ตอนที่ 353 ครอบครัวนี้เคยปกติเสียเมื่อไร
ตอนที่ 353 ครอบครัวนี้เคยปกติเสียเมื่อไร
เสิ่นอวี้อิ๋งทรุดตัวลงกอดขาเสิ่นเถี่ยจวิน เริ่มร้องไห้และพูดอย่างสำนึกผิด “พ่อ หนูผิดไปแล้ว หนูรู้ตัวแล้วว่าผิดจริง ๆ จากนี้ไปโปรดสอนหนูให้เป็นคนดีด้วย หนูจะยอมปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นกว่าเก่า จะเป็นเด็กที่ดีที่สุดในสายตาพ่อทุกอย่างแน่นอน และจะทิ้งนิสัยแย่ ๆ ที่ทำมาทั้งหมดเลยค่ะ”
เสิ่นอวี้อิ๋งเล่าถึงอดีตตอนอยู่ในชนบท ทุกคำพูดนั้นได้บอกเสิ่นเถี่ยจวินถึงสิ่งไม่ดีสารพัดที่หล่อนทำ และทุกคำพูดก็ไม่ต่างจากการตบหน้าเขาตรง ๆ
หล่อนคุกเข่าลงกับพื้นทั้งน้ำมูกน้ำตาไหล ร้องไห้จนแทบหายใจไม่ออกพลางสารภาพความผิดต่าง ๆ ที่ทำลงไป
สุดท้ายกลับเป็นลูกสาวของเขาเองที่เป็นคนเลว เสิ่นเถี่ยจวินรู้สึกผิดหวังในตัวหล่อนมาก ต่อให้เขาจะโกรธมากแค่ไหน แต่ก็ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นหล่อนร้องห่มร้องไห้
เขาช่วยพยุงเสิ่นอวี้อิ๋งให้ลุกขึ้น น้ำเสียงเริ่มกลับมาอ่อนโยน “ถึงลูกจะผิดจริงก็ไม่เป็นไร แต่ลูกเป็นผู้หญิงนะ จากนี้ไปต้องรู้จักรักตัวเองให้มาก ๆ รู้ไหม”
เมื่อเห็นว่าโทสะของเสิ่นเถี่ยจวินสงบลง เสิ่นอวี้อิ๋งก็ลุกขึ้นยืนและมองไปยังไดอารี่สภาพยับเยินบนโต๊ะกาแฟ
ขณะที่หล่อนกำลังจะพูด ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
เสิ่นอวี้อิ๋งรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู หัวใจพลันสั่นสะท้าน ก่อนรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า
หล่อนคิดว่าแม่คงจะกลับมาแล้ว เนื่องจากเซี่ยหลานวางแผนจะหย่ากับเสิ่นเถี่ยจวินในภายหลัง จึงทิ้งกุญแจไว้ไม่เอาติดตัวไปด้วย
“พ่อ อย่าบอกเรื่องนี้กับแม่ได้ไหมคะ? หนูไม่อยากให้แม่ผิดหวังไปมากกว่านี้”
เสิ่นเถี่ยจวินเหลือบมองเสิ่นอวี้อิ๋ง และไม่พูดอะไร
“พ่อช่วยฉีกไดอารี่นั้นด้วยได้ไหมคะ? หนูไม่อยากให้แม่เห็นจริง ๆ!”
เสิ่นอวี้อิ๋งทำท่าจะหยิบไดอารี่ แต่เสิ่นเถี่ยจวินหยิบมันขึ้นมาก่อนแล้วโยนเข้าไปในห้องนอน
เพราะรู้ว่าเซี่ยหลานจะไม่เข้าไปอย่างแน่นอน
เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่ เป็นเสิ่นเสี่ยวเหมยที่เดินไปเปิดประตูอย่างแข็งขัน
ส่วนเสิ่นอวี้อิ๋งรีบเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา
เมื่อประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่ตรงประตูคือผู้เฒ่าเซี่ยและคุณยายเซี่ย
เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินได้ยินว่าพ่อตาและแม่ยายของเขามาที่นี่ จึงรีบก้าวตามมาข้างหน้าเพื่อทักทาย “คุณพ่อคุณแม่ ลมอะไรหอบท่านทั้งสองมาถึงที่นี่ได้ล่ะครับ?”
“เราอยากมาเยี่ยมอวี้อิ๋งน่ะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยเหลือบมองผู้คนในบ้าน ครั้นรู้สึกได้ถึงบรรยากาศหม่นหมอง จึงถามขึ้นว่า “ทำไมสภาพพวกคุณถึงดูแย่ขนาดนั้น?”
