บทที่ 324 ดูน่าสงสารหน่อย
บทที่ 324 ดูน่าสงสารหน่อย
เมื่อผลักประตูเข้าไปในห้องนอน ซูโย่วอี๋ก็ยืนเหม่ออยู่ที่หน้าประตูมาสักพักแล้ว
ภายในห้องดูอบอุ่นมากเกินไป แสงสีขาวอ่อน ๆ ตกกระทบลงมา และสาดส่องไปบนผ้าปูที่นอนสีชมพูพาสเทล ด้านบนมีไข่มุกสีใสประดับอยู่
พรมกำมะหยี่สีขาวสลับสีชมพู แม้แต่โต๊ะหนังสือ รวมถึงแก้วน้ำก็เป็นสีชมพูทั้งหมด
มีกลิ่นอายของความหวานอยู่ทั่ว สายลมพัดมาที่หน้าต่างอย่างแผ่วเบา
ราวกับอยู่ในฝัน
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นห้องเจ้าหญิงในแบบที่ซูโย่วอี๋ใฝ่ฝันมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต
สำหรับผู้หญิงในวัย 24 ปีอย่างเธอแล้ว มันก็ไม่ได้ดูเด็กน้อยไปเลยสักนิด
ซูโย่วอี๋เตะรองเท้าแตะออกและเดินเข้าไปด้วยเท้าเปล่า พรมที่พื้นอ่อนนุ่มแสนสบาย
เธอทิ้งตัวลงนอน จ้องมองไปยังโคมระย้าคริสตัลที่แขวนอยู่อย่างเหม่อลอย
เธอกลับบ้านแล้วจริง ๆ
คืนนั้นทั้งคืนเธอไม่ได้ฝันอะไรเลย
เช้ารุ่งขึ้นตอนที่ซูโย่วอี๋ลงมาจากชั้นบน คนในครอบครัวกำลังกินอาหารเช้าอยู่
คุณนายฮันยิ้มและมองมายังเธอ “เสี่ยวอี๋ ทำไมไม่นอนพักให้นานกว่านี้หน่อยล่ะ?”
“อืม มันชินไปแล้วค่ะ”
“รีบมากินอาหารเช้าเร็ว ลูกชอบกินอาหารจีนหรืออาหารฝรั่ง?”
ซูโย่วอี๋กวาดตามองอาหารบนโต๊ะ “ฉันชอบกินก๋วยเตี๋ยวค่ะ”
คนรับใช้รีบตักใส่ถ้วยให้เธอทันที “คุณซู คุณชอบท่านรสชาติแบบไหนคะ? ต่อไปพวกเราจะได้ทำตามรสชาติที่ถูกปากคุณ”
“ได้หมดเลยค่ะ”
เธอก้มหน้ากินอาหาร
ส่วนฮันเจ๋อเหยียนที่กินเสร็จแล้วเช็ดปากของตัวเอง “ผมกินอิ่มแล้ว พวกพ่อแม่กินต่อเถอะ”
พูดจบก็มองไปยังซูโย่วอี๋ “เรื่องแม่บ้านพี่ติดต่อไว้ให้เรียบร้อยแล้วนะ อายุประมาณสี่สิบกว่า ๆ มีประสบการณ์ในด้านนี้มาเกือบ 20 ปีแล้ว เธอเป็นที่รู้จักอย่างดี เป็นคนทำงานหนักและซื่อสัตย์ ทำอาหารก็อร่อย”
“ซูหยินไม่ชอบพักอยู่กับคนอื่น พี่เช่าห้องข้าง ๆ ห้องของเธอเอาไว้แล้วปีนึง ตามปกติถ้าคุณป้าเขาทำอาหารเสร็จแล้วจะเอาไปส่งให้ และทุก ๆ หนึ่งสัปดาห์จะเข้าไปทำความสะอาด
เขาทำทุกอย่างได้รอบคอบมาก
น้ำเสียงจริงใจของซูโย่วอี๋ดังขึ้น “ขอบคุณนะคะ พี่”
ฮันเจ๋อเหยียนลูบหัวของเธอ “กินข้าวเยอะ ๆ ล่ะ”
“มีขนมอะไรที่ชอบกินหรือเปล่า? ถ้าพี่เลิกงานกลับมาจะได้เอามาให้”
ดวงตาของซูโย่วอี๋วูบไหว “พี่เห็นฉันเป็นเด็กเหรอ?”
