เล่ม 1 ตอนที่ 100-1 น้องเฉียวผู้ห้าวหาญ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 100-1 น้องเฉียวผู้ห้าวหาญ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เฉียวเวยถาม พลางดันลูกทั้งสองคนไปหลบด้านหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงมองไปยังแม่นมที่ถูกเสี่ยวไป๋กระโจนใส่ล้มอยู่บนพื้น ปลายหางตานางสังเกตเห็นคุณชายน้อยอีกคนหนึ่งอยู่ด้านข้าง คิ้วเรียวขมวดมุ่นถามเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนว่า “พวกเจ้ารังแกผู้อื่นหรือ”

เจ้าซาลาเปาน้อยส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง

วั่งซูอธิบาย “ข้าไม่ได้รังแกพี่ชายตัวน้อยนะ ข้ายังให้ลูกกวาดพี่ชายตัวน้อยกินอยู่เลย”

นัยน์ตาของเฉียวเวยหดวูบ “เจ้าแอบซ่อนลูกกวาดไว้อีกแล้วหรือ บอกว่าไม่ให้เจ้ากินลูกกวาดไม่ใช่หรือไร”

โอ๊ะโหย แย่แล้ว ไม่ทันระวังหลุดปากไปเสียแล้ว

จิ่งอวิ๋น ‘ตอนนี้เรื่องสำคัญเหมือนจะไม่ใช่เรื่องนี้นะท่านแม่…’

แม่นมมีชีวิตอยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว แต่ดันถูก ‘สุนัข’ ตัวหนึ่งกระโจนใส่จนเกือบตาย พูดไปคงไม่มีผู้ใดเชื่อว่า ‘สุนัข’ ตัวนี้แม้ดูตัวเล็กแต่กลับกำลังมากดั่งโคถึก ทับอยู่บนหน้าอกของนาง นางก็เกือบจะหายใจไม่ออก ต้องรู้ว่าสามีของนางทับนางอยู่ทุกวี่ทุกวัน นางยังไม่เป็นอันใดสักนิด ‘สุนัขตัวจ้อย’ ตัวนี้ จะอย่างไรก็คงไม่หนักกว่าสามีของนางกระมัง

รอจนแม่นมดิ้นหลุดจากการทับของเสี่ยวไป๋อย่างอยากลำบากแล้วลุกขึ้นจากพื้น ก็เห็นเฉียวเวยถือมีดหั่นผักวิ่งมาหานางแล้ว นางตกใจจนเบิกตาโตในพริบตา “เจ้าจะทำอะไร เจ้าจะฆ่าคนหรือ”

เฉียวเวยก้มมองมีดในมือ โอ๊ะ ลืมเจ้านี่ไปเลย

เฉียวเวยรีบซ่อนมีดไว้ด้านหลัง

แม่นม ‘ปิดหูขโมยกระดิ่งเป็นเช่นนี้เองสินะ! เจ้าซ่อนไว้ด้านหลังแล้วข้ามองไม่เห็นหรือไร!’

เนื่องจากเรื่องราวในวังค่อนข้างซับซ้อน เฉียวเวยจึงตัดสินใจว่าจะมีมารยาทก่อน หากไม่ได้ค่อยใช้ไม้แข็งทีหลัง “ฮูหยินท่านนี้ มิทราบว่าเมื่อครู่ลูกน้อยไปล่วงเกินท่านอย่างไร พวกเราเข้าวังมาเป็นครั้งแรก หากมีจุดที่ไม่รอบคอบไปบ้าง ขอฮูหยินโปรดอย่าถือสา”

แม่นมมองเฉียวเวยแล้วมองดูห้องครัวด้านหลังเฉียวเวยแล้วก็เข้าใจ คงจะเป็นคนครัวจากข้างนอกที่มาทำอาหารให้รัชทายาทสินะ แปลก ไฉนเป็นสตรีนางหนึ่ง แม่นมเองก็เป็นสตรี แต่นางดันดูถูกสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉียวเวยยอมอ่อนให้นาง นางก็ยิ่งไม่กลัวเกรง นางมองสำรวจเฉียวเวยอย่างดูแคลน แล้วแค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “สตรีนางหนึ่ง มาอยู่ปะปนกับหมู่บุรุษเป็นวันๆ มิน่าลูกที่เกิดออกมาถึงไม่ใช่ตัวดีอะไร!”