เมื่อเห็นพ่อแม่ฝั่งสะใภ้ทั้งสอง ผู้เฒ่าเสิ่นก็รีบเก็บซ่อนอารมณ์เศร้าหมองไว้ทันที และตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“พ่อตาแม่ยายมาเยี่ยมงั้นเหรอ? มานั่งข้างในกันก่อน”
เสิ่นอวี้อิ๋งมีดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ จึงเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ ไม่นานผู้เฒ่าเซี่ยก็ถามเสิ่นเถี่ยจวิน ว่า “อวี้อิ๋งอยู่ไหน? ช่วงนี้อาการหล่อนเป็นยังไงบ้าง?”
“หล่อนอยู่ในห้องน้ำครับ แล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงมาก” พ่อตาและแม่ยายมีรังสีน่าเกรงขาม และคนทั้งคู่ก็ต่างดูเถรตรง จนเสิ่นเถี่ยจวินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา
“ไม่มีอะไรร้ายแรงจริงเหรอ?” ผู้เฒ่าเซี่ยเกิดความสงสัย
“ฉันได้ยินจากอาจารย์หม่าที่โทรมาหาเมื่อวันก่อน เขาบอกว่าหล่อนขอพักการเรียน ถ้าอาการไม่ร้ายแรงจริง ๆ แล้วทำไมถึงต้องพักการเรียนด้วย?”
รองอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่งคือลูกศิษย์ของผู้เฒ่าเซี่ย เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งสมัครเข้าเรียนใหม่ ๆ แล้วภายหลังมีเรื่องมาขอพักการเรียน รองอาจารย์ใหญ่จึงต่อสายตรงถึงผู้เฒ่าเซี่ยเพื่อไปถามรายละเอียดด้วยความกังวลว่าหลานสาวของเขาเป็นโรคอะไรหรือไม่ เพราะตอนที่เสิ่นเถี่ยจวินยื่นคำร้องขอพักการเรียน เขาไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรเลย เพียงแต่ลงไว้ว่าหล่อนป่วยเท่านั้น
จึงเป็นเหตุให้พวกเขามาเยี่ยมเยียน
เสิ่นเถี่ยจวินไม่ได้หารือกับเซี่ยหลานว่าถ้าเรื่องไปถึงหูคนนอกจะทำอย่างไร หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็ทำได้แค่กดเก็บความลับลงไปและแสร้งตอบอย่างสบาย ๆ ว่า “คุณพ่อครับ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่จริง ๆ หล่อนบอกว่าปวดท้องและมีบางอย่างผิดปกติกับระบบทางเดินอาหาร”
“แต่นั่นไม่น่าจะกระทบต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรอกใช่ไหม?”
เสิ่นอวี้อิ๋งได้ยินเสียงตายายเล็ดลอดเข้ามาในห้องน้ำ หล่อนยืนอยู่หน้ากระจกและกำลังชั่งใจกับตัวเองว่าจะออกไปทักทายพวกเขาดีหรือไม่
ตากับยายมักมาหาถึงที่ไม่บ่อยนัก และคงเป็นการเสียมารยาทถ้าหล่อนไม่ออกมาข้างนอกเลย
หล่อนไม่สามารถทำให้พวกเขาขุ่นเคืองและปล่อยให้แสดงความคิดเห็นไม่ดีเกี่ยวกับตนได้
ดูจากภาพรวมแล้วแล้วตระกูลเซี่ยมีอำนาจมากกว่าตระกูลเสิ่นเสียอีก
หล่อนมองลงไปยังท้องของตัวเอง ทันใดนั้นก็เกิดหวาดกลัวที่จะต้องพบพวกเขา
แม้จะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างภายในท้องจากเมื่อก่อน แต่ตอนนี้หล่อนกำลังสวมเสื้อผ้าอยู่กับบ้านที่หลวมโพรก จึงคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่ามองเห็นสิ่งผิดปกติ