“แล้วไม่ใช่หรือไง?”
ซูโย่วอี๋โบกมือ “พี่รีบไปทำงานเถอะ”
วันส่งท้ายปีก็ยังต้องไปทำงาน ดูท่าน่าจะยุ่งมากจริง ๆ
คุณฮันนั่งอยู่อีกฝั่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่มุมปากก็แอบเชิดขึ้นเล็กน้อย
ลูกสาวที่แสนเชื่อฟังและสวยสง่าราวกับตุ๊กตา
มองดูแล้วช่างสบายใจจริง ๆ
ซูโย่วอี๋บอกว่าอีกสักพักเธอจะไปดูหยินหยิน คุณนายฮันจึงเตรียมคนขับรถให้ขับรถไปส่งเธอ
มองดูรถที่หายไปจากสายตา คุณนายฮันจึงสั่งกับคนรับใช้ “เสี่ยวอี๋พึ่งมา จะพูดจะทำอะไรก็คงจะเกร็ง ๆ ปกติแล้วเธอชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไร ชอบทำอะไรไม่ชอบทำอะไร พวกเธอต้องใส่ใจให้มาก ๆ ด้วยล่ะ”
เหล่าคนรับใช้ตอบกลับพร้อมกัน “ค่ะ”
…
ซูโย่วอี๋ใช้กุญแจเปิดประตูห้อง ก็เห็นว่าทั้งห้องนั้นเงียบสงบ
ซูหยินยังนอนหลับอยู่
ซูโย่วอี๋ไปเคาะประตูที่อยู่ห้องข้าง ๆ มีผู้หญิงวัยกวางคนคนหนึ่งมาเปิดประตู
เธอสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านและเรียบร้อย ผมเผ้าหวีมาอย่างดี
เธอดูสงสัย “คุณคือ…”
ซูโย่วอี๋อธิบายว่าเธอเป็นใคร และอธิบายการทำงานในวันปกติ
ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนและดุใจดี “คุณวางใจได้เลยค่ะ ฉันทำงานด้านนี้มานาน ไม่เคยมีใครบอกมาก่อนเลยว่าฉันทำงานได้ไม่ดี”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…”
หญิงวัยกลางคนตบลงที่หน้าอกตัวเอง “พูดมาได้เลยค่ะ ขอแค่เป็นเรื่องที่ฉันทำได้”
เงินเดือนที่ฮันเจ๋อเหยียนให้เธอนั้นสูงกว่าราคาทั่วไป แน่นอนว่าทำให้แรงจูงใจในการทำงานมีมากเพิ่มขึ้นไปด้วย
“ฉันอยู่ไกล มีหลาย ๆ ครั้งที่ไม่สามารถดูแลได้ รบกวนคุณช่วยใส่ใจพฤติกรรมและอาการของหยินหยินด้วย ถ้ามีอะไรที่ผิดปกติ รีบติดต่อหาฉันทันที”
หญิงวัยกลางคนตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อกัน หลังจากนั้นซูโย่วอี๋จึงได้กลับไปยังบ้านของซูหยิน
เมื่อซูหยินตื่นนอนมาแล้วเห็นซูโย่วอี๋อยู่ที่ห้องนั่งเล่นก็ขมวดคิ้วขึ้น “ทำไมเธอถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ?”
ซูโย่วอี๋ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ “หยินหยิน เธอดูรังเกียจฉันมากเลยนะ”
“ก็รังเกียจจริง ๆ นั่นแหละ”
“เมื่อคืนนี้ฉันคิดถึงเธอจนนอนไม่หลับเลยนะ”
ซูหยินเปิดฝาขวดน้ำออก และดื่มเข้าไปสองอึก “มาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ?”
ซูโย่วอี๋เลิกล้อเล่น “อืม เธออยากกลับไปดูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไหม?”
ซูหยินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง “ไปบริจาคเหรอ?”
