ตอนที่ 316 ภูมิหลังครอบครัวของคุณแม่ฟาง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 316 ภูมิหลังครอบครัวของคุณแม่ฟาง

หลินม่ายรีบมาที่สำนักงานตลาดสดด้วยความตื่นเต้น หลังได้รับข่าวจากลูกน้องของเฉินเฟิง

พอเห็นว่าเฉินเฟิงกำลังจ่ายเงินให้ชายหนุ่มสองคนที่ท่าทางดูเหมือนนักเลง เธอก็ประเมินด้วยสายตาว่าเงินนั้นต้องไม่ต่ำกว่าสองถึงสามร้อยหยวนแน่

เฉินเฟิงพูดกับชายหนุ่มทั้งสองด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาเงินนี่ไปสร้างเนื้อสร้างตัวซะ อย่าได้เล่นการพนันอีก อย่าให้ความโง่ของพวกนายกลายเป็นอาวุธของคนอื่น”

พอเห็นว่าหลินม่ายมาถึง เขาก็โบกมือไล่ชายหนุ่มทั้งสอง “ไปได้แล้ว”

ชายหนุ่มทั้งสองรับเงินพร้อมขอบคุณก่อนจะจากไป

พอเดินผ่านหลินม่าย พวกเขากลับทำท่าทางเหมือนพบเจอกับหายนะอันร้ายแรง ตัวสั่นงกด้วยความประหม่า อีกทั้งสีหน้ายังดูเหมือนรู้สึกผิดเอามาก ๆ

หลินม่ายถามเฉินเฟิงด้วยความงุนงง “ทำไมสองคนนี้ถึงได้ทำท่าแบบนั้นตอนเห็นฉันล่ะ? ฉันไม่รู้จักพวกเขาซะหน่อย!”

ชายหนุ่มสองคนนี้ก็คือนักพนันที่ติดหนี้ตู้กวงฮุย และถูกบังคับให้ต้องรับบทเป็นอันธพาลสองคนที่ทำร้ายร่างกายหวังหรง

โชคดีที่พวกเขาถูกซื้อตัวโดยลูกน้องของเฉินเฟิงที่ตามมาคอยสอดแนม

พวกเขาจึงวางแผนตลบหลัง โดยกดปุ่มเครื่องบันทึกเสียงไว้ขณะที่ตู้กวงฮุยขู่จะใช้พวกเขาเป็นมือปืน

ทันทีที่เทปเสียงถูกเปิดโปง ตู้กวงฮุยที่ถูกพวกเขาหักหลังก็โดนตำรวจจับเข้าคุก

วันนี้พวกเขาแวะมาหาเฉินเฟิงเพื่อรับเงินรางวัล จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกผิดและหวาดกลัวเมื่อเห็นหลินม่าย

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยใส่ร้ายเธอ เกือบทำให้เธอหมดอนาคต เลยกลัวว่าถ้าเธอรู้ความจริงเข้า อาจตามแก้แค้นตัวเองในภายหลัง

เฉินเฟิงยิ้ม ยกนิ้วขึ้นเคาะขมับตัวเอง “คนพวกนั้นป่วยตรงนี้นิดหน่อย เธออย่าไปใส่ใจเลย”

หลินม่ายตอบรับงึมงำ ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกันกับเขา

เฉินเฟิงโยนบัญชีที่แยกประเภทไว้อย่างเป็นสัดส่วนให้เธอดู “เรามีตู้เย็นสามพันตู้ เก็บไว้เองสิบตู้ ขายไปแล้วสองพันเก้าร้อยแปดสิบตู้ ได้กำไรทั้งหมดรวมห้าล้านหนึ่งแสนสองหมื่นกว่าหยวน เธอกับฉันแบ่งรายได้กันคนละสองล้านห้าแสนหกหมื่น”

หลินม่ายเหลือบมองบัญชีแยกประเภทแค่แวบเดียว จากนั้นก็ส่งคืนให้เขา

แน่นอนว่าเธอไว้ใจเขา

เฉินเฟิงโยนสมุดบัญชีหลักอีกเล่มให้ “ในบัญชีนี้มีเงินในส่วนของเธอจากการขายตู้เย็นเมื่อวันก่อน”

