บทที่ 251 ลูกนอกสมสรส

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 251 ลูกนอกสมสรส
ไท่จื่อเฟยไม่ได้กลับไปยังวังหลวงในทันทีหลังจากรับฉินฉู่อวี้ แต่กลับพาเขาไปยังจวนของเซวียนผิวโหว

ลำพังนางเข้านอกออกในจวนโหวคงไม่สะดวกนัก แต่ฉินฉู่อวี้เป็นหลานชายของเซวียนผิงโหว หากเขาจะไปเยี่ยมเยียนเซวียนผิงโหวสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด

ทว่าที่โชคร้ายก็คือ วันนี้เซวียนผิงโหวไม่อยู่ที่จวน

เขากับฮ่องแต้และท่านเหล่าโหว พวกเขาสามคนกำลังแอบทำการลับอะไรบางอย่าง

แม้ไท่จื่อเฟยจะมาเสียเที่ยว แต่ก็ไม่ได้ท้อใจ เพราะยังมีผู้ดูแลหลิวอยู่ที่จวน เขาเป็นมือขวาของเซวียนผิงโหว หลายปีที่ผ่านมาเขาบุกป่าผ่าดงนอกเมืองหลวงเพื่อเซียนผิงโหวมาตลอด เพิ่งจะถูกเซวียนผิงโหวเรียกตัวกลับมาปีก่อน

หากจะพูดถึงคนที่กุมความลับของเซวียนผิงโหวเอาไว้ ก็เป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากฉังจิ่งและผู้ดูแลหลิว

ฉินฉู่อวี้กินขนมขบเคี้ยวอยู่บนรถม้าอย่างเอร็ดอร่อย

“ปิ่นของข้าเหมือนจะหล่นหาย ข้าขอลงไปหาก่อน”

“ให้เข้าไปช่วยท่านหาหรือไม่”

“ไม่เป็นไร” ไท่จื่อเฟยยิ้มอ่อนโยน

ฉินฉู่อวี้ขานรับคำ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ

ไท่จื่อเฟยลงจากรถม้า ก่อนจะมาหยุดอยู่ด้านหลังของรถม้าอีกคัน เพื่อพบกับผู้ดูแลหลิวที่กำลังรออยู่

นางไม่อ้อมค้อมกับผู้ดูแลหลิวแต่อย่างใด ก่อนเอ่ยเข้าประเด็น “ท่านโหวรู้จักเด็กคนหนึ่งที่ชื่อจิ้งคงใช่หรือไม่”

“จิ้งคงหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ดูแลหลิวรู้สึกว่าชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก

ไท่จื่อเฟยพูดต่อ “เด็กห้องอัจฉริยะชั้นปฐมวัยของกั๋วจื่อเจียน ปีนี้อายุสี่ขวบ เป็นสหายขององค์ชายเจ็ด”

ผู้ดูแลหลิวตอบ “อ๋อ นึกออกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทว่าไม่ใช่เพราะองค์ชายเจ็ด แต่เป็นเพราะคำว่าเด็กอัจฉริยะชั้นปฐมวัยของกั๋วจื่อเจียน แต่นั่นไม่ใช่น้องภรรยาของท่านชายหรือ

ผู้ดูแลหลิวเอ่ยถาม “ไท่จื่อเฟยมาเพื่อถามถึงเด็กคนนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อเฟยมองหน้าผู้แดหลิวในทันใด “เขามีคนใกล้ชิดคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนท่านโหวน้อย เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”

“ท่านเคยพบเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ดูแลหลิวประหลาดใจมาก แต่พอคิดให้ถี่ถ้วนอีกหนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ในเมื่อท่านชายน้อยเรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจียน องค์ชายเจ็ดก็เรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจียนเช่นกัน ไท่จื่อเฟ่ยเองก็ไปรับองค์ชายเจ็ดอยู่บ่อยครั้ง จะไม่บังเอิญเจอท่านชายน้อยเลยก็กระไรอยู่

“เขาเป็นใครหรือ” ไท่จื่อเฟยถาม

ผู้ดูแลหลิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกความจริงออกไป “เขาเป็นลูกนอกสมสรสของท่านโหวพ่ะย่ะค่ะ”

