ตอนที่ 355 สิบปี

ตอนที่ 355 สิบปี

เมื่อไม่กี่วันก่อนเซี่ยเหลยได้มาหาหมอโดยมีเซี่ยอวี่ติดตามมาด้วยเป็นปกติ ในเวลานั้นในคลินิกมีเพียงหมอแผนจีนเย่และผู้ป่วยรายนี้ที่ชื่อเอ้อร์เลิ่ง

พวกเขาได้ยินมาว่าคนคนนี้มีปัญหาทางจิต มักจะนั่งพึมพำกับตัวเอง ทั้งยังพูดภาษาถิ่นที่พวกเขาไม่เข้าใจ

อาจเนื่องมาจากความรู้สึกอคติที่หล่อนมีต่อผู้ป่วยทางจิต เซี่ยอวี่จึงพยายามหลีกเลี่ยงเขาตลอดเวลา ทันทีที่ขั้นตอนการรักษาของเซี่ยเหลยเสร็จสิ้น หล่อนจึงพาเขาออกไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าอาการป่วยของอีกฝ่ายอาจกำเริบจนคลั่งทำร้ายผู้อื่น

ตอนที่หล่อนอาศัยอยู่ในฮ่องกง ที่นั่นก็มีผู้คนสติไม่ดีวิ่งเร่ร่อนไปตามถนนหนทาง คนเหล่านั้นมักทุบตีทำร้ายคน แถมยังชอบลักขโมยสิ่งของต่าง ๆ ทำให้หล่อนมีภาพจำที่เลวร้ายต่อพวกเขา

หลินเซี่ยยิ้มแล้วแนะนำ “เขาคือเพื่อนสมัยเด็กของเฉินเจียเหอค่ะ”

หู่จือตะโกนอย่างตื่นเต้น “เขาคือลุงเอ้อร์เลิ่งของผมเอง”

“เขาไม่ได้บ้าจนทำร้ายคนอื่นใช่ไหม?” เซี่ยอวี่สังเกตอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าบนใบหน้าของเขามีแต่รอยยิ้มโง่เขลาและไร้เดียงสา

รอยยิ้มนั้นสะอาดราวกับเป็นกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง

เฉินเจียเหอตอบกลับ “เขามีจิตใจดีงามมาก แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะถูกกระตุ้นทางจิตใจครับ”

เฉินเจียเหอปล่อยให้เอ้อร์เลิ่งเข้ามาทักทายเซี่ยเหลย ก่อนที่จะพาเขาไปยังห้องรักษา

เซี่ยอวี่เหลือบมองเอ้อร์เลิ่งอีกครั้ง แล้วถามหลินเซี่ย

“ในเมื่อเขาเป็นแบบนี้แล้วทำไมถึงไม่พาไปโรงพยาบาลจิตเวชล่ะ?”

เย่ไป๋ชิงตอบก่อนว่า “เขาได้รับยาจากโรงพยาบาลจิตเวชมากินเป็นประจำ ร่วมกับการฝังเข็มที่บ้านของลุงรอง และอาศัยการเยียวยาจากคนคุ้นเคย เท่ากับเขาได้รับการรักษาถึงสามทาง”

เอ้อร์เลิ่งมองผู้หญิงที่กำลังคุยกับหลินเซี่ยด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นเดินเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น

“ว้าว พี่สาวคนนี้มาอีกแล้ว คุณสวยมากเลย”

ทันทีที่เอ้อร์เลิ่งเดินเข้ามา เซี่ยอวี่ก็ยังคงไว้ตัวอย่างระมัดระวังเล็กน้อย หลบไปยืนอยู่ข้างหลังเย่ไป๋ “ขอบคุณค่ะ”

เอ้อร์เลิ่งมองเซี่ยอวี่ด้วยรอยยิ้ม พูดยกย่องหล่อนว่า “คุณน่ะสวยกว่าเสี่ยวเจินซะอีก”

เซี่ยอวี่ยิ้มและพูดคำเดิม “ขอบคุณค่ะ”

เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยพากันยิ้มเมื่อได้ยินคำชมจากเอ้อร์เลิ่งที่มีต่อเซี่ยอวี่

หลายปีที่ผ่านมา ในสายตาของเอ้อร์เลิ่ง ไม่มีผู้หญิงคนใดที่สวยเท่ากับเสี่ยวเจินอีกแล้ว

ถ้าเขาพูดเองว่าเซี่ยอวี่สวยกว่าเสี่ยวเจิน หมายความว่าสายตาของเอ้อร์เลิ่งไม่ได้ไร้แววเสียทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ชื่อของเสี่ยวเจินยังคงเป็นชื่อที่ติดปากเอ้อร์เลิ่งมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อเร็ว ๆ นี้เขายิ่งพูดถึงหล่อนบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้อารมณ์ของเฉินเจียเหอซับซ้อนมาก