หายากที่เฉียวเวยคิดจะใช้สันติกับผู้อื่นสักครั้ง แต่ดูสิ อีกฝ่ายไม่รับน้ำใจ นางนับว่าได้เห็นจนเข้าใจแล้ว ในสังคมยุคเก่าอันเลวร้ายแห่งนี้ หลายครั้งมิอาจพูดคุยกันด้วยเหตุผล ชนชั้นคือทุกสิ่ง นางไม่ได้เกิดมาจากท้องของชนชั้นสูงก็สมควรถูกผู้อื่นหยามหมิ่นเหยียบย่ำดุจมดแมลง

แต่นางคนนี้เป็นตัวอะไร

เฉียวเวยขยับมีดที่ซ่อนอยู่ด้านหลังออกมาอีกหน

แม่นมหน้าถอดสีในทันใด “เจ้าจะทำอะไร!”

เฉียวเวยต้อนนางจนถอยไปชนต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง “แน่นอน จะสั่งสอนสุนัขบางตัวที่ไม่รู้จักดีชั่วสิ! ไว้หน้าเจ้า เจ้าไม่เอา จะต้องให้ข้าหยิบมีดมาเชือดเจ้า เจ้าถึงจะพอใจ เจ้าว่าเจ้าน่ะรนหาที่หรือไม่เล่า”

แม้จะกั้นกลางด้วยอากาศ แต่แม่นมก็ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบที่แผ่ออกมาจากคมมีด เลือดทั่วร่างราวกับถูกแช่แข็งในพริบตา “นัง นังไพร่บังอาจ! ถึงกับกล้าไร้มารยาทกับคนของจวนเจาอ๋อง! เชื่อหรือไม่ข้าจะทูลท่านอ่อง ให้ประหารเจ้าเสีย!”

“เจ้าจะทำให้ข้าต้องโทษประหาร แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือไม่เล่า”

“เจ้า…”

หัวหน้าชุยเพิ่งตรวจวัตถุดิบในห้องเครื่องหลวงเสร็จ นึกขึ้นได้จึงแวะมาดูสถานการณ์ด้านนี้สักหน่อย พอเข้าประตูมาก็เห็นหญิงแซ่เฉียวถือมีดเล่มหนึ่งจ่ออยู่บนลำคอของผู้อื่น “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เกิดอันใดขึ้น ทะเลาะกันหรือ”

แม่นมเห็นหัวหน้าชุยก็ตะโกนลั่นราวกับเห็นพระโพธิสัตว์มาโปรด “หัวหน้าชุย ท่านดูคนที่ท่านพามาสิ นางจะสังหารข้ากับซื่อจื่อ!”

หัวหน้าชุยก้าวเข้าไปแยกทั้งสองคนออกจากกัน “นี่…มีเรื่องเข้าใจผิดอันใดกันสินะ”

“เข้าใจผิดหรือ เมื่อครู่ท่านไม่เห็นหรืออย่างไร มีดนางจ่อคอข้าแล้ว หากไม่ใช่ท่านมาทันเวลา ตอนนี้ข้าคงหัวแยกจากตัวแล้ว!” แม่นมเอ่ยอย่างโกรธแค้น

เฉียวเวยเป็นคนที่หัวหน้าชุยพาเข้ามา หากเกิดเรื่องขึ้นจริง เขาก็ต้องรับผิดชอบ “เฉียวฮูหยิน นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”

เฉียวเวยตอบเสียงเรียบ “เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น คุณชายน้อยผู้นี้กระหายน้ำ บุตรสาวข้าจึงตักน้ำให้เขาดื่ม แต่นางกลับมาด่าลูกข้าว่าเป็นบ่าวสุนัข พอลูกข้าแย้งคำพูดของนางคำเดียว นางก็ลงไม้ลงมือ! โชคดีที่บุตรชายข้าหัวไว มิเช่นนั้นโดนฝ่ามือนั่นตบเข้า ยังจะยืนอยู่ดีตรงนี้ได้อีกหรือ”