แววตาของไท่จื่อเฟยฉายแววตกตะลึง “ลูกนอกสมรสอย่างนั้นหรือ”

ผู้ดูแลหลิวเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ มีอยู่ปีหนึ่งที่ท่านลงไปยังเจียงหนานเพื่อบรรเทาภัยน้ำหลากใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ปีนั้นท่านโหวได้พบรักกับหญิงชาวบ้านคนหนึ่งที่อำเภอซง ท่านชายน้อยเป็นลูกของพวกเขาทั้งสอง”

ไท่จื่อเฟยเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ไม่เคยได้ยินท่านโหวเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน”

ผู้ดูแลหลิวพรูลมหายใจออกมาอีกครั้ง “ท่านโหวเองก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน ที่ท่านโหวเรียกข้าน้อยกลับเมืองหลวงมาก็เพราะต้องการให้ข้าน้อยสืบที่มาที่ไปของท่านชายน้อย เพียงแต่เหมือนท่านชายน้อยจะมีเรื่องเข้าใจผิดกับท่านโหว คิดว่าตอนนั้นท่านโหวทอดทิ้งพวกเขาสองแม่ลูกไป เพราะเหตุนี้จึงไม่ยอมรับท่านโหวเป็นพ่อ เรื่องนี้ท่านรู้แล้วอย่างแพร่พรายออกไปข้างนอกเชียวพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อเฟยชะงักไปก่อนจะพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะเก็บความลับให้ท่านโหวเอง”

เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องน่าโอ้อวดอะไรอยู่แล้ว

ไท่จื่อเฟยไม่พูดอะไรต่อก่อนจะหันหลังกลับขึ้นรถม้าไป

เพราะเป็นพี่น้องแท้ๆ ถึงได้หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะอย่างนั้นหรือ

เหตุใดถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลนะ

ไท่จื่อเฟยพาฉินฉู่อวี้กลับมาถึงวังหลวง ครั้นมาถึงหน้าประตูวัง ก็บังเอิญเจอกับองค์รัชทายาทไท่จื่อที่เพิ่งกลับมาจากกรมพิธีการ

การเจรจาระหว่างแคว้นเหลียงและแคว้นเจาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้แก่ไท่จื่อและไท่จื่อเฟย เพราะพวกเขาต้อนรับคณะทูตจากแคว้นเหลียงได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีข้อบกพร่องให้ขุ่นข้องหมองใจ ฮ่องเต้จึงมอบรางวัลอย่างงามให้แก่สองสามีภรรยา ทั้งยังมอบหมายให้ไท่จื่อและกรมพิธีการร่วมกันจัดการสอบเตี้ยนซื่อหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้

ไท่จื่อก็กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก หลายวันมานี้หากมีเวลาว่างเมื่อใดก็ไปจะเรียนรู้งานที่กรมพิธีการเสมอ เขาไม่สั่งการใดโดยพลการ แต่กลับเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จึงได้รับคำชื่นชมจากกรมพิธีการไม่น้อย

วันนี้เขาเองก็เพิ่งได้รับคำชมจากซ่างซูแห่งกรมพิธีการ จึงอารมณ์ดียิ่งนัก พอเจอไท่จื่อเฟยและฉินฉู่อวี้ ก็แหวกม่านรถม้าของตัวเองขึ้นแล้วเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “หลินหลัง เจ้าส่งน้องเจ็ดกลับไปที่วังบูรพาก่อน แล้วค่อยตามข้าออกไปนอกวัง”

“ข้าก็อยากไปด้วย!” ฉินฉู่อวี้รู้สึกว่าขนมในมือนั้นจืดชืดไปในทันใด

ไท่จื่อตอบกลับ “กลับไปทำการบ้าน!”

