บทที่ 309 ลูกเป็นของเขาอย่างที่คิด
วิธีทำของโม่เสี่ยวฮุ่ยทำให้ลี่จุนถิงรู้สึกสบายใจได้อยู่บ้าง
แต่เพราะระดับความตึงเครียดของโม่เสี่ยวฮุ่ย ทำให้ฝั่งโมเฉินยี่ไม่มีโอกาสได้ลงมือเลย ได้แต่รอโง่ๆไปวันๆ
เห็นเวลายิ่งใกล้เข้ามาทุกที โมเฉินยี่จึงจำเป็นต้องติดต่อฟู้ชูเหม่ยไป
ยังไงเวลาก็ไม่รอคน เขาไม่มีเวลามากพอที่จะเสียไปมากกว่านี้แล้ว
โมเฉินยี่มองชื่อบนหน้าจอมือถือ กัดริมฝีปากกดโทรออกไป
“ฮัลโหล?” ฟู้ชูเหม่ยพูด
“ผมเองครับ” โมเฉินยี่กล่าว
ฟู้ชูเหม่ยฟังเสียงออกจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ว่าไง มีเรื่องอะไร?”
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ? คุณรู้ไหมว่าผมร้อนใจแค่ไหน? คุณยังเอ้อระเหยสบายใจได้อีกนะครับ” เห็นสายที่กดรับแล้ว โมเฉินยี่ก็พูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
“ตอนนี้ฝั่งโม่เสี่ยวฮุ่ยจับตาดูแน่นหนาขนาดนั้น ผมไม่มีโอกาสลงมือเลย ถ้าเป็นแบบนี้อีก ไม่ช้าก็เร็วก็จะผ่านช่วงเวลานั้นไปได้นะครับ” โมเฉินยี่ถอนหายใจพร้อมกับพูดอย่างตึงเครียด
ปลายสายเงียบอยู่นาน
“คุณวางใจได้เลย ในเมื่อฉันสัญญากับคุณแล้วก็ต้องทำได้แน่นอน สองสามวันนี้คุณแค่ต้องทำใจให้สบายก็พอ ฝั่ง DNA เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง คุณอย่าทั้งวันเอาแต่ตื่นตระหนกแบบนี้ จะทำให้คนอื่นสังเกตเห็นถึงความผิดปกติเอาได้”
ฟู้ชูเหม่ยพูดอย่างไม่พอใจ
“แต่เวลารอไม่คน ถึงแม้คุณจะตกลงแล้ว แต่ก็ต้องรีบลงมือให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วก็จะจบจริงๆแน่” โมเฉินยี่เร่งรัด
“รู้แล้วๆ เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง คุณแค่รอรับผลประโยชน์ก็พอ และอีกอย่าง ไม่มีอะไรก็อย่าโทรหาฉันอีก” ฟู้ชูเหม่ยมองมือถือแวบหนึ่งแล้วตัดสายไป
ฟู้ชูเหม่ยมองท้องฟ้าของคืนนี้ ไม่รู้ใช่เพราะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วหรือเปล่า ท้องฟ้าของคืนนี้ถึงได้มืดเป็นพิเศษ ประหนึ่งยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วมือ ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้เป็นอย่างยิ่ง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถเบนซ์สีแดงคันหนึ่งจอดลงที่อาคารที่พักอาศัยแห่งหนึ่ง
ฟู้ชูเหม่ยสวมผ้าปิดปาก ใส่รองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง เคาะประตูผู้พักอาศัยคนหนึ่งอย่างเอ้อระเหยสบายใจ
“ใครครับ?” ผ่านไปชั่วขณะ เสียงของผู้ชายก็ดังออกมาจากข้างใน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตู
ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งมองฟู้ชูเหม่ยอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยความประหลาดใจ กำลังจะเปิดปากถามว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร ปรากฏว่ายังไม่ทันได้เปิดปากถาม ฟู้ชูเหม่ยก็เดินเข้ามาในห้องซะแล้ว
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ?” ชายวัยกลางคนเปิดปากถาม
“ตอนเช้าเมื่อสองวันก่อนมีคนกลุ่มหนึ่งมาโรงพยาบาลของคุณเพื่อให้คุณตรวจ DNA ใช่ไหมคะ” ฟู้ชูเหม่ยไม่ได้ตอบคำถามของผู้ชาย แต่ตัวเองกลับถามออกไปเอง
ชายวัยกลางคนคิ้วขมวดเล็กน้อย “ใช่ครับ แล้วยังไงครับ”
“ห้าแสน คุณไปแก้ผลตรวจนั่นซะ” ฟู้ชูเหม่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าฟู้ชูเหม่ยมีความคิดแบบนี้ ชายวัยกลางคนจึงชะงักไปสองวิ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับส่ายหัว “ผมเป็นหมอ ก็ต้องมีจรรยาบรรณแพทย์ ห้ามเปิดโปงข้อมูลของคนอื่นมั่วซั่ว ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่สมควรที่จะเป็นหมอ”
“ทำเรื่องเสร็จ ฉันจะเพิ่มให้อีกห้าแสน ว่าไงคะ?” ฟู้ชูเหม่ยถามต่อ
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า “ไม่ว่าคุณจะเพิ่มเงินอีกเท่าไหร่ผมก็ไม่ตกลงเด็ดขาด คุณตายใจเถอะ”