ซูโย่วอี๋เคยพูดเอาไว้ว่าขอแค่ให้เธอสามารถหาเงินได้ ทุก ๆ ปีเธอจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาบริจาคให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่ให้เด็กกำพร้าในตอนนี้ต้องลำบากเหมือนตอนที่พวกเธออยู่
และให้มันเปลี่ยนแปลงอะไรไปได้แค่เล็กน้อยก็ยังดี
เพียงแต่ว่าเมื่อก่อน ซูโย่วอี๋เองก็ไม่ค่อยมีเงิน เลยไม่ต้องพูดถึงเรื่องการบริจาคเลย
แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เธอร่ำรวย
“เธอจะบริจาคเท่าไหร่?”
ซูโย่วอี๋ยื่นนิ้วขาวเรียวบางทั้งห้านิ้วของเธอออกมา “ห้าแสน”
“โอเค ฉันก็จะบริจาคห้าแสน”
“ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหรอ? บอกว่าพวกคนดูแลเห็นแก่ตัว แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว เงินที่บริจาคไปต่างก็เข้ากระเป๋าตัวเองทั้งนั้น?”
ตอนแรกที่ซูหยินเป็นดารา สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเคยติดต่อเธอไปเพราะอยากให้เธอมอบทุนช่วยเหลือให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อใช้ปรับปรุงอาคารที่พัก
แต่ก็ถูกซูหยินปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใย
ตอนนี้กลับเปลี่ยนความคิดไปอย่างกะทันหันงั้นเหรอ?
“ถือว่าเป็นการสะสมบุญให้ลูกในท้องไง”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ก็ดี งั้นเดี๋ยวฉันหาเวลาซื้อของขวัญปีใหม่ไปด้วยเลยแล้วกัน”
ท้ายที่สุด วันที่จะกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าถูกกำหนดไว้ในเดือนนี้วันที่สาม
ลู่เฉินฟังที่เธอพูด “ในเมื่อพวกคุณอยากจะบริจาค ก็ต้องยื่นเรื่องด้วย ต้องให้พวกเขายอมรับการตรวจสอบทางการเงินเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เงินส่วนนี้ไปไม่ถึงเด็กกำพร้า”
ซูโย่วอี๋ตอบกลับไป “คุณตัดสินใจเอาเลย”
เธอแค่ทำหน้าที่บริจาค
ก่อนหน้านี้ซูโย่วอี๋โทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อบอกเรื่องที่เธอและซูหยินจะกลับไป ผู้อำนวยการดีใจมากและตอบตกลงทันที
เธอดูเป็นคนละคนกับคนที่เคยเย็นชาในตอนเด็ก ๆ
“[พวกคุณจะมาถึงตอนไหน?]”
พวกเธอออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าจะถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็น่าจะประมาณเที่ยงแล้ว
ผู้อำนวยการพูดต่อ “[งั้นพวกเราทำอาหารเที่ยงไว้รอพวกคุณนะคะ]”
ซูโย่วอี๋อยากจะรู้ถึงสถานการณ์ภายในของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ฟังไปฟังมาผู้อำนวยการก็เอาแต่พูดว่าที่นี่น้ำรั่ว ที่นั่นแตกพัง อุปกรณ์เก่ามาก
สรุปแล้วก็คือขาดเงิน
ซูโย่วอี๋วางสายไปอย่างไม่สนใจ “ที่แท้นิสัยคนเราก็เปลี่ยนกันไม่ได้เลย”
ซูโย่วอี๋ซื้อชุดอุปกรณ์การเรียนตามจำนวนคน รวมถึงกระเป๋าหนังสือ กล่องดินสอและอื่น ๆ แถมยังซื้อชุดเครื่องนอนด้วย
