บทที่ 306 หลานเยาเยาล่ะอยากจะบ้า

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 306 หลานเยาเยาล่ะอยากจะบ้า

การแข่งขันล่าสัตว์ครั้งที่ผ่านมา ด้วยเหตุที่นางไปขัดใจเทพธิดา

นางไม่เพียงแค่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน แต่ยังโดนพ่อลากกลับบ้านไปลงโทษอย่างหนัก

ครั้งนี้พ่อไม่ได้ทำเหมือนครั้งก่อนๆ ไม่ได้ด่าทอนางหรือให้นางคุกเข่าขอขมาลาโทษ แต่พ่อจริงจังมาก

นางยอมรับไม่ได้

ทว่า!

สิ่งที่พ่อพูดออกมากลับทำเอาอกสั่นขวัญแขวน

“เจียวเอ๋อ ความงี่เง่าเอาแต่ใจและอารมณ์ร้ายของเจ้าในทุกวันนี้ ตัวพ่อนั้นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้

แต่ ครั้งนี้ไม่ได้”

“เหตุใดถึงไม่ได้?” นางไม่เข้าใจ

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใดกัน? เจ้าเป็นแค่คุณหนูคนหนึ่งในจวนสิงปู้ช่างชู กล้าที่จะหือกับคนที่ไม่ก้มหัวให้แม้แต่กับฮ่องเต้เช่นนั้นรึ?

เจ้านึกถึงแต่ตัวเองเกินไปแล้ว หากเทพธิดาจะฆ่าเจ้าให้ตาย พวกเราทั้งจวนสิงปู้ช่างชูก็จะฉิบหายกันหมดเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของเจ้า”

“พ่อ นางเป็นเทพธิดาผู้ประทานพรให้แก่ราษฎร หากพึงกระทำดั่งหญิงสาวธรรมดา มันจะไม่ขบขันไปทั่วบ้านทั่วเมืองหรอกรึ?”

ใครจะไปรู้ ว่าพ่อจะตบโต๊ะ แล้วตะคอกออกมา:

“โง่เขลา เบาปัญญา ฉินหลิงเจียว ข้าจะบอกอะไรให้ เจ้าแหกตาดูอ๋องเย่ พระองค์เป็นถึงอ๋องเทพสงครามแห่งประเทศก่วงส้า ผู้ปกป้องผืนแผ่นดินของเรา แต่เหตุใดทุกคนถึงได้เกรงกลัวพระองค์นัก?”

ฉินหลิงเจียวที่ยังไม่เข้าใจ เลยตอบกลับไปว่า:

“ก็เพราะว่าอ๋องเย่มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เข่นฆ่าคนอย่างไร้ความปรานี โหดเหี้ยมอำมหิต ผิดมนุษย์มนา คนก็เลยพากันกลัวพระองค์กันหมด

แต่กับเทพธิดามันไม่เหมือนกันหนิเจ้าคะ นางหาได้มีอิทธิพลอันใดไม่ แค่มาประทานพรให้แก่ราษฎรก็เท่านั้น ที่ฮ่องเต้เคารพนาง ก็เพราะว่าชื่อเสียงของนางเพียงเท่านั้น”

มองในมุมของฉินหลิงเจียว ความจริงมันก็มีเท่านี้

ทว่า!

เมื่อพ่อได้ยินคำตอบของนาง กลับสาดน้ำเย็นใส่

“หึ! เจ้าคิดว่าชื่อเสียงของนางมันผุดขึ้นมาเองหรืออย่างไร?

เมืองหลวงของประเทศเชียนหลิง มักจะแห้งแล้งตลอดทั้งปี แต่หลังจากการปรากฏตัวของเทพธิดา เรื่องที่ว่าก็ถูกแก้ไขในชั่วข้ามคืน

ที่ได้ยินมา ไม่รู้ว่าเทพธิดาไปทำอีท่าไหน แผ่นฟ้าทั่วเมืองหลวงอึกทึกไปด้วยเสียงฟ้าร้อง แล้วฝนก็ตกหนักติดกันสามวันรวด

หลังจากนั้นก็นำมาซึ่งแม่น้ำสายใหญ่ หลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง พูดได้เลยว่ามีแต่ความเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์

หากจะบอกว่าการที่ฝนตก เป็นแค่เรื่องบังเอิญ งั้นประเทศซีเม่าที่มีความขัดแย้งภายในกันมาเป็นปีเป็นชาตินั่นล่ะ?

จำได้ว่าความขัดแย้งของซีเม่า แบ่งกันเป็นสามฝ่าย แล้วก็สู้กันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครอง

พอเทพธิดาไปถึงเป็นวันที่สาม เพียงสามวันเท่านั้น! ความขัดแย้งภายในก็สงบลง

แล้วมันหมายถึงสิ่งใดกันน่ะรึ?

