
นางจินตนาการไปเองหรือ?
มันกระจ่างชัดราวกับเป็นความทรงจำของนางเอง ไม่เหมือนความทรงจำที่เป็นของเจ้าของร่างนี้เลย
แต่….. เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน?!
ที่ครั้งแรกได้พบกันแล้วนางรู้สึกคุ้นหน้าเขา เป็นเพราะ….. นางรู้จักเขามาก่อนหรือ?
หรือเขาจะมีความสามารถน่าทึ่ง สามารถพยากรณ์จุดจบของตนเองได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วอย่างนั้นหรือ?
“อาเหยา…..” นางเรียกเขาเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
โหลวจวินเหยาใจสะท้าน รู้สึกเจ็บปวด เอ่ยตอบเสียงทุ้ม “ข้าอยู่นี่”
“คนมากมายต้องตายเพราะข้า ข้าเกรงกลัวเรื่องเหล่านั้นนัก แต่ข้าก็ไม่อาจทำอะไรเพื่อหยุดยั้งมันได้เลย มันเป็นความผิดของข้างั้นหรือ? หากไม่เป็นเพราะข้า ตอนนี้พวกเขาก็คงจะยังมีความสุขอยู่สักที่ไหนสักแห่งกระมัง”
นางพึมพำออกมาเสียงแผ่ว ดูเหมือนเกลียดตัวเองนัก
โหลวจวินเหยายิ่งกอดนางให้แน่นขึ้น “ไม่ใช่ความผิดเจ้าเลย ผิดที่ใจคนชั่วที่มีความกระหายอยากเหล่านั้นต่างหาก ส่วนคนที่ตายไป เบื้องหลังการตายของพวกเขามีความหมาย สิ่งที่พวกเขากระทำไม่ไร้ค่า ไม่แน่ว่าอาจไม่ตายไปจริง ๆ เพียงแต่เลื่อนชั้นไปใช้ชีวิตอยู่ในแดนสูงเท่านั้นก็ได้”
“จริงหรือ?”
ชิงอวี่หลุบตาลง ขนตายาวบดบังอารมณ์ในนัยน์ตาเอาไว้
เช่นนั้นท่านปู่ก็เช่นกันหรือไม่?
ที่เดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่อาจให้นางได้พบหน้าอีก
“ชิงเอ๋อร์ของข้า ในที่สุดก็ฟื้นสักที…..”
น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งพลันดังขึ้นที่นอกประตูห้อง มันเจือเสียงสะอื้นเล็กน้อยราวกับเพิ่งผ่านภัยอันตรายมาได้
ชิงอวี่ชะงักไป ก่อนจะเงยหน้ามองข้ามไหล่ชายหนุ่ม
ชิงหลานเฟยยังคงอยู่ในชุดสีแดงสะดุดตาดังเดิม แม้ตอนนี้จะยังดูอ่อนแอไปบ้างเพราะเพิ่งหายดี แต่ดวงหน้าก็ยังมีเสน่ห์จับตาไม่เคยเปลี่ยน
ม่อจิ่งอวี้ในชุดขาวยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าหล่อเหลางดงามไร้ที่ติ
ทั้งสองยังดูเหมาะสมกัน แม้ตอนนี้จะเป็นพ่อแม่ที่มีลูกถึงสองแล้ว แต่เวลาที่ผันเปลี่ยนไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าพวกเขาเลยสักนิด ยังคงดูงดงามเช่นดังเดิม
ชิงอวี่จ้องสตรีที่ขอบตาแดงเรื่อน้อย ๆ แล้วจึงขยับริมฝีปากถาม “ท่านแม่หายดีแล้วหรือ?”