ไม่รู้ว่านี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่ออาการที่แย่ลงของเอ้อร์เลิ่งหรือเป็นเพราะอย่างอื่น

ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เขาพูดชื่อเสี่ยวเจินขึ้นมา ปกติพวกเขาจะพยายามเลี่ยงไม่ตอบเอ้อร์เลิ่ง ส่วนเขาก็จะลืมมันไปหลังจากพูดซ้ำกับตัวเองหลายครั้ง

ในเวลานี้ เฉินเจียเหอซึ่งเลี่ยงคำถามอยู่เสมอตัดสินใจถามเขาออกมาดัง ๆ “เอ้อร์เลิ่ง นายยังจำได้หรือเปล่าว่าเสี่ยวเจินไปไหน?”

เอ้อร์เลิ่งตอบคำถาม “หล่อนเข้าไปเรียนในเมือง”

เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง ลดสายตาลง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าหมองหม่น “หล่อนเข้าไปเรียนในเมืองพร้อมกับค่าเล่าเรียนที่ได้ไปจากครอบครัวของฉัน”

เฉินเจียเหอไม่คาดคิดว่าเอ้อร์เลิ่งจะยังจดจำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ

เขาคิดว่าเอ้อร์เลิ่งที่สับสนเหม่อลอยหลังจากถูกกระตุ้นทางจิตจะจำอะไรไม่ได้เลยเสียอีก

เฉินเจียเหอตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใช่ หล่อนจากไปแล้ว หล่อนไปจากนายมาหลายปีแล้ว”

หลังจากที่เฉินเจียเหอพูดจบ เขาก็สังเกตแสดงออกของเอ้อร์เลิ่งไปด้วย เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของเขา

จู่ ๆ เอ้อร์เลิ่งก็หันกลับมาอย่างเร่งรีบ ราวกับว่าเขาถูกอะไรบางอย่างย้ำเตือนอยู่ในใจ พร้อมกันนั้นเขาก็โบกมือไปรอบ ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

“ฉันสอบเรียนต่อมหาวิทยาลัยไม่ผ่าน แต่เสี่ยวเจินสอบผ่าน หล่อนบอกว่าจะกลับมาแต่งงานกับฉันหลังจากเรียนจบ… ไม่สิ หล่อนเขียนจดหมายมาบอกว่าจากนี้ไปหล่อนจะไม่กลับมาที่หมู่บ้านอีก เพราะหล่อนแต่งงานแล้ว หล่อนจะไม่มีวันกลับมา…”

เอ้อร์เลิ่งเริ่มสูญเสียการควบคุมอารมณ์ ท่าทางของเขาเปลี่ยนเป็นน่ากลัวมาก เฉินเจียเหอต้องการดึงเขาออกไป แต่หมอแผนจีนเย่กลับห้ามเขาไว้

“ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้เขาระบายอารมณ์ออกมาบ้าง”

“สาเหตุที่ผู้ป่วยจิตเวชถูกกระตุ้นทางอารมณ์จนเกิดความบอบช้ำ ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงอันโหดร้ายที่โจมตีจิตใจอย่างกะทันหันได้ ตอนนี้เขาอยู่ในภาวะหลบหนีจากความเป็นจริง เพื่อรักษาเขาให้ได้ผล นอกเหนือจากการกินยาเพื่อฟื้นฟูเซลล์ประสาทในสมองที่เสียหายแล้ว เรายังต้องช่วยทำให้เขาสามารถแยกแยะระหว่างความทรงจำกับปัจจุบัน และให้ความมั่นใจแก่เขา ปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเถอะ”

อารมณ์ของเอ้อร์เลิ่งค่อย ๆ แปรปรวนบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเสียงของเขายามพูดกับตัวเองก็รัวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

เขาคว้าแขนของเฉินเจียเหอ มองหน้าเฉินเจียเหอด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง แล้วถามด้วยความร้อนรนอย่างยิ่งว่า “ต้าเหอ เสี่ยวเจินจะไม่กลับมาหาฉันอีกแล้วเหรอ?”

“เอ้อร์เลิ่ง นายลองคิดดูสิ นอกจากเสี่ยวเจินแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่สำคัญสำหรับนายในโลกนี้?”

เฉินเจียเหอมองเขา จากนั้นปลอบใจเขาเบา ๆ “พ่อแม่ของนายท่านก็ดีกับนายมากไม่ใช่เหรอ? ฉันเองก็ดีกับนายมากจริงไหม? เมื่อก่อนนายเคยอยากเป็นครูนี่? ลืมความตั้งใจไปหมดแล้วเหรอ?”