เดิมทีเธออยากจะซื้อเสื้อกันหนาวให้กับทุกคนด้วย แต่เธอเองก็ไม่รู้ขนาดที่แน่นอนจึงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป
แต่เพียงแค่ข้าวของพวกนี้ ก็ถึงกับต้องใช้รถบรรทุกถึงจะเอาของมาได้หมด
เมื่อรถจอดลงที่หน้าประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผู้อำนวยการยิ้มหน้าบาน
ซูโย่วอี๋พยุ่งซูหยินลงจากรถได้ไม่นาน ผู้อำนวยการก็พุ่งตัวเข้ามา “นี่คงจะเป็นซูหยินสินะคะ”
และเธอมองมาที่ซูโย่วอี๋ “เกือบจำไม่ได้แล้วนะเนี่ย ตอนนี้พวกคุณต่างก็มีอนาคตกันหมดแล้ว ดูสิ สวยอีกต่างหาก”
“นึกถึงตอนนั้น ตอนที่พวกเธออยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและเป็นเหมือนหอยทากตัวน้อย ๆ”
ผู้อำนวยการตั้งใจจะทำให้พวกเธอใกล้ชิดเข้ามามากยิ่งขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าซูหยินและซูโย่วอี๋ไม่ได้คิดถึงและไม่ได้พูดถึงเรื่องราวเก่า ๆ เลย
ทำให้การแสดงออกของผู้อำนวยการจึงดูน่าเขินอายเล็กน้อย “เข้าไปดูในสถานเลี้ยงเด็กกันเถอะค่ะ”
ทุกคนพากันเดินผ่านประตูเหล็กเล็ก ๆ เข้าไป มีกลุ่มเด็กอายุ 7-8 ขวบยืนเข้าแถวเป็นสามแถว และกำลังมองไปยังคนที่เข้ามาอย่างกระตือรือร้น
เสื้อผ้าถูกซักจนขาวซีด ดูไม่ค่อยพอดีกับตัว ดีที่ไม่ได้มีรอยเย็บ แต่มือและจมูกของเด็ก ๆ เย็นจนแดงแจ๋ เสื้อผ้าน่าจะไม่อบอุ่นมากพอ
ผู้อำนวยการขยิบตา เด็กผู้ชายที่ตัวสูงขึ้นมาหน่อยเปิดปากพูดขึ้น “เตรียมตัว เริ่มได้”
เหล่าเด็ก ๆ ร้องเพลงต้อนรับพร้อมกับตัวสั่น ๆ
ยังไม่รอให้เพลงจบ ซูหยินพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ให้เด็ก ๆ กลับไปให้หมด”
วันนี้อาการหนาวมากเกินไป
เธอและซูโย่วอี๋เกิดมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เกลียดการแสดงแบบนี้เป็นที่สุด
ใบหน้าของผู้อำนวยการหม่นลง “เด็ก ๆ เตรียมการกันมาตั้งนานนะคะ ยังไงก็ควรดูสักหน่อย”
รองผู้อำนวยการที่อยู่ข้าง ๆ ทำให้ทุกอย่างราบรื่นมากขึ้น “พวกคุณหิวแล้วใช่ไหมครับ กับข้าวเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว กินข้าวกันก่อนถ้ามีอะไรที่อยากดูหรืออยากถาม พวกเราค่อยคุยกันตอนบ่ายก็ได้ครับ”
สถานที่กินข้าวก็แบ่งแยกจากกัน
เหล่าเด็ก ๆ กินข้าวที่โรงอาหาร ส่วนแขกมีห้องส่วนตัวพิเศษ กับข้าวก็ผัดแยกกัน
อาหารครบชุดมีทั้งไก่ เป็ด และปลา
เหล่าเด็ก ๆ สูดลมเข้าจมูกอย่างกระตือรือร้น น้ำลายก็เริ่มไหลออกมา “หอมจัง”
“นี่มันกับข้าวอะไรกัน?”
“ปลาแน่ ๆ เลย”
“ไม่ใช่ มันคือไก่ เมื่อก่อนพวกเราเคยกิน”
“ทำไมฉันไม่เห็นจำได้เลยว่าเคยกิน”
“ครั้งที่แล้วเธอมาช้าไป เลยไม่มีแล้ว”
รองผู้อำนวยการทักทายทุกคนในระหว่างกินข้าวอย่างอบอุ่น จนกระทั่งเขาหยิบเหล้าขึ้นมา “เหล่าสุภาพสตรีดื่มเหล้าหน่อยไหมครับ?”
“ไม่ล่ะ”
รองผู้อำนวยการไม่ได้เซ้าซี้ต่อและมองไปยังลู่เฉิน “คุณผู้ชายท่านนี้ชื่ออะไรครับ?”
“ผมนามสกุลลู่”
“คุณลู่ อยากดื่มสัก 2-3 แก้วมั้ยครับ?”