“ข้าจะเป็นอะไรไปได้? พอข้าออกมาจากที่นั่นได้ข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว เจ้ารักษาข้าได้ทันท่วงที ข้าย่อมไม่มีทางเป็นอะไร”
ชิงหลานเฟยคลี่ยิ้ม เคลื่อนนิ้วไปปาดน้ำตาตนแล้วกุมมือเด็กสาวพลางเอ่ยคำเสียงอ่อนโยน “เจ้าหมดสติไปหลายวัน ทำเอาพวกเราตกใจกันยกใหญ่ โดยเฉพาะจวินเอ๋อร์ที่ไม่แม้แต่จะหลับตาลงสักนิด เด็กคนนั้นบาดแผลยังไม่ทันหายดีแท้ ๆ…..”
“ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
ชิงหลานเฟยพูดยังไม่ทันจบ ชิงอวี่ก็สีหน้าผันเปลี่ยน กลายเป็นกังวลแล้วจ้องชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงทันที
นางจึงจำได้ว่าก่อนหน้านั้นเขากอดนางไว้แน่นมาก แม้ความร้อนบนร่างจะเผาไหม้เขา แต่เขาก็ไม่คลายอ้อมแขนสักนิด
โหลวจวินเหยาส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ข้าไม่เป็นไร เจ้าฟื้นแล้วเดี๋ยวก็หาย”
“ให้ข้าดูหน่อย”
ชิงอวี่มุ่นคิ้วแน่นไม่เชื่อคำเขา เอื้อมมือไปคว้าแขนเขามาได้ก็หมายจะเลิกแขนเสื้อขึ้นตรวจดูบาดแผลสักหน่อย หากแต่บางอย่างบนนิ้วนางกลับกระทบกับนิ้วเขาดังกริ๊ง
ชิงอวี่ประหลาดใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะหลุบตาลงมองมือตนเอง
มือเนียนของนางที่ผิวพรรณนุ่มลื่นไร้ที่ติใดราวกับหยกชั้นดีนั้น นอกจากการที่นางเป็นนักปรุงยา จึงดูแลมือตนเองเป็นอย่างดีแล้ว สภาพร่างของนางยังทำให้นางมีผิวพรรณเช่นนี้ด้วยเช่นกัน
นางไม่ชอบสวมเครื่องประดับใดมากมายนัก ดังนั้นที่มือจึงไร้แหวนไร้กำไลอันใด
หากแต่ตอนนี้ นางกลับเห็นแหวนอัญมณีสีแดงสดใสสวมอยู่บนนิ้วนางตน มองใกล้ ๆ ราวกับมีโลหิตหมุนเวียนอยู่ภายในหิน งดงามจับตานัก
“นี่มัน…..”
ชิงอวี่ยังสับสนอยู่บ้าง นางจำได้ว่าแหวนถูกเหลียนซือโยนทิ้งไปแล้วตอนถูกลักพาตัวไปจากอารามศักดิ์สิทธิ์ คิดว่าจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้วแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะมีคนหามันเจอแล้วเหตุใดมันถึงกลับมาอยู่บนนิ้วนางได้เช่นนี้
“มันอยู่ในสระบัวของอารามศักดิ์สิทธิ์ ข้าจึงเก็บมันไว้กับตัวนับแต่นั้น” โหลวจวินเหยากุมมือนางไว้แล้วเอ่ยเสียงเบา
ชิงอวี่คลี่ยิ้ม “โชคดีที่ท่านหามันพบ ข้าพกมันติดตัวมานาน พอเสียมันไปจึงไม่ชินเท่าไหร่นัก”
“ชิงอวี่” จู่ ๆ เขาก็เรียกนางด้วยเสียงจริงจังขึ้นมา
“หือ?”
เขาเรียกนางจิ้งจอกน้อยมาตลอด แต่ครั้งนี้กลับเรียกชื่อนาง จึงทำให้รู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“เจ้าเคยบอกข้าว่า การให้แหวนบุรุษนั้นหมายความว่าต้องการผูกพันกับคนผู้นั้น และข้าก็ผูกและพันกับเจ้าไปแล้วนะ” โหลวจวินเหยาแตะแหวนที่นิ้วนางตนเอง
นัยน์ตาสีม่วงล้ำลึกพลันหันมาจ้องนางอย่างลึกล้ำ “แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้ข้าเสียที?”