บ่าวสุนัขกล่าวได้ว่าเป็นคำที่หัวหน้าชุยได้ยินบ่อยที่สุดตอนเข้าวัง เขาเองก็ไม่รู้ว่าถูกด่ามากี่ครั้ง อดทนอดกลั้นปีนขึ้นมาด้านบนราวกับสุนัขตัวหนึ่งจนมีตำแหน่งในวันนี้ เรียกได้ว่าเขาชิงชังคำๆ นี้เข้ากระดูกดำ

ภาพลักษณ์ของแม่นมในใจเขาย่ำแย่ในพริบตา

เขาทราบว่าช่วงนี้ฝ่าบาทโปรดปรานซื่อจื่อน้อยจวนเจาอ๋องยิ่งนัก แม้แต่เจาอ๋องที่ไม่ค่อยโปรดปรานก็ยังได้มาเป็นแขกข้างกายฮ่องเต้บ่อยครั้ง พวกคนตัวเล็กตัวน้อยเองก็ยกหางเชิดสูงตาม ดั่งนายสำเร็จเป็นเซียนหมูหมากาไก่ได้ขึ้นสวรรค์ตามไปด้วย

หัวหน้าชุยไม่สะดวกล่วงเกินนาง แต่ก็มิอาจผลักความผิดมาให้เฉียวเวย ถึงอย่างไรหักกระดูกก็ยังเหลือเส้นเอ็น ผลักความผิดมาให้เฉียวเวยก็เท่ากับผลักความผิดมาให้ตน เขาย่อมไม่โง่เง่าถึงเพียงนั้น

“แม่นม” หัวหน้าชุยคลี่ยิ้มเอ่ย “ท่านตรองดู วันพระราชสมภพของรัชทยาท แต่เดิมก็เป็นวันมงคล ฝ่าบาทเองก็ทรงให้ความสำคัญยิ่งนัก สั่งให้ข้าพาคนครัวสามัญชนมาเพื่อสร้างสีสันให้กับงานเลี้ยง ฝ่าบาทกับรัชทายาทรอคอยเสวยอาหารที่พวกเขาเหล่านี้ทำอยู่ พวกเราชักช้าเล็กน้อยยังมิเป็นไร แต่หากเสียฤกษ์งามยามดี ทำให้ทั้งสองพระองค์หมดสนุกขึ้นมาคงไม่ดี ท่านว่าอย่างไรเล่า”

คำพูดที่กล่าวไม่มีช่องโหว่ให้ติ ไม่เพียงปัดเรื่องผู้ใดผิดผู้ใดถูกได้อย่างยอดเยี่ยม ยังยกนายมาอ้างได้อีก หากแม่นมมิยอมปล่อยเฉียวเวยย่อมหมายความว่าไม่รู้จักรักษาการใหญ่ ตั้งใจทำให้เบื้องบนขัดเคืองพระทัย

จวนเจาอ๋องได้รับความโปรดปรานอีกเท่าใดก็มิใช่ตำหนักบูรพา ย่อมใหญ่สู้รัชทายาทมิได้ และยิ่งเทียบกับฝ่าบาทมิได้ ความผิดที่ล่วงเกินทั้งสองพระองค์แม่นมย่อมแบกรับไม่ไหว

แม่นมอุ้มซื่อจื่อน้อย จากไปอย่างโกรธเกรี้ยว

หัวหน้าชุยเดิมคิดจะตำหนิเฉียวเวยสักหลายคำ ถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็คือวังหลวง มิอาจถือมีดมาข่มขู่ผู้คน แต่เมื่อเขาเห็นมีดหั่นผักวาววับเล่มนั้นในมือเฉียวเวย คำพูดก็จุกในลำคอ สักถ้อยคำก็เอ่ยไม่ออก

เฉียวเวยลูบใบหน้าของเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคน เจ้าซาลาเปาน้อยก้มหน้า สีหน้าละอายใจ

วั่งซูเอ่ยเสียงเบา “ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าก่อเรื่องอีกแล้ว”