แต่บรรดาป้า ๆ รอบอาคารคงสังเกตเห็นแล้วว่าหล่อนท้อง เลยอดไม่ได้ที่จะระแวง…
พวกเขากำลังนั่งอยู่ข้างนอก ซึ่งไม่ใช่ปัญหาสำหรับหล่อนที่จะซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องน้ำ แต่เสิ่นเถี่ยจวินเพิ่งบอกพวกเขาไปว่าหล่อนเข้าห้องน้ำ
เสิ่นอวี้อิ๋งวักน้ำเย็นขึ้นลูบหน้า แต่ดวงตายังคงบวมเป่ง
หล่อนในสภาพผมเผ้ากระจัดกระเจิงยืนอยู่หน้ากระจกด้วยความลังเลอย่างมาก
ผู้เฒ่าเซี่ยกังวลมากเกี่ยวกับเสิ่นอวี้อิ๋ง กลัวว่าหล่อนจะเลื่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงพยายามยุเสิ่นเถี่ยจวินว่า “พาหล่อนไปโรงพยาบาลเร็ว ๆ เถอะ อย่ารอช้าอยู่เลย ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อการสอบเข้า”
เสิ่นเถี่ยจวินพยักหน้า “ผมติดต่อกับทางโรงพยาบาลที่เชื่อถือได้ในปินเฉิงไว้แล้ว อีกสองวันเราจะพาหล่อนไปครับ”
อาจารย์จางผู้เป็นแม่ของเซี่ยหลานโน้มน้าวเสริม “กับแค่ปัญหาระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลที่ไห่เฉิงไม่สามารถรักษาได้เหรอ? ถ้าไม่ได้ผล งั้นลองไปหาหมอแผนจีนเย่ดูสิ ตอนนี้เขารักษาอวี้หลงอยู่ ลองพาอวี้อิ๋งไปที่นั่นดูก็ได้ ฉันเคยได้ยินมาว่าหมอเย่เคยช่วยชีวิตหล่อนมาแล้วครั้งหนึ่งด้วย”
เนื่องจากผนังบ้านหลังนี้ไม่เก็บเสียง เสิ่นอวี้อิ๋งซึ่งกำลังจะออกจากห้องน้ำได้ยินคำแนะนำจากคุณยายเข้า สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
หล่อนไม่สามารถไปหาหมอเย่ได้ ในกรณีของหล่อนแล้ว ถ้าหมอเย่ได้ตรวจชีพจร ทุกอย่างจะต้องจบเห่
เสิ่นเถี่ยจวินกะพริบตาปริบ ก่อนตอบกลับด้วยความเคารพ “คุณพ่อ คุณแม่ ผมวานให้คนสอบถามเกี่ยวกับโรงพยาบาลในปินเฉิงแล้ว ที่นั่นมีเครื่องมือทางการแพทย์ระดับสูง ผมอยากให้หล่อนไปตรวจที่นั่นดูก่อนครับ เพราะแพทย์แผนจีนสามารถวินิจฉัยและรักษาได้ด้วยการตรวจชีพจรเท่านั้น แถมยังสรุปผลได้ช้าด้วย ถ้าอวี้อิ๋งต้องพะวงเรื่องเวลาแบบนี้ เราไม่อาจรอได้นานขนาดนั้นหรอกครับ”
ข้ออ้างของเสิ่นเถี่ยจวินฟังดูไร้ที่ติมาก ทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยและคุณยายเซี่ยต่างเห็นด้วยพร้อมกัน
เป็นความจริงที่ว่าการแพทย์แผนจีนสรุปผลได้ช้า ถ้ารู้สึกไม่สบายตัวมาก ๆ ก็ควรพึ่งพายาจากแพทย์แผนตะวันตกเพื่อรักษาอาการให้คงที่ก่อนจะดีกว่า
ผู้เฒ่าเซี่ยพยักหน้า “ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วกัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องจัดการให้เร็วที่สุด”
หลังจากนั่งมาสักพัก เสิ่นอวี้อิ๋งก็ยังไม่ออกมาจากห้องน้ำ ผู้เฒ่าเซี่ยจึงถามเสิ่นเถี่ยจวิน
“อวี้อิ๋งไปทำอะไรในห้องน้ำตั้งนาน? ก่อนที่เราจะมาเธอได้ดุด่าลูกหรือเปล่า?”