จากนั้นก็หยิบเงินปึกหนามากองไว้ตรงหน้า “ส่วนเงินนี่คือเงินในส่วนของเธอที่ได้รับจากการขายตู้เย็นในวันนี้”

หลินม่ายตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้รับสมุดบัญชีเงินฝากและเงินสดที่มีมูลค่ารวมกันหลายล้านหยวน

เงินไม่กี่ล้านหยวนในยุคนี้ เทียบเท่ากับเงินจำนวนหลายหมื่นล้านหยวนในอีกไม่กี่ทศวรรษ

พอเธอระงับความตื่นเต้นลงได้แล้ว ก็ถามเขาว่า “กางเกงชั้นในกับชุดชั้นในพวกนั้นก็ขายหมดแล้วเหรอ?”

“กางเกงชั้นในเกือบทั้งหมดหาคนซื้อได้แล้ว รอแค่เขามารับของ จ่ายเงิน แล้วเราค่อยแบ่งเงินกันทีหลัง ส่วนชุดชั้นใน…” เฉินเฟิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ของแบบนี้ขายไม่ได้ง่าย ๆ เลย ฉันขายไปแค่หนึ่งในสาม”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “แบ่งให้ฉันสักหนึ่งพันตัวสิ เดี๋ยวฉันจะหาทางขายเอง”

เฉินเฟิงจัดการส่งมอบเสื้อยกทรงหนึ่งพันตัวให้เธอ

ตอนเที่ยง ในขณะที่ทุกคนรับประทานอาหารมื้อกลางวันด้วยกัน หลินม่ายพูดถึงคฤหาสน์หลังนั้น แล้วถามฟางจั๋วหรานอย่างอยากรู้อยากเห็น “คุณซื้อคฤหาสน์ราคาแพงหลังนั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ?”

ฟางจั๋วหรานตอบกลับเบา ๆ “เป็นมรดกที่แม่ของผมทิ้งไว้ให้”

หลินม่ายถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะไม่คิดว่าแม่ของเขาจะรวยขนาดนี้

เธอคันปากอยากถามต่อจริง ๆ ว่าแม่ของเขามีภูมิหลังเป็นมาอย่างไรกันแน่ ทำไมถึงมีคฤหาสน์สไตล์ยุโรปหรูหราอยู่ในครอบครอง

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั้งประเทศเผชิญสงครามหลายระลอก การที่จะเป็นเจ้าของคฤหาสน์หรูในพื้นที่สัมปทานได้ ใช่ว่ามีเงินแค่อย่างเดียว

แต่พอมองไปทางเถาจืออวิ๋นกับลูกชายของหล่อนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน เธอก็ตัดสินใจว่าจะยังไม่ถาม

เรื่องส่วนตัวแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยกันต่อหน้าคนนอก

หลินม่ายกินข้าวต่ออีกสองคำ จากนั้นก็ถามฟางจั๋วหรานด้วยความสงสัย “คฤหาสน์ของคุณอยู่ห่างไกลจากเสียงอึกทึก ต้องสงบมากแน่ ๆ แถมยังอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้มากกว่า ทำไมคุณไม่พักอยู่ที่นั่นเสียเลยล่ะคะ หรือเขาบังคับว่าต้องอยู่ที่หอพักแพทย์เท่านั้น?”

ฟางจั๋วหรานไม่รู้จะตอบอย่างไรดี “เพราะว่า… บ้านนั้นหลังใหญ่เกินไป ผมขี้เกียจทำความสะอาด”

หลินม่ายอยากบอกเขาเหลือเกินว่า ศาสตราจารย์คะ ขืนยังทำพฤติกรรมแวร์ซาย(1)แบบนี้ต่อไป ระวังเพื่อนจะไม่คบเอานะคะ

เถาจืออวิ๋นคีบลูกชิ้นปลาให้โต้วโต้วกับฉีฉีคนละหนึ่งลูก

จากนั้นก็หันไปบอกหลินม่ายว่า เพื่อนนักบัญชีของหล่อนที่ชื่อทังชุ่นอิงถูกโรงงานตัดเสื้อริมถนนเลิกจ้าง ได้มาเสนอตัวเพื่อสมัครเป็นนักบัญชีประจำโรงงานของหลินม่าย หล่อนจึงมาถามไว้ก่อนว่าหลินม่ายสนใจอยากสัมภาษณ์หรือเปล่า