ก็หมายถึง ฝ่ายอื่นๆอีกสองฝ่ายที่เทพธิดาไม่ได้สนับสนุน มันหายไปในค่ำคืนเดียวเลยน่ะสิ

เล่ากันว่า คืนวันนั้นมีคนเสียชีวิตกันอย่างล้มหลาม ผืนฟ้าทั่วเมืองหลวงระบายด้วยสีแดงฉาน

สิ่งที่น่าประทับใจไม่ได้มีแค่เรื่องสองเรื่องนี้ ซึ่งที่น่าประทับใจที่สุดก็คือเรื่องของประเทศผึงไหล

ประเทศผึงไหลนั้น ประสบเคราะห์ร้ายถูกพวกป่าเถื่อนทางตอนเหนือรุกรานมาตลอด เมืองเล็กเมืองน้อยแถบชายแดนของพวกเขา โดนเข่นฆ่าปล้นสดมภ์ทารุณทุกรูปแบบ กองกำลังทหารม้าที่ส่งไป ก็กำจัดพวกมันไม่ได้

แต่เมื่อเทพธิดาไปถึง นำเหล่ากองกำลังที่โหดร้ายที่สุดของพวกป่าเถื่อนไปฝังใต้ภูเขาทั้งเป็น และมิมีผู้ใดหลุดรอดออกมาได้เลยสักคน

เจียวเอ๋อ มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าเทพธิดาเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งอยู่หรือไม่?

อ๋องเย่ท่านฆ่าคน ก็ฆ่าตามความพอใจ เขาอยากฆ่าเจ้าเขาก็แค่ฆ่า

แต่กับเทพธิดานั้นต่างออกไป นางทั้งลึกลับ ทั้งน่ากลัวมากเหลือเกิน และมักจะฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย

ทุกที่ที่นางไปเยือน ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นางมาประทานพรแก่ราษฎรจริงๆ

แต่ มันกลับเกิดขึ้นหลังจากการชำระล้างด้วยการนองเลือดมหาศาล

เช่นนั้น ต่อจากนี้ไปหากเจ้าพบนางก็ให้เลี่ยงไปเสีย มิเช่นนั้นพวกเรานี่ล่ะ ที่จะเป็นของเซ่นไหว้ในการประทานพรแก่ราษฎรให้กับนาง”

หลังสิงปู้ช่างชูร่ายยาวจนจบ ก็มองฉินหลิงเจียวเหมือนเตือนสตินาง

ส่วนฉินหลิงเจียวที่หน้าซีดเผือดในตอนนี้ มีเหงื่อก่อตัวขึ้นมากมายบนหน้าผาก ในใจนั้นขวัญหนีดีฝ่อไปหมด

น่ากลัวเหลือเกิน!

ไม่คิดเลยว่าเทพธิดาจะน่ากลัวถึงเพียงนี้

พวกเลือดที่เอ่อนองเหล่านั้น นางทำได้อย่างไร?

นางเป็นคนหรือผีกันแน่?

นึกขึ้นมาได้ ว่าก่อนจะเข้าสนามม้าไป ในตอนที่นางพูดอวดดีอย่างไม่ละอาย สายตาของเทพธิดาที่มองนาง มันเหมือนมองคนที่ตายไปแล้วยังไงยังงั้น

กรี๊ด……

นางไม่อยากตาย

นางไม่อยากตายนะ!

จะต้องอยู่ให้ห่างจากเทพธิดา ยิ่งห่างเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

เมื่อคิดถึงตรงนี้

สีหน้าของฉินหลิงเจียวที่ซีดเซียวไปชั่วขณะ จู่ๆก็มีลมพัดมา นางจึงขดตัวโดยไม่รู้ตัว

จู่ๆนางก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก

จะทำเช่นไรดี?

“คุณหนู……”

ใบหน้าที่บวมแดงของสาวใช้ มองดูนางทั้งน้ำตา

“ต่อจากนี้ไปอย่าให้ข้าได้ยินพวกเจ้าว่าร้ายเทพธิดาอีก มิเช่นนั้น จะตัดลิ้นพวกเข้าทิ้ง แล้วก็ทุบตีให้ตายไปเสีย”

นางมองสาวใช้ทั้งสองคนอย่างรังเกียจ

จากนั้น ก็หันไปพูดกับพระสงฆ์นำทางอย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า:

“จัดเรือนสี่ประสานที่ไกลจากที่นี่ที่สุดให้ข้า”

“โปรดโยมตามอาตมามาด้วยเถิด”

เมื่อพวกเขาจากไป ด้านหลังต้นโพธิ์ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้น ชายผ้าสีชมพูอ่อนก็ถูกลมพัดปลิวไสว

ไม่นานนัก ชายผ้าชิ้นนั้นก็ถูกดึงกลับมา……

ขณะที่หลานเยาเยามาถึงศาลาโถงวัดอย่างประจวบเหมาะ รัชทายาทเย่หลีเฉินก็มาแล้วเหมือนกัน ทุกอย่างต่างเพียบพร้อม