สำหรับการปฏิเสธของชายวัยกลางคน ฟู้ชูเหม่ยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก แต่กลับยืนตัวตรงแทน “ได้ ในเมื่อพูดดีๆคุณไม่ฟัง คงต้องบีบบังคับคุณถึงจะยอมสินะ ถ้างั้นก็อย่าโทษฉันก็แล้วกัน”
ฟู้ชูเหม่ยหยิบมือถือออกมาจากในกระเป๋าแล้วโทรไปหาเบอร์ๆหนึ่ง
“ให้เด็กคนนั้นพูด” ฟู้ชูเหม่ยสั่งเสร็จก็ให้มือถือกับชายวัยกลางคน
ไม่นานก็มีเสียงของเด็กคนหนึ่งดังออกมา
“พ่อ พ่อช่วยหนูด้วย ที่นี่มืดมากเลย หนูกลัว”
สี่วันจากนั้น ณ โรงพยาบาล
ดูผลตรวจที่เพิ่งพิมพ์ออกมา ข้างบนเขียนว่ายืนยัน 99.99% เจียงหยุนเอ๋อเซไปด้านหลังสองก้าวด้วยความรู้สึกยากที่จะเชื่อ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ
“ไม่ๆๆ เป็นไปได้ยังไง ไม่มีทาง……” เจียงหยุนเอ๋อพึมพำ
เห็นเจียงหยุนเอ๋อเริ่มไม่มั่นคงแล้ว ถวนจื่อที่อยู่ข้างๆกอดเจียงหยุนเอ๋อไว้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
โม่เสี่ยวฮุ่ยถอนหายใจออกมายาวๆ ผ่านไปนานถึงค่อยพูดขึ้นว่า “ในเมื่อผลตรวจออกมาแล้วและพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่พูดในตอนแรก คืนเด็กคนนี้ให้คนอื่นเขาเถอะ”
“ตระกูลลี่ของเราไม่มีทางยอมรับเด็กที่ไม่บริสุทธิ์แบบนี้เด็ดขาด” โม่เสี่ยวฮุ่ยสีหน้าเย็นชา พูดขึ้นอย่างเด็ดขาด
ถึงแม้โม่เสี่ยวฮุ่ยจะไม่พอใจกับผลลัพธ์แบบนี้ แต่อย่างไรเสียตระกูลลี่ก็เป็นตระกูลสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียง อย่าว่าแต่ลูกนอกสมรสเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง……
เพราะฉะนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว โม่เสี่ยวฮุ่ยไม่มีทางยอมรับการมีอยู่ของถวนจื่อได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะมีคำติฉินนินทามากมายแค่ไหนมาตำหนิพวกเขา
“ผมบอกแต่แรกแล้วว่าเด็กคนนี้คือลูกของผม ในที่สุดตอนนี้ก็พิสูจน์ได้ซะที” โมเฉินยี่ยิ้มได้ใจ
“ไม่มีทาง จะเป็นลูกของคุณได้ยังไง” เจียงหยุนเอ๋อพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจ ไม่กล้าที่จะเชื่อเรื่องนี้จริงๆ
เห็นสถานการณ์แบบนี้ ลี่จุนถิงที่เงียบไม่พูดอยู่ข้างๆตลอด จู่ๆก็เดินไปยืนข้างๆหมอ
“ในเมื่อคุณเป็นหมอ คุณก็ต้องมีจรรยาบรรณแพทย์ขั้นพื้นฐานที่สุด คุณรับประกันต่อหน้าทุกคนตอนนี้ได้ไหมว่าผลตรวจนี้คุณไม่ได้ไปดัดแปลงอะไรเลย?”
ลี่จุนถิงก้าวเท้าเข้าไปเรื่อยๆ ต้อนหมอไปมุมตาย
สายตากะทันหันนี้ทำให้หมอถึงกับสะดุ้งตกใจเลยทีเดียว หมอตื่นเต้นจนเบือนหน้าไปอย่างเห็นได้ชัด ลำคออดกระชับแน่นไม่ได้ “ไม่ ไม่มีครับ”
“ไม่มี?” นัยน์ตาเย็นยะเยือกของลี่จุนถิงฉายแววโหดเหี้ยมออกมา
แต่หมอยังไม่ทันได้พูดอะไร โม่เสี่ยวฮุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆก็โมโหจนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว
“เหลวไหล!”
“ลูกรู้ตัวไหมว่าที่ลูกพูดมันหมายความว่ายังไง?” โม่เสี่ยวฮุ่ยขมวดคิ้วถามอย่างไม่พอใจ
“หลายวันมานี้แม่แทบจะไม่ออกห่างแม้แต่ชั่วขณะเดียว เฝ้าดูอยู่ทุกวันจะผิดพลาดได้ยังไง? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่แม่ส่งคนมาดูหลายคนอีก ต่อให้เป็นแค่ยุงตัวเดียวก็บินเข้าไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจะมีใครไปดัดแปลงได้ ความหมายของลูกคือไม่เชื่อใจแม่งั้นเหรอ?” โม่เสี่ยวฮุ่ยโกรธจัด มือข้างหนึ่งสั่นเทาไม่หยุด
อาจจะเป็นเพราะไม่คิดว่าโม่เสี่ยวฮุ่ยจะโกรธจัดขนาดนี้ นัยน์ตาของลี่จุนถิงก็เลยยิ่งอึมครึมมากขึ้นทุกที
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ถึงแม้แม่จะเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน แต่จิตใจคนคาดเดายาก แม่กับผมจะรับประกันได้ยังไงว่าหมอคนนี้ไม่ได้ทำอะไรที่เกิดขอบเขต ทำเรื่องที่ทำให้เสื่อมเสียจรรยาบรรณแพทย์?” ลี่จุนถิงอธิบาย
ได้ยินคำพูดนี้ โม่เสี่ยวฮุ่ยก็อดที่จะแค่นเสียงเย้ยหยันออกมาไม่ได้ “พอได้แล้ว ถึงตอนนี้แล้วลูกก็ไม่ต้องแก้ตัวให้หล่อนอีกแล้ว ในเมื่อความจริงของเรื่องนี้เปิดเผยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ต่างให้หล่อนอีก”