เถาจืออวิ๋นเอ่ยต่อ “ทังชุ่นอิงแวะมาหาฉันที่โรงงานบ่อยเลย ทุกครั้งฉันมักจะอ้างว่าตัวเองไม่สามารถตัดสินใจได้ ต้องแจ้งให้ผู้จัดการทราบก่อน คิดว่าพูดย้ำหลาย ๆ ครั้งแล้วหล่อนจะเข้าใจ แต่ไม่คิดว่าหล่อนจะดื้อขนาดนี้ วันนี้ก็แวะไปที่โรงงานอีกแล้ว”

หลินม่ายคิดในใจ ทุกวันนี้เธอยังพอจัดการดูแลบัญชีทั้งหมดด้วยตัวเองได้

เท่ากับว่าเธอทำงานควบสามตำแหน่ง นักบัญชี แคชเชียร์ นักตรวจสอบบัญชี แถมยังเป็นผู้บริหารกิจการ

ตอนนี้กิจการของเธอยังไม่ถือว่าใหญ่โตอะไรมาก

มีกิจการใหญ่ ๆ แค่สองอย่าง คือตลาดสดกับโรงงานตัดเสื้อ ซึ่งเธอสามารถจัดการเองได้

แต่ถ้ากิจการเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีคนมาจัดการเรื่องบัญชีโดยเฉพาะ แล้วเธอยังต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ประสิทธิภาพในการทำงานอาจลดลง นอกจากจะไม่มีสมาธิในการจัดการธุรกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการบริหารโรงงานด้วย

แทนที่จะปล่อยให้เป็นแบบนั้น สู้จัดตั้งแผนกการเงินและการบัญชีขึ้นมาตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า เพื่อให้ภาระงานไม่รัดตัวจนเกินไป และยังมีสมาธิเพียงพอในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ๆ

เธอพยักหน้า “ดีเหมือนกัน พี่นัดหมายเวลากับหล่อนไว้ได้เลย แล้วเราค่อยสัมภาษณ์งานหล่อนทีหลัง”

หลังมื้ออาหาร เถาจืออวิ๋นรับหน้าที่ล้างจานและตะเกียบ ก่อนจะส่งฉีฉีเข้านอนตอนกลางวัน ปล่อยให้หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานได้ใช้เวลาร่วมกันในห้องนั่งเล่นและห้องอาหาร

หล่อนรู้ตัวดีว่าการที่ตัวเองอาศัยอยู่ร่วมชายคากับหลินม่ายแบบนี้ ทำให้หลินม่ายรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวเท่าไรนัก

ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่สองแม่ลูกอยู่กับพวกเขาสองคน หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานต้องคอยระวังตัว จนไม่สามารถพูดคุยหรือทำอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวได้

ความจริงแล้วเถาจืออวิ๋นเองก็อยากย้ายออก แต่ยังหาบ้านที่มีทำเลเหมาะสมไม่ได้

บทเรียนจากอดีต ทำให้หล่อนค่อนข้างพิถีพิถันในการเลือกบ้านเป็นพิเศษ

ยุคสมัยนี้การเช่าบ้านหลังหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย นอกเสียจากว่าจะขอปรับขึ้นเงินเดือนอีกหน่อย ถึงจะพอจ่ายค่าเช่า

โต้วโต้วเองก็มีนิสัยชอบงีบหลับตอนเที่ยง ดังนั้นหล่อนจึงเข้าห้อง ปีนขึ้นเตียง แล้วผล็อยหลับไป

ตอนนี้ในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่จึงเหลือแค่ฟางจั๋วหรานกับหลินม่าย

ถึงอย่างนั้นฟางจั๋วหรานก็ไม่ชอบปักหลักอยู่ที่บ้านของหลินม่ายนานจนเกินไป

หลังกินข้าวเสร็จ เขามักจะขอตัวกลับภายในสิบห้านาทีให้หลัง

สำหรับเขาแล้วเวลาว่างมีค่าเสมอ เขามักจะทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาวิชาแพทย์เพิ่มเติม

