บทที่ 283 บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 283 บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์

บทที่ 283 บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์

เสี่ยวเถียนรู้ว่าจื่ออันสงสัย เธอจึงคลี่ยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความแพรวพราว

“อาเขยแปลกใจใช่ไหมคะว่าทำไมหนูถึงรู้ว่าทางใต้เป็นยังไง?”

เฉินจื่ออันพยักหน้า

“เพราะว่าหนูเคยฝัน” เสี่ยวเถียนค่อย ๆ พูด

เธอรู้ด้วยว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายเรื่องในบ้านไม่สามารถหลบการสืบสวนไปได้ แต่เพราะมีอาเขยคอยคุ้มครอง จึงไม่มีปัญหา

คิด ๆ ดูแล้ว ตัวอาเขยก็สงสัยเหมือนกัน มีบางเรื่องที่เธอต้องพูดตอนนี้

อย่างที่คิด อีกฝ่ายเอ่ยออกมา “ฝันแบบไหนหรือ?”

“คุณปู่ราชามังกรในฝันพาหนูไปเที่ยวหลายแห่งเลย ตั้งแต่ทางตะวันตกเฉียงเหนือมุ่งไปตะวันออกเหนือ แล้วก็ไปทางใต้ด้วยค่ะ” น้ำเสียงของเสี่ยวเถียนมั่นคงมาก ไม่เหมือนโกหกเลย

มากจนเฉินจื่ออันไม่สงสัย

แต่เขาคิดว่า บางทีที่จู่ ๆ เสี่ยวเถียนก็ฝันเป็นสาเหตุที่อธิบายไม่ได้ ราชามังกรอะไรนั่น ไม่น่าเชื่อถือเลย เพราะในฝันก็มีเรื่องที่พูดไม่ได้อย่างชัดเจน

“หลานเห็นอะไรหรือ?” เฉินจื่ออันเริ่มอยากรู้มากขึ้น และสงสัยน้อยลง

“บนถนนหนทางเต็มไปด้วยการจราจรและอาคารสูงใหญ่ คุณปู่ราชามังกรบอกหนูว่า นี่คือชีวิตของหนูในอีกสิบปีข้างหน้า”

ใบหน้าของเสี่ยวเถียนยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ แม้กระทั่งมีความคาดหวังอยู่นิดหน่อย ราวกับว่าเธอมีปรารถนาในชีวิตพวกนั้น

ครั้นเห็นแม่ยายไม่สงสัย เฉินจื่ออันคิดว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงมองไปที่พวกหญิงชราด้วยความสงสัยแทน

“แม่รู้ไหมครับ?”

“รู้สิ ตั้งแต่ที่เสี่ยวเถียนได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาจากน้ำ หลานก็บอกแม่หมดเลย!” คุณย่าซูพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

คุณย่าซูไม่คิดว่าที่ตนเองพูดแบบนี้มันผิดปกติตรงไหน

เพราะหลานได้รับความโปรดปรานจากราชามังกรจึงกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลายปีมานี้ครอบครัวของเราก็มีชีวิตที่ดีได้เพราะมัน

“เสี่ยวเถียนเคยตกน้ำด้วยหรือครับ?” เฉินจื่ออันไม่รู้เรื่องนี้เลย

“ตอนนั้นเสี่ยวเถียนอายุเพียงเจ็ดขวบเองค่ะ” หม่านซิ่วตอบ

แต่คุณย่าซูอาจจะคิดถึงหม่านเซียงเอาได้ และอาจจะทำให้แม่รู้สึกไม่ดี เธอจึงเงียบลง

หม่านซิ่วเข้าใจถึงอารมณ์ของผู้เป็นแม่ เธอจึงรีบหาเหตุผลอื่นที่จะถาม “แม่คะ ตอนนั้นแม่ไม่เคยพูดเลยนี่ว่าเสี่ยวเถียนเคยไปผจญกับเรื่องแบบนี้ด้วย”

คุณย่าซูโดนขัดจังหวะพอดี และกลับไปที่หัวข้อเดิม

“เสี่ยวเถียนได้รับความโปรดปรานจากราชามังกรน่ะ เลยกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ตั้งแต่นั้นมาบ้านเราอยากได้อะไรก็จะได้แบบนั้น ชีวิตที่บ้านถึงดีขึ้นมาเรื่อย ๆ”

เพราะลูกสาวกับลูกเขยก็คนของเรา บวกกับเสี่ยวเถียนเป็นฝ่ายเอ่ยเอง หญิงชราคิดว่าหลานคงไม่ตั้งใจปิดบังกับสองคนนี้

ดังนั้นเธอจึงเลือกพูดในสิ่งที่พูดได้ แต่ไม่ได้พูดทั้งหมด

เฉินจื่ออันขมวดคิ้ว เขาไม่เชื่อว่านั่นเป็นความโปรดปรานของราชามังกรจริง ๆ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้

สำหรับความฝันอาจเพราะเหตุบังเอิญเลยทำให้เสี่ยวเถียนเห็นบางอย่าง

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในกองทัพ สหายร่วมรบบางคนยังฝันว่าได้ช่วยชีวิตทุกคนด้วย

เรื่องบางเรื่องบอกได้ไม่ชัดเจนจริง ๆ!