เสียงทุ้มต่ำของลู่เฉินตอบกลับ “ขอบคุณมาก แต่ไม่ดีกว่า”
รองผู้อำนวยการไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก
ต่อหน้าลู่เฉิน เขามักจะรู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็น แม้ว่าอีกฝ่ายจะมองผ่านเขาไปแค่เพียงแวบเดียว แต่ก็ทำให้เขาตกใจจนเนื้อเต้น
ซูโย่วอี๋หาข้ออ้างว่าไปเข้าห้องน้ำเพื่อออกมาจากห้องส่วนตัว และไปดูอาหารของเด็ก ๆ วันข้ามปีแบบนี้แต่กลับมีเพียงเนื้อผัดพริกหยวกเป็นอาหารจานเดียว ที่เหลือล้วนเป็นผักทั้งหมด
การผัดอาหารก็แย่ น้ำเยอะ น้ำมันน้อย พอเอาตะเกียบคีบลองชิมดูก็จืดชืดไร้รสชาติ
เด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความเขินอาย “พี่สาวคะ พี่สวยจังเลย”
ซูโย่วอี๋ย่อตัวลง “ขอบคุณค่ะ”
และก็มีเด็ก ๆ อีกหลายคนวิ่งเข้ามาล้อมเธอไว้ “พี่สาว ในรถบรรทุกที่พวกพี่เอามาด้วยมีอะไรอยู่ข้างในนั้นเหรอ?”
“ของขวัญของพวกเธอไง”
“ว้าว”
ดวงตาของเด็ก ๆ เปล่งประกายออกมา “มันคืออะไรเหรอ?”
“อีกเดี๋ยวค่อยแจกให้พวกเธอนะ”
ซูโย่วอี๋ลูบที่กระเป๋า และพบว่าในนั้นมีลูกอมอยู่ 2-3 เม็ด จึงหยิบออกมา “อะ ให้พวกเธอกินนะ”
เด็ก ๆ มองหน้ากันอย่างสงวนท่าที หลังจากนั้นจึงเอามือหยิบไป
หนึ่งคนต่อหนึ่งเม็ด ไม่มีใครกล้าหยิบไปมากกว่านั้น
ลูกอมน้อยเกินไป คนที่ยืนอยู่ข้างหลังอีก 2-3 คนยังไม่ได้ลูกอมเลย ทำได้เพียงยืนน้ำลายไหลมองคนอื่น
ทั้งยังมีอีกคนที่ถึงกับร้องไห้ออกมา “พี่สาว หนูก็อยากกินลูกอม”
ร้องไห้เสียจนน้ำมูกไหลออกมาแล้ว
ซูโย่วอี๋มองดูพวกเธอ ก็เหมือนกับมองดูตัวเองเมื่อก่อน
ช่างเจ็บปวดหัวใจ
“พี่จะให้คนไปซื้อมาให้ ตกลงไหม?”
เด็กหญิงคนนั้นจึงหยุดร้อง
ซูโย่วอี๋ถามขึ้น “ปกติแล้วพวกเธอกินอาหารพวกนี้เหรอ?”
เด็ก ๆ ดูลังเลนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้า
ไม่นาน ลู่เฉินก็ออกมาตามเธอ
ซูโย่วอี๋บอกลาเด็ก ๆ “ค่อยเจอกันนะ”
ตอนที่เธอกำลังจะหมุนตัวจากไปนั้น เด็กผู้ชายที่อายุค่อนข้างโตแล้วดึงชายเสื้อของเธอเอาไว้
ซูโย่วอี๋หันกลับมาฟัง “มีอะไรหรอ?”
เด็กผู้ชายกัดริมฝีปากอยู่นานกว่าจะยอมพูดออกมา “พี่สาว ปกติพวกเราไม่ได้กินอันนี้”
“หืม?”
“ทุก ๆ สัปดาห์พวกเราได้กินเนื้อไก่กับเนื้อเป็ดอยู่ไม่กี่วัน”
“เสื้อผ้าของพวกเราก็ไม่ได้เก่าขนาดนี้ แต่เพราะผู้อำนวยการให้พวกเราสวมเสื้อผ้าที่แย่มากที่สุด”
“แล้วยังบอกอีกว่าให้พวกเราสวมเสื้อผ้าให้ดูน่าสงสารหน่อย”
ดวงตาของซูโย่วอี๋สั่นไหว ที่ผู้อำนวยการทำแบบนี้ก็เพราะต้องการให้พวกเธอบริจาคเงินให้มากขึ้นสินะ