เขาติดนิสัยหมกมุ่นอยู่กับการอ่านเพื่อเรียนรู้ ซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวที่แก้ไม่หาย

พอเห็นว่าฟางจั๋วหรานเตรียมตัวจะจากไป หลินม่ายก็โพล่งขึ้นว่า “รอฉันด้วย”

จากนั้นก็ลากรถเข็นคันเล็กที่เต็มไปด้วยชุดชั้นใน ตั้งใจว่าจะออกไปตั้งแผงขายแถวมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้

ฟางจั๋วหรานคว้าที่ลากรถเข็นจากมือเธอไปจับไว้เสียเอง “อากาศร้อนแทบตาย คุณอย่าไปเลย เดี๋ยวผมช่วยเอาไปเสนอขายที่มหาวิทยาลัยก็ได้”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขายเองได้ จะได้ไม่กระทบกับงานของคุณ”

ทั้งสองลงไปชั้นล่างด้วยกัน ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง แสงแดดร้อนจัดสว่างจ้าจนแทบลืมตาไม่ขึ้น บนถนนมีผู้คนสัญจรไปมาไม่มากนัก

พอได้จังหวะ หลินม่ายก็ซุบซิบถามฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับเรื่องภูมิหลังของแม่แท้ ๆ ของเขา

ฟางจั๋วหรานคิดทบทวนครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับ “คุณตาของผมเป็นนายทุนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเจียงเฉิง เขาชำนาญการค้าระหว่างประเทศ”

หลินม่ายร้องอื้อฮือในใจ มิน่าล่ะแม่ของเขาถึงได้มีคฤหาสน์หลังใหญ่ในที่ดินสัมปทานเก่าในครอบครอง

เธอลังเลก่อนจะถามว่า “แล้วญาติทางฝั่งแม่คุณอยู่ที่ไหนคะ ไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงพวกเขาเลย?”

เธออยากถามเรื่องนี้กับเขามานานแล้ว แต่กลัวว่าคำถามของตัวเองจะไปกระตุ้นความเศร้าของฟางจั๋วหราน ดังนั้นจึงได้แต่เก็บไว้ในใจ

วันนี้เพราะอดสงสัยไม่ได้ จึงตัดสินใจถาม

ฟางจั๋วหรานมีท่าทางสงบกว่าที่คิด “แม่ของผมเป็นลูกสาวคนเดียว ไม่มีพี่น้อง ถึงจะมีลูกพี่ลูกน้องหลายคน แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของคุณตา เพราะคุณตาเลิกยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาตั้งแต่แม่ยังเด็ก ๆ แล้ว พอได้ยินข่าวการตายของคุณตา ลูกพี่ลูกน้องของแม่กลับไม่มาร่วมงานศพเลยสักคน”

เมื่อหลินม่ายได้ยินแบบนี้ เธอก็กระชับฝ่ามือใหญ่ที่กระดูกปูดนูนขึ้นมาไว้แน่นด้วยความเห็นใจ

ถึงครอบครัวของเขาจะร่ำรวยและมีเกียรติ เขากลับเติบโตขึ้นตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว ถึงแม้อีกด้านหนึ่งจะมีผู้ใหญ่อย่างแม่เฒ่าหวังคอยอยู่เคียงข้าง แต่น่าเสียดายที่หล่อนไม่ได้จริงใจกับเขา

………………………………………………………………………………………………………………………….

พฤติกรรมแวร์ซาย (แวร์ซายคือชื่อของพระราชวังในฝรั่งเศส) เป็นศัพท์วัยรุ่นที่บ่งบอกถึงลักษณะพฤติกรรมของคนที่ชอบโอ้อวด ไม่ว่าจะสิ่งของ ชีวิตความเป็นอยู่ที่หรูหรา หรือแสร้งทำเป็นอวดแบบอ้อม ๆ

สารจากผู้แปล

ฝั่งบ้านแม่ของพี่หมอดูเศร้าจังเลยค่ะ พี่หมอต้องอยู่กับความโดดเดี่ยวมานานเท่าไหร่แล้วนี่

ไหหม่า(海馬)