“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” ผู้ใดจะคิดว่าบังเอิญเจอเด็กคนหนึ่งในวังดันกลายเป็นซื่อจื่อไปได้ แล้วก็มิได้ทำอันใดซื่อจื่อเสียหน่อย เพียงป้อนลูกกวาด ป้อนน้ำคำหนึ่ง ความหวังดีกลับถูกมองเป็นเจตนาร้าย สหายในวังคบไม่ได้จริงๆ

เฉียวเวยพาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองเข้าไปในห้องครัว

‘เรื่อง’ เมื่อครู่ ทุกคนล้วนมองดูอยู่ เดิมทีอยากจะวิ่งเข้าไปร่วมวง แต่ถูกเถ้าแก่หรงขวางไว้ ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังแอบมองผ่านช่องว่างประตูอยู่ดี ท่าทางยามเฉียวเวยถือมีดจะฟันคน ทำให้ทุกคนพากันลูบลำคอของตน โชคดีที่ยามพบหน้าแม่ครัวแห่งหรงจี้ครั้งแรกมิได้เอ่ยถ้อยคำล้อเลียนออกมา มิเช่นนั้นตอนนี้คนที่ถูกเชือดคอมิรู้ว่าจะเป็นผู้ใด

“โอ๊ะ พ่อครัว! พ่อครัวท่านเป็นอันใดไป”

พ่อครัวอ้วนผู้ทำไก่ตอนเป็นลมไปเสียแล้ว

พ่อครัวเหอถามว่าเฉียวเวยว่าจะทำอาหารจานใด จะยังทำอาหารจานที่ตกลงกันมาก่อนหน้าหรือไม่ เดิมทีมิทราบว่าพระราชวังเชิญผู้อื่นมาด้วย คิดว่ามีเพียงพวกเขาร้านเดียว ความรู้สึกเหนือกว่ารุนแรงยิ่งนัก จึงเลือกอาหารถนัดที่ขายดีที่สุดในยามปกติมาเพียงไม่กี่อย่าง แต่เมื่อมาถึงที่แห่งนี้จึงพบว่าคู่ต่อสู้ที่ต้องแข่งขันมีมากมาย หากทำอาหารที่เตรียมมาคงยากจะโดดเด่น

เถ้าแก่หรงเห็นด้วยกับความคิดของพ่อครัวเหอ “เสี่ยวเฉียว มิเช่นนั้นเจ้ารีบคิดอาหารจานใหม่ออกมาอีกสักสองอย่างดีหรือไม่”

เฉียวเวยหั่นพริกกำหนึ่ง “เวลาสั้นเพียงนี้ท่านจะให้ข้าไปคิดมาจาไหน”

เถ้าแก่หรงถลึงตาใส่นาง “ยามปกติเจ้ามิได้มีความคิดมากมายล้นเหลือหรือ ยามสำคัญเหตุไฉนดันจนปัญญาเสียเล่า”

เฉียวเวยจึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่ประเด็นว่าจนปัญญาหรือไม่จนปัญญา แต่ไม่จำเป็น”

พระราชวังย่อมไม่ขาดคนครัวที่ทำอาหารเป็น พวกเขาแต่ละคนล้วนมีประสบการณ์โชกโชน เลือกคนใดออกมาก็ล้วนเป็นเสาหลักของเหลาสุราแห่งหนึ่งได้ มิได้อยู่ระดับเดียวกันกับพวกเขาเหล่านี้ สาเหตุที่ฮ่องเต้เชื้อเชิญพ่อครัวชื่อดังจากด้านนอกมา ประการที่หนึ่งเพราะหวังความแปลกใหม่ ประการที่สองเพื่อแสดงออกว่าให้ความสำคัญต่อองค์รัชทายาท ประการหลังบางทีอาจสำคัญยิ่งกว่า

ถ้าเช่นนั้นพวกเขาจะทำอาหารอันใด ทำอย่างไรแล้วจะสำคัญประการใด สิ่งที่องค์รัชทายาทเสพมิใช่อาหาร แต่เป็นน้ำพระทัยของฮ่องเต้ที่มีต่อพระโอรสอันเป็นที่รักต่างหาก ส่วนสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการจัดก็มิใช่งานเลี้ยง แต่เป็นการปูทางให้องค์รัชทายาทต่างหาก