ฉินฉู่อวี้ยู่ปากบ่นกระจองอแง

ไท่จื่อเฟยเอ่ยปลอบด้วยเสียงนุ่มนวล “เจ้าทำการบ้านไปก่อน เดี๋ยวตอนเย็นข้าจะเอาขนมดอกกุ้ยฮวากลับมาฝาก”

ในวังหลวงเองก็มีขนมดอกกุ้ยฮวา แต่ฉินฉู่อวี้กินของในวังจนเอียนเสียแล้ว รู้สึกว่าของข้างนอกมักจะอร่อยกว่าอยู่ร่ำไป

ฉินฉู่อวี้ตอบเสียงอ้อมแอ้ม “เช่นนั้นก็ได้ พวกท่านรีบกลับมาเร็วๆ ล่ะ”

ฉินฉู่อวี้ถูกข้าหลวงมารับตัวไปยังวังบูรพา ส่วนไท่จื่อเฟยก็ขึ้นมานั่งบนรถม้าของไท่จื่อ

ช่วงนี้ไท่จื่อเดินทางไปไหนมาไหนอย่างเรียบง่าย รถม้าแลดูไม่ใหญ่โตนัก ใช้ม้าหนุ่มแน่นเพียงแค่สองตัว แต่ภายในห้องโดยสารนั้นยังคงตกแต่งอย่างหรูหรา

ไท่จื่อกุมมือไท่จื่อเฟยเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันยากจะปกปิด “หลินหลังเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้วันอะไร”

“เอ่อ…” ไท่จื่อเฟยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าพลางยิ้ม “วันสำคัญเช่นนี้ หม่อมฉันจะลืมได้อย่างไรเพคะ วันนี้เมื่อสิบปีก่อน ฝ่าบาทกับหม่อมฉันเจอกันครั้งแรกที่โรงมหรสพ ตอนนั้นหม่อมฉันอายุได้สิบเอ็ดปี ไท่จื่ออายุสิบสามปี หลักจากนั้นวันนี้ของทุกปี ฝ่าบาทจะพาหม่อมฉันไปที่โรงมหรสพ”

ไท่จื่อเกลี่ยฝ่ามือนาง “ตั้งแต่ที่ข้าได้พบเจ้าครั้งแรก ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเจ้าต้องเป็นไท่จื่อเฟยของข้าอย่างแน่นอน!”

ไท่จื่อเฟยยิ้มบาง แฝงไปด้วยความเขินอาย

แววตาของไท่จื่อร้อนแรง น้ำเสียงแหบพร่า “ข้าชักจะคิดผิดแล้วสิที่พาเจ้าออกมา”

แสงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก ท้องนภากลายเป็นสีส้มแกมแดงแสนเย้ายวน

อากาศในเมืองหลวงยามเดือนสี่มิได้หนาวเย็นอีกต่อไป สายลมยามโพล้เพล้แฝงไปด้วยความร้อนอบอ้าว

เสี่ยวจิ้งคงที่ถูกเซียวลิ่วหลังจูงมือ กำลังกระโดดโลนเต้ยพลางเดินไปตามตรอก

ใช่แล้วไม่มีผิด กระโดดโลนเต้น

น้อยครั้งนักที่เขาจะสงบเสงี่ยมยามที่อยู่ต่อหน้าเซียวลิ่วหลัง เว้นเสียแต่ตอนที่เซียวลิ่วหลังตกลงยอมพาเขาไปหากู้เจียวที่โรงหมอ

เสี่ยวจิ้งคงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าผืนใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เนื้อตัวหอมฉุย! เขาจะได้กอดเจียวเจียวให้แน่นๆ!

“เจ้าสามขวบแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่สงบสติอารมณ์สักหน่อย” มือของเซียวลิ่วหลังถูกเด็กน้อยแกว่งไปมา แกว่งจนแทบแขนเขาจะหลุดอยู่ร่อมร่อแล้ว

เสี่ยวจิ้งคงยั้งฝ่ามือน้อยของตัวเอง “แต่สี่ขวบก็ยังไม่โตเสียหน่อย! ไท่จื่อเฟยบอกว่าข้ายังเป็นเด็กน้อยอยู่!”