พิธีเปิดงานวัดเริ่มต้นขึ้น

ด้านหน้าของพระพุทธรูปองค์โตที่เหมือนมีชีวิตอยู่จริง มีกระถางธูปขนาดมหึมาตั้งอยู่หนึ่งใบ

ในนั้นมีธูปหอมสีเหลืองขนาดใหญ่พิเศษสามดอกที่กำลังมอดไหม้ รวมๆแล้วมีความยาวกว่าห้าเมตร พื้นที่ส่วนหนึ่งในสามของกระถางธูปมีธูปปักอยู่

ส่วนหลานเยาเยาก็ยืนอยู่ด้านหน้ากระถางธูปมหึมานั้น

รัชทายาทยืนอยู่ด้านหลังทางซ้ายมือนาง และถังเฉิงเสี้ยงยืนอยู่ด้านหลังทางขวามือนาง

ในมือของพวกเขาทั้งสามถือธูปหอมที่กำลังมอดไหม้

หลังถ้อยคำมากมายออกจากปากของมัคนายก พระสงฆ์ที่นั่งบนอาสนะทุกรูปก็ได้สวดไปพร้อมกับเขา

พวกเขาสวดไปเคาะไม้ไปขณะที่อ่านพระคัมภีร์

ฉากนี้ดูจริงจังอลังการ ราวกับว่าโปรดภูติผีปีศาจได้จริงๆ……

ส่วนด้านนอกศาลาโถงเป็นบันไดทอดยาว โดยด้านล่างของบันไดเป็นผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันมาร่วมงานวัด ต่างพร้อมใจก้มกราบลงด้วยความเลื่อมใส

ภายนอกของหลานเยาเยานั้นดูล่องลอย ราวกับว่าไม่ได้เข้าถึงพระคัมภีร์เลยแม้แต่น้อย

ซึ่งอันที่จริง……

ในใจนี่คลุ้มคลั่งไปหมดแล้ว!

นางอดไม่ได้ที่เศร้าแล้วเศร้าอีก

หากรู้ว่าพิธีมันจะยุ่งยากและน่าเบื่อสุดๆถึงเพียงนี้ นางนอนอืดอยู่ในเรือนสี่ประสานเสียดีกว่า

แต่ไหนๆก็มาละ

นางจะออกไปหน้าตาเฉยก็คงมิได้หรอกมั้ง?

และแน่นอนว่าเย่แจ๋หยิ่งเขามองการณ์ไกล

เพราะเขาว่ากันว่า!

จริงๆแล้วต้องเป็นอ๋องเย่ที่มา ไม่ใช่เฉิงเสี้ยงที่ควรจะอยู่ตรงนี้

ซึ่งเขาปฏิเสธความจำนงของฮ่องเต้อย่างทันท่วงที แต่กลับยังมาที่งานวัดหน้าตาเฉย

นี่เป็นการตบหน้าฮ่องเต้เข้าเต็มมืออย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังดังสนั่นและชัดเจนมากอีกด้วย

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่

หลานเยาเยานั้นย่ำเท้าแล้วย่ำเท้าอีก ขยับทีละนิดๆ

เท้าชาไปหมดแล้ว……

เมื่อไหร่จะจบสักทีเนี่ย?

ถ้ายังไม่จบอีกจะสะบัดก้นออกไปแล้วนะโว้ย

เมื่อมัคนายกที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทีของนาง และเท้าที่ย่ำไปย่ำมา รวมไปถึงลมหายใจที่เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆของนาง

ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย แล้วรีบสวดพระคัมภีร์ให้จบโดยเร็ว

เมื่อเขาเร่งความเร็ว พระสงฆ์ทุกรูปก็เงยหน้าขึ้นมามองมัคนายกอย่างงุนงง มัคนายกจึงส่งซิกให้พระสงฆ์ทั้งหลาย

จากนั้น!

พวกเขาก็หันมามองเทพธิดาเป็นตาเดียว

“……”

เท้าของเทพธิดา ที่เอาแต่ย่ำไปย่ำมา

พวกเขาก็เข้าใจความหมายของมัคนายกในทันที ละทิ้งความฟุ้งภายในใจ เร่งสวดกันอย่างรวดเร็ว

พระคัมภีร์ที่ยาวเหยียด ถูกเร่งความเร็วอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็จบลง

แววตาที่เพ่งตรงของหลานเยาเยา สุดท้ายก็ผ่อนคลายขึ้นมา

ไม่ง่ายเลยจริงๆ!

นางเกือบจะสร้างปาฏิหาริย์อยู่แล้ว

หลังนางปักธูป ก็รอคนอื่นปักธูปเสร็จให้เสร็จก่อน

นางจึงอยู่ข้างหลังมัคนายกอย่างสงบเยือกเย็น รังสีนั้นทำเอามัคนายกรู้สึกได้ถึงความอันตราย……