“เชื่อข้า ทำตามอย่างที่ทำปกติก็พอแล้ว” เฉียวเวยวางพริกที่หั่นเรียบร้อยแล้วลงในชามแล้วจึงหยิบมันฝรั่งลูกหนึ่งขึ้นมาต่อ

“ไม่ต้องมีอาหารแปลกใหม่จริงหรือ เสี่ยวเฉียว” เถ้าแก่หรงมองเฉียวเวยด้วยแววตากระตือรือร้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยุ่งเกี่ยวกับวั่งซูบ่อยหรือไม่ เขาจึงพบว่าทักษะการแสร้งทำตัวน่ารักของตนเองเพิ่มระดับขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น

เฉียวเวยหน้าตึง “อย่ามาเลียนแบบลูกสาวข้า!”

เถ้าแก่หรงใช้วิทยายุทธ์ไม่สำเร็จ

เฉียวเวยมองสีหน้าไม่ยินยอมของเขาแล้วถามอย่างอดกลั้น “ยามท่านไปนัดพบหญิงงาม ท่านสวมอาภรณ์ที่เพิ่งซื้อใหม่ หรืออาภรณ์งดงามที่ใส่สบายในยามปกติ”

เถ้าแก่หรงคิดครู่หนึ่งก็ตอบ “เสื้อตัวที่ซื้อใหม่”

เฉียวเวยยกมีดหั่นผักขึ้นมา เถ้าแก่หรงตกใจสะดุ้งโหยง! แล้วก็พบว่านางเพียงยกหลังมือขึ้นมาเช็ดหน้า…

เฉียวเวยหั่นเต้าหู้ต่อ “อาภรณ์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่จำนวนไม่น้อย ตอนแรกรู้สึกว่างดงาม แต่เมื่อนำกลับไปสวมใส่สักสองสามวันกลับพบว่าความจริงแล้วธรรมดายิ่งนัก อาภรณ์ที่สวมไปสักระยะหนึ่งแล้วยังทำให้ตนเองและผู้อื่นพึงพอใจ นั่นจึงจะเป็นอาภรณ์ที่เหมาะกับตนเองที่สุด ทำอาหารก็ยึดหลักเดียวกัน ในสมองข้ามีอาหารที่ยังไม่ถูกคิดค้นที่นี่อยู่อีกไม่น้อยก็จริง แต่พวกเราไม่ทราบรสนิยมของผู้คน หากไม่ถูกปากขึ้นมาเล่าจะเป็นเช่นไร อาหารที่ถนัดย่อมไม่เหมือนกัน อาหารจานเด็ดของพวกเราได้รับการพิสูจน์จากตลาดมาแล้ว อัตราการได้รับความนิยมเหนือกว่าอาหารจานใหม่มากนัก”

เถ้าแก่หรงลองคิดดูก็เห็นจริงตามนั้น เสี่ยวเฉียวคิดอาหารจานใหม่ออกมาไม่น้อย แต่มิใช่ทุกจานจะได้รับความนิยมล้นหลาม ตัวอย่างเช่นอาหารจำพวกกุ้ง ลูกชิ้นกุ้งพริกหมาล่าก็ขายไม่ค่อยดีนัก แทนที่จะสร้างสรรค์ใหม่อย่างตาบอด มิสู้ทำอาหารที่ทุกคนชื่นชอบอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า

เถ้าแก่หรงไม่ยุ่งวุ่นวายกับรายการอาหารอีก เฉียวเวยกับพ่อครัวเหอจึงเริ่มลงมือตระเตรียม

แต่ละเหลาสุราต่างปรุงอาหารไว้สิบอย่าง แต่อาหารที่จะถูกนำไปใช้ในงานเลี้ยงจริงๆ มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น พ่อครัวทั้งหลายทำอาหารเรียบร้อยก็ให้หัวหน้าชุยกับผู้อาวุโสคนหนึ่งของห้องเครื่องหลวงคัดเลือก เลือกที่รสชาติเยี่ยมที่สุด หน้าตาดีที่สุด วิธีปรุงพิเศษที่สุดอย่างละชนิดขึ้นถวาย