เซียวลิ่วหลังส่งสายตาเย้ยหยันให้กับเขาพลางคิดในใจ ‘วันๆ เอาแต่ยุ่งนั่นยุ่งนี่ไม่เข้าเรื่อง คนที่จุ้นจ้านว่าพี่เขยของตัวเองจะสอบได้ที่หนึ่งหรือเปล่าอย่างเจ้า กล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร’

เด็กน้อยอย่างนั้นหรือ

เซียวลิ่วหลังตกใจกับคำพูดนั้นไม่น้อย

เสี่ยวจิ้งคงไม่สนใจสายตาของพี่เขยที่มองมาแต่อย่างใด เพราะเขานั้นกำลังอารมณ์ดีเป็นที่สุด เอาแต่กระโดดโลนเต้นร้องรำทำเพลง “ข้าคือเขาไท่ซานข้างบ้านเจ้า~ คือเครือเถาวัลย์ที่เกี่ยวพันความรักเอาไว้~ เย เย เย~อย่ากลัวข้าเลยลิ่วหลัง”

เซียวลิ่วหลังแผ่รังสีสายฟ้าฟาดออกมา

หุบปาก! เจ้าเณรน้อย!

“ข้าอยากกินอันนั้น” จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็หยุดร้องบทเพลงอันไพเราะของตนเอง ก่อนจะชี้นิ้วไปยังตรอกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเมล็ดงาฝั่งตรงข้าม

เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “นั่นมันตรอกเส้นหนึ่ง หากเจ้าอยากกิน ก็ตามใจ”

เสี่ยวจิ้งคง “…”

เสี่ยวจิ้งคงกระทืบเท้าตึงตังด้วยความหงุดหงิด “นี่เจ้าไม่ได้กลิ่นหอมหรืออย่างไร กลิ่นหอมงาสุดโปรดของเจียวเจียวเชียวนะ!”

กู้เจียวชอบกินเนื้อแดดเดียวที่บ้านเพื่อนร่วมสำนักของเซียวลิ่วหลังขาย บนเนื้อแดดเดียวนั้นโรยด้วยงา แต่เซียวลิ่วหลังกลับไม่เคยได้กลิ่นเลยสักนิด จนกระทั่งเดินผ่านตรอกนั้น เขาถึงจะเริ่มได้กลิ่นขึ้นมาบ้าง

เขามองเสี่ยวจิ้งคงด้วยความประหลาดใจด “นี่เจ้าจมูกสุนัขหรืออย่างไร เหตุใดถึงได้ประสาทไวเช่นนี้”

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเสียงฮึดฮัด “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าจมูกไม่ดีเองต่างหากเล่า!”

เซียวลิ่วหลังเดินมาถึงกลางซอยกว่าจะเจอร้านขายขนมเปี๊ยะงา

เซียวลิ่วหลังมุมปากกระตุกๆ เขาน่ะหรือจมูกไม่ดี แม้แต่สุนัขก็คงไม่ได้กลิ่นหรอกกระมัง

นั่นเป็นร้านขนมเปี๊ยะงาที่เพิ่งเปิดใหม่ เพิ่งขายอย่างเป็นทางการในวันนี้ ท่าทางขายดีไม่น้อย เซียวลิ่วหลังจูงมือเสี่ยวจิ้งคงไปต่อแถว ก่อนจะซื้อขนมเปี๊ยะงาสดใหม่จากเตามาสองกล่อง

เสี่ยวจิ้งคงนับอย่างตั้งใจ เมื่อแน่ใจแล้วว่าแต่ละคนจะได้หนึ่งชิ้น ส่วนเจียวเจียวได้สองชิ้น ถึงจึงหอบกล่องเดินออกไปอย่างสุขใจ

ทว่าพอหันหลังกลับก็บังเอิญเจอกับสวี่โจวโจวที่มาซื้อขนมเปี๊ยะงาเช่นกัน

“จิ้งคง!”

“โจวโจว!”