ดวงตาของเสิ่นเถี่ยจวินกะพริบอีกครั้ง เขาปฏิเสธด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ “เปล่าครับ หล่อนแค่ไม่ยอมไปโรงพยาบาล ผมเลยเผลอพูดใส่อารมณ์ไปหน่อย”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ตะโกนไปทางห้องน้ำว่า “อวี้อิ๋ง ออกมาจากห้องน้ำได้แล้ว ตายายรออยู่นะ”
เสิ่นอวี้อิ๋งไม่สามารถหลบซ่อนได้อีกต่อไป หล่อนจึงปรับอารมณ์และเดินออกมา
หล่อนยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “คุณตาคุณยาย อืม ขอบคุณที่มาเยี่ยมนะคะ หนูสบายดี แค่รู้สึกไม่สบายท้อง แถมยังปวดท้องจนกินข้าวไม่ได้ด้วย หนูเลยต้องเข้าห้องน้ำนานเวลารู้สึกไม่สบายท้อง บางทีหนูอาจเป็นโรคกระเพาะหรือไม่ก็ลำไส้อักเสบเพราะกินอาหารไม่สะอาดน่ะค่ะ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยพิจารณาและฟังน้ำเสียงของเสิ่นอวี้อิ๋ง มันช่างแตกต่างจากรูปลักษณ์น่าสมเพชในตอนที่หล่อนเพิ่งคุกเข่าอ้อนวอนกับพื้นเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
ท่าทางของหล่อนดูเป็นธรรมชาติมาก ดูเหมือนไม่มีพิรุธอะไรเลย
เสิ่นเสี่ยวเหมยเดาะลิ้นในปากสองครั้ง หล่อนคันปากอยากพูดมากเหลือเกินว่าหลานสาวคนนี้มีบางอย่างที่มากกว่านั้น!
หากเป็นหล่อนเองที่อยู่ในสถานการณ์นี้ หล่อนจะไม่สามารถทำตัวเป็นธรรมชาติและสงบได้ขนาดนี้แน่นอน
“โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบรักษาง่ายอยู่แล้ว ไม่น่าถึงขนาดต้องเลื่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยนี่ ถ้าใส่ใจการรักษาอย่างใกล้ชิดก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว”
เมื่อเห็นว่าเสิ่นอวี้อิ๋งสบายดี และเข้าใจเหตุผลที่หล่อนขอพักการเรียน ผู้อาวุโสทั้งสองก็รู้สึกโล่งใจ หลังจากเตือนเสิ่นเถี่ยจวินแล้ว พวกเขาก็ลุกขึ้นยืน
“ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวก่อน”
หลังออกมาจากบ้านตระกูลเสิ่น อาจารย์จางพูดกับผู้เฒ่าเสิ่นว่า “คุณคิดว่าครอบครัวพวกเขาดูแปลก ๆ ไหม?”
ผู้เฒ่าเซี่ยเหลือบมองภรรยา และถามกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ครอบครัวนี้เคยปกติซะเมื่อไหร่?”
อาจารย์จางพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้าเสิ่นเถี่ยจวินพาอวี้อิ๋งไปหาหมอที่ปินเฉิง ก็ต้องหย่ากับเซี่ยหลานล่าช้าออกไปอีก แค่ป่วยเป็นโรคกระเพาะหรือลำไส้อักเสบมันมีปัญหาถึงขั้นต้องไปถึงปินเฉิงเลยเหรอ? พูดตามตรง เราอาจจะให้เซี่ยหลานช่วยหาหมอที่เชื่อถือได้จากโรงพยาบาลในไห่เฉิงมารักษาได้เหมือนกันนะคะ”
เมื่อภรรยาของเขาพูดแบบนี้ ผู้เฒ่าเซี่ยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ตอนที่พวกเขาขึ้นไปชั้นบนเพื่อเคาะประตูเมื่อครู่นี้ พวกเขาได้ยินชัดเจนว่าเสิ่นเถี่ยจวินกำลังด่าทอเสียงดัง และเสิ่นอวี้อิ๋งกำลังร้องไห้
เพียงเพราะหล่อนไม่ยอมไปหาหมอ เสิ่นเถี่ยจวินต้องโกรธขนาดนั้นเลยเหรอ?
นี่คือลูกสาวแท้ ๆ ของเขา ไม่ใช่หลินเซี่ยเสียหน่อย!
“เรื่องหย่าร้างเอาไว้ก่อน รอจนกว่าช่วงนี้ทุกอย่างจะเบาลงเถอะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “แค่การพาเด็กคนหนึ่งไปหาหมอ ทำไมถึงได้ยากเย็นนัก”
ทั้งสองพากันกลับบ้านด้วยสภาพจิตใจที่หนักอึ้ง
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เนียนเชียวนะยัยอวี้อิ๋ง ไม่แปลกที่ชาติก่อนจะแสดงเก่งจนเป็นดารา แต่ชาตินี้ไม่มีการสั่งคัตให้เธอหรอก เวลคัมทูเดอะเรียลเวิลด์
ไหหม่า(海馬)