เหลาสุราแห่งอื่นวุ่นวายราวกับบินเพื่อปรุงอาหารสิบอย่าง แต่เฉียวเวยกับพ่อครัวเหอกลับปรุงคนละอย่างเท่านั้น พ่อครัวเหอปรุงกุ้งสองสหาย ส่วนเฉียวเวยปรุงแกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ด เห็ดเหล่านี้ล้วนเป็นเห็ดป่าที่นางเก็บมาจากบนภูเขา รสชาติสดใหม่เนื้อแน่นยิ่งนัก เมื่อจับคู่กับลูกชิ้นกุ้ง ต้นหอมกับน้ำส้มอีกสองสามหยด ทั้งเปรี้ยวทั้งสดชื่น ฤดูร้อนกินแล้วเจริญอาหารคลายร้อนยิ่งนัก

หัวหน้าชุยนำพ่อครัวหลวงมาตรวจสอบอาหารอย่างว่องไว เห็นผู้อื่นปรุงมาจนเต็มโต๊ะตัวใหญ่ แต่หรงจี้กลับทำมาเพียงสามจาน (กุ้งสองสหายใช้สองจาน) หัวหน้าชุยก็อดมิได้มุมปากกระตุก

ยังดีที่พ่อครัวหลวงไม่เอ่ยอันใด ท่าทางท่านผู้เฒ่าเองก็คงคร้านจะชิมอาหารมากมายปานนั้น เหลาสุราด้านข้างทำห่านย่างมาหลากหลายรูปแบบ พวกเขาหั่นแต่ละแบบมาอย่างละนิดวางไว้เบื้องหน้าเขา พ่อครัวหลวงชิมทีละอย่าง มองสีหน้าไม่ออกว่าที่แท้เขาชอบหรือไม่ชอบ เขาเช็ดริมฝีปากช้าๆ แล้วชี้ห่านย่างเคล้าน้ำผึ้งแล้วเอ่ยว่า “ยกถวาย”

ไม่นานพ่อครัวหลวงก็หันมาหน้าเตาของหรงจี้ เฉียวเวยพาลูกทั้งสองไปห้องสุขา เถ้าแก่หรงจึงนำแกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดกับโจ๊กกุ้งและกุ้งนึ่งส่งให้เขา แล้วรอคอยการตัดสิน

พ่อครัวทั้งหลายฝั่งนี้กระตือรือร้นตระเตรียมอาหาร อีกฝั่งหนึ่งแม่นมของซื่อจื่อน้อยกำลังอุ้มซื่อจื่อน้อยกลับไปฟ้องเรื่องเฉียวเวยกับพระชายาของเจาอ๋อง แน่นอนว่านางไม่ทราบว่าเฉียวเวยมีนามว่าอันใ ด ทราบเพียงว่านางเป็นแม่ครัวสามัญชนที่ได้รับเชิญมา

แม่นมกลับมิได้ใส่ตีไข่ นางเพียงบอกสิ่งที่ตนเห็น ได้ยินและประสบมาอย่างละเอียดทุกสิ่งอัน

เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายป้อนลูกกวาดให้ซื่อจื่อน้อยแล้วยังป้อนน้ำจากบ่อให้อีก เจาหวังเฟยก็ตกใจจนหน้าซีด “เจ้าดูแลซื่อจื่อประสาอะไร หากพวกเขาวางยาพิษซื่อจื่อ ตอนนี้คงทำสำเร็จแล้ว!”

ไม่แปลกที่เจาหวังเฟยจะกังวลเช่นนี้ ฐานะของซื่อจื่อน้อยพิเศษนักจริงๆ เขาสูงศักดิ์เป็นถึงพระราชนัดดา แล้วยังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างมาก จวนเจาอ๋องจึงกลายเป็นเรือลอยตามน้ำ มารดาในตำแหน่งเช่นนางก็มีสิทธิได้โผล่หน้ามาเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ หากมีคนอิจฉาคิดกำจัดซื่อจื่อน้อย การวางยาพิษก็มิใช่จะเกิดขึ้นไม่ได้