เด็กน้อยทั้งสองตื่นเต้นดีใจ ขณะที่ยืนอยู่ข้างร้านก็กลายล่างเป็นแตรขนาดย่อม พูดคุยกันเสียงดังเจื้อยแจ้ว

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเมล็ดถั่วอายุเจ็ดขวบกับเมล็ดถั่วอายุสี่ขวบมีอะไรให้พูดคุยกันนักหนา

เสี่ยวลิ่วหลังนิ่งเงียบพลางมองดูเด็กน้อยทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ จู่ๆ ก็นึกเสียใจที่พาเขาออกมาด้วย

สวี่โจวโจวคว้ามือของเสี่ยวจิ้งคง พลางชี้ไปยังร้านอาหารที่อยู่เยื้องออกไป “นั่นเป็นร้านอาหารของญาติผู้น้องข้า น้องชายข้าอยู่ชั้นบน! ข้าจะพาเจ้าไปเจอเขา! เขาอยากเจอเจ้ามานานแล้ว!”

“พี่เขย ข้าไปได้หรือไม่” เสี่ยวจิ้งคงมองเซียวลิ่วหลังด้วยสายอ้อนวอน พอจะขออะไรจากคนอื่น เขาก็เริ่มทำเป็นออดอ้อน

เซี่ยวลิ่วหลังสูดหายใจลึกก่อนจะตอบอย่างจนใจ “ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

เสี่ยวจิ้งคงยื่นกล่องขนมให้กับเซียวลิ่วหลัง ก่อนจะถูกสวี่โจวโจวลากตัววิ่งตึงตักออกไปยังโรงมรสพที่อยู่เยื้องออกไปฝั่งตรงข้าม

ข้างร้านขายขนมเปี๊ยะงามีร้านหนังสืออยู่ร้านหนึ่ง เซียวลิ่วหลังไม่รู้จะทำอะไร บังเอิญว่าแทนหมึกที่บ้านใช้หมดแล้วพอดี ตั้งใจว่าจะไปซื้อใหม่ในวันพรุ่งนี้ วันนี้สบโอกาสมาพอดีจึงซื้อกลับไปเสียเลย

เซียวลิ่วหลังเดินเข้ามาในร้าน พลางบอกกับผู้ดูแลว่าต้องที่แท่นหมึก

ผู้ดูแลตอบกลับ “แท่นหมึกชั้นดีอยู่ด้านในขอรับ ท่านชายเดินเข้าไปเลือกเองได้เลยขอรับ”

เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไปเลือกแท่นหมึก

ภานในร้านนั้นคับแคบเหลือเกิน มีเพียงแค่ชั้นวางของสองแถว พอคนเข้าไปแค่จะหมุนตัวหันหลังกลับก็ยากเอาการ

ทว่าแท่นหมึกที่นี่เป็นของชั้นดีอย่างที่ว่าจริงๆ เซียวลิ่วหลังพอใจอย่างมาก เขาจึงเลือกมาถึงสองสามชิ้น

ขณะเดียวกัน ไท่จื่อเฟ่ยก็ผ่านมาทางนี้เช่นกัน

นางมากินข้าวที่โรงมหรสพกับไท่จือ ทว่านางได้กลิ่นหอมของขนมเปี๊ยะงามยามอยู่ชั้นบน จึงคิดว่าฉินฉู่อวี้อาจจะชอบ จึงตั้งใจลงมาเลือกขนมเปี๊ยะงาด้วยตัวเองให้เขาสักกล่อง แต่ใครจะไปรู้ว่าจะได้พบเจอกับใบหน้าอันแสนคุ้นเคยยามเดินผ่านร้านหนังสือ

นางรีบเดินเข้ามาในร้าน

“แม่นาง ไม่ทราบว่าต้องการซื้อ…”

ผู้ดูแลร้านยังไม่ทันได้พูดจบ ไท่จื่อเฟยก็ตรงดิ่งเข้าไปข้างใน

เซียวลิ่วหลังเลือกแท่นหมึกเสร็จแล้วและกำลังจะเดินออกมา ทว่ากลับพบกับใครบางคนที่เดินสวนเข้ามาเสียก่อน

เพียงแต่ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามานั้น ชั้นวางของแถวแรกกลับล้มลงมา กระแทกชนจนประตูปิดลงแล้วขวางประตูให้ปิดตาอยู่อย่างนั้น