แต่ราชามังกรมันอยู่ในตำนานนะ ไม่น่าจะปรากฏตัวจริง ๆ หรือเปล่า

“ราชามังกรพูดอะไรกับหลานอีกหรือ?” เฉินจื่ออันไม่เชื่อ แต่หม่านซิ่วเชื่อ จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

“เขาบอกว่าชีวิตในภายภาคหน้าจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น ได้กินอิ่มไม่พอ ยังได้ยินข้าวขาว บะหมี่ขาว และกินเนื้อได้อีกด้วยค่ะ”

“แล้วก็บอกว่า ในอนาคตเด็ก ๆ จะได้ใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ ทั้งสี่ฤดูตลอดทั้งปี ไม่ต้องใช้ตั๋วเสื้อผ้า ตั๋วเนื้อสัตว์ และได้ดื่มนมด้วยค่ะ”

“มีเครื่องบินอยู่บนฟ้า มีรถไฟอยู่บนดิน และเรืออยู่ในน้ำ พวกมันวิ่งเร็วมากค่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนพยายามใช้ภาษาของเด็กเพื่ออธิบายชีวิตในอนาคต

ยิ่งเธอพูดมากเท่าไร ความสงสัยของจื่ออันก็น้อยลงเท่านั้น

ตอนนี้มีของพวกนี้อยู่ แต่มีเพียงไม่กี่คนในเมืองเล็ก ๆ ที่รู้เรื่องเหล่านี้

ซูเสี่ยวเถียนอาจมีความฝันเช่นนี้เพราะเธออ่านหนังสือมากก็ได้ แต่ว่าเรื่องถ้าไม่มีตั๋วเนี่ย มันจะเป็นไปได้จริงหรือ?

“แน่ใจหรือว่าราชามังกรเป็นคนบอก?” เฉินจื่ออันถาม

ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

จากนั้นเธอก็พูดอีกครั้ง “อาเขยคะ ถ้าไปทางใต้แล้ว มีโอกาสให้ไปลี่เฉิงนะคะ เป็นที่ที่ดีที่สุดค่ะ”

“ลี่เฉิงหรือ?” เฉินจื่ออันขมวดคิ้ว

ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อน?

“ลี่เฉิงอยู่ที่ไหนหรือ?” เฉินจื่ออันถาม

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัวอย่างเป็นธรรมชาติ

ลี่เฉิงในตอนนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ยังไม่มีชื่อเสียง

เธอไม่สามารถพูดได้ แต่เมื่อวันหนึ่งมีการวางแผนเขตพิเศษใหม่ เธอเชื่อว่าอาเขยจะคิดได้

คุณย่าซูและอาใหญ่หัวเราะ พวกเธอคิดว่านี่เป็นคำพูดที่ไร้เดียงสาจริง ๆ

“หลานคนนี้ ไม่รู้เลยว่าพูดอะไรอยู่”

“คุณปู่ราชามังกรบอกว่าที่นั่นจะมีการพัฒนาอย่างมากในอนาคตค่ะ! เขาบอกว่าลี่เฉิงอยู่ริมทะเล!”

พูดมากได้เท่านี้จริง ๆ ถ้ามากกว่านี้พูดไม่ได้แล้ว

เสี่ยวเถียนรู้ว่าบางเรื่องต้องหยุดเอาไว้ ถ้าพูดมากไปจะส่งผลย้อนกลับมาได้ เธอจึงส่ายหัว

เฉินจื่ออันยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก ดวงตาจ้องหลานสาวราวกับว่าเขาอยากเห็นอะไรบางอย่างจากการแสดงออกของเธอ แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นอะไรเลย

“ถ้างั้นบอกได้ไหมว่ามันพัฒนาแบบไหน?” จื่ออันถามอีกครั้ง

“ไม่รู้สิคะ คุณปู่ราชามังกรบอกแค่ว่าลี่เฉิงจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นสถานที่ที่เติบโตเร็วที่สุดและร่ำรวยที่สุดในประเทศของเราค่ะ”

เขาสงสัยแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะคิดว่าเสี่ยวเถียนยังเด็กเกินไป อ่านหนังสือเยอะไป หลอมรวมความจริงกับความฝันเข้าด้วยกัน

เขายังคิดจะบอกให้หลานอ่านหนังสือน้อยลงดีไหมด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เสี่ยวเถียนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง มีคนเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าอัจฉริยะมักจะแตกต่างออกไป และจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าซูเสี่ยวเถียนอาจจะเป็นเด็กที่แตกต่างออกไป เพราะงั้นเลยโยนเรื่องนี้ทิ้งไป

ส่วนซูหม่านซิ่วเริ่มสนใจในสิ่งที่ซูเสี่ยวเถียนพูดแทน

“เสี่ยวเถียน หนูเห็นของพวกนี้ในฝันจริง ๆ หรือ?”

ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าทำไมตนถึงพยักหน้า

“อาใหญ่ หนูเคยเห็นจริง ๆ นะ!”

ซูหม่านซิ่วพูดอย่างกระตือรือร้น “อายังเพ้อฝันเรื่องชีวิตในอนาคตเลย แถมยังเขียนออกมาเป็นเรื่องด้วย เดี๋ยวจะให้อ่าน”

พอมองไปที่ใบหน้ามีความสุขของภรรยา เฉินจื่ออันไม่รู้จะพูดอะไร

ทำไมสองอาหลานเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้?

คงไม่ใช่กรรมพันธุ์ของครอบครัวใช่ไหม?

แต่คนอื่นก็ปกติอยู่นะ

หรือตระกูลซูจะมีปัญหาลึกลับที่ส่งต่อแค่ลูกสาว แต่ไม่ส่งต่อลูกชาย?

ในไม่ช้า ซูหม่านซิ่วก็กลับมาพร้อมกระดาษปึกหนาในมือ

“เสี่ยวเถียนลองอ่านดูนะ อาเขียนเอง เหมือนที่เคยเห็นหรือเปล่า?”

ตอนซูหม่านซิ่วเอาต้นฉบับพวกนี้ให้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแรงปรารถนาราวกับรอการอนุมัติจากเสี่ยวเถียน

เด็กหญิงหยิบงานเขียนขึ้นมาด้วยความสงสัย

เนื่องจากเกิดใหม่อีกครั้งจึงรู้เยอะ เพราะงั้นถึงได้พูดออก แล้วทำไมอาใหญ่ถึงบอกว่าตัวเองก็คิดเรื่องพวกนี้เหมือนกันล่ะ?

แต่พออ่านไปสองสามหน้าก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ

เธออ่านอะไรอยู่เนี่ย?

งานเขียนที่ถืออยู่ในมือคือบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน

“อาใหญ่เขียนไปเท่าไรแล้วคะ?” ซูเสี่ยวเถียนรู้ว่านิ้วเธอสั่นด้วยความตื่นเต้น

ซูหม่านซิ่วพูดอย่างเขินอาย “อาเขียนไปด้วยคิดไปด้วย ไม่รู้เขียนไปเท่าไร รู้ตัวอีกทีก็หลายเล่มแล้ว”

หนังสือหลายเล่มที่ซูหม่านซิ่วบอกคืองานเขียนหลายเล่ม

งานเขียนเล่มแรกมีห้าสิบห้าหน้า หน้ากระดาษหนึ่งแผ่นสามารถเขียนอักขระได้สี่ร้อยตัว มีงานเขียนอีกหลายเล่มน่าจะมีสักแสนคำ

เป็นครั้งแรกที่ซูเสี่ยวเถียนค้นพบว่าอัจฉริยะของตระกูลซูไม่ใช่ตัวเธอเอง แต่เป็นอาหม่านซิ่วต่างหาก

ก่อนหน้านี้อาใหญ่เคยเข้าชั้นเรียนชนบทมาก่อน หลายปีมานี้อาเขยก็สอนมานิดหน่อย และอาใหญ่ก็เรียนด้วยตัวเอง แต่เธอกลับประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง

“อาใหญ่ นี่คือบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ หนูเคยอ่านมา” เสี่ยวเถียนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หลังจากที่อาใหญ่แก้ไขให้เรียบร้อยและส่งไปที่สำนักพิมพ์ หรือส่งไปที่นิตยสารก็ได้นะคะ”

ซูหม่านซิ่วเขินอายมากและรีบโบกมือ “อาแค่เขียนไปงั้น ๆ จะส่งให้สำนักพิมพ์ได้ยังไง อายคนเขา!”

“ไม่ใช่เรื่องน่าอายนะ พี่สี่ พี่มาอ่านที่อาใหญ่เขียนเร็วว่าเขียนดีไหม!”

ซูเสี่ยวซื่อรับงานเขียนมาจากมือน้องเล็ก และหลังจากอ่านไปสองสามหน้า เขาก็ปรบมือ

ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญในตระกูลเราที่สามารถเขียนเรื่องราวที่น่าสนใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ สิ่งที่เขียนในเรื่องสดใหม่มาก และเขาไม่เคยนึกถึงมันมาก่อน

“อาใหญ่ไม่ต้องอายครับ อาเก่งมากเลย!” เสี่ยวซื่อทนไม่ไหวยกย่องหม่านซิ่วเหมือนเทพธิดา

สายตาที่เสี่ยวเถียนมองอาใหญ่ก็แตกต่างไปจากเมื่อก่อนเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ เธอเคยคิดว่าซูหม่านซิ่วจะเขียนนิทานเสียอีก เพราะเธอเล่านิทานให้เฉินซิ่วหย่วนฟังและมันน่าสนใจมาก

และการที่ซูหม่านซิ่วสามารถเขียนบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจได้ มันเกินความคาด

หมายมาก