เอ้อร์เลิ่งมองเฉินเจียเหอด้วยสายตาขุ่นเคือง “พ่อแม่ซื้อภรรยามาให้ฉัน แต่ฉันไม่อยากได้ภรรยาที่พวกเขาซื้อมา ฉันอยากได้เสี่ยวเจิน”

เฉินเจียเหอคว้าตัวเขาไว้อย่างมั่นคงแล้วพูดว่า “เฉินจั่นเผิง นายช่วยมีสติหน่อยได้ไหม? เสี่ยวเจินทิ้งนายมาสิบปีแล้ว และหล่อนจะไม่มีวันกลับมา!”

“สิบปีเหรอ? สิบปี…”

เอ้อร์เลิ่งตะลึงลาน ยกมืออันสั่นเทาขึ้นนับนิ้วพลางพูดกับตัวเองซ้ำ ๆ “สิบปีแล้ว”

เขาทรุดตัวนั่งลงบนเตียงไม้ พูดคำว่า ‘สิบปี’ ในปากของเขาซ้ำไปซ้ำมา

หู่จือไม่เคยเห็นลุงเอ้อร์เลิ่งของเขาเป็นแบบนี้มาก่อน สีหน้าของเขาจึงหวาดกลัวมาก จนหลินเซี่ยต้องกอดเขาไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับปลอบประโลมเบา ๆ “อย่ากลัวไปเลย ลุงเอ้อร์เลิ่งแค่ไม่สบายเท่านั้นเอง อีกเดี๋ยวเขาก็กลับมาหายดีแล้ว”

เฉินเจียเหอดึงเอ้อร์เลิ่งให้ลุกขึ้นมา มองตาเขาแล้วพูดเบา ๆ “เอ้อร์เลิ่ง ฉันจะพานายเข้าไปนอนพักหน่อย”

หลังจากที่เอ้อร์เลิ่งผ่อนคลายจากความตื่นตระหนก ร่างกายเขาก็ถึงกับอ่อนปวกเปียก

เฉินเจียเหอพาเขากลับไปที่ห้อง ปลอบใจเขาสองสามคำ ในที่สุดเขาก็ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน

เซี่ยอวี่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเย่ไป๋ กระทั่งเห็นเอ้อร์เลิ่งเข้าไปในบ้าน หล่อนจึงถามหลินเซี่ยด้วยความสงสัย “แล้วครอบครัวของเอ้อร์เลิ่งคนนี้ไปไหนเหรอ?”

หลินเซี่ยตอบ “พวกเขาอยู่ในบ้านเกิดที่ชนบทค่ะ เฉินเจียเหอเป็นคนพาเขามาที่ไห่เฉิงเพื่อรับการรักษา”

หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ยแล้ว เซี่ยอวี่ก็มองไปทางเฉินเจียเหอด้วยความตกตะลึง

การที่เขาสามารถแสดงน้ำใจดูแลสหายเก่าที่กลายเป็นบ้าด้วยความใจเย็นขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก

ผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย

เซี่ยเหลยรู้สึกประทับใจมากเช่นเดียวกันเมื่อเห็นฉากดังกล่าว

พูดถึงภาพรวมส่วนใหญ่แล้ว เขาก็น่าจะเป็นคนประเภทเดียวกับเอ้อร์เลิ่ง

ต่างกันแค่เขาไม่มีความทรงจำ ในขณะที่ความทรงจำของเอ้อร์เลิ่งกระจัดกระจาย

เอ้อร์เลิ่งอาจจะดีกว่าเขา เพราะเอ้อร์เลิ่งแค่ ‘สับสน’ ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากการลืมทุกสิ่ง

พูดถึงความเจ็บปวด บางทีคนที่เจ็บปวดมากที่สุดน่าจะเป็นคนรอบข้างมากกว่า

เอ้อร์เลิ่งกลายเป็นคนบ้ามาสิบปี ครอบครัวของอีกฝ่ายก็ทนทุกข์ทรมานมาสิบปีเหมือนกัน

ในขณะที่ครอบครัวของเขาต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขามาเกือบยี่สิบปี

เซี่ยเหลยมองไปที่น้องสาวของเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความเสียใจ

เซี่ยอวี่เห็นท่าทางซับซ้อนของเซี่ยเหลย จึงถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “พี่ใหญ่ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“เปล่า”

หลังจากที่เอ้อร์เลิ่งหลับไป หมอแผนจีนเย่ก็พูดกับเซี่ยเหลยว่า “มาเถอะ เสี่ยวเซี่ย เข้าไปรับการรักษากัน”

หมอแผนจีนเย่พาเซี่ยเหลยออกไป คนอื่น ๆ จึงปลีกตัวออกไปรออยู่ที่สนามด้านนอก

“นายมาช่วยงานเขาที่นี่ทุกสัปดาห์เลยเหรอ?” เฉินเจียเหอถามเย่ไป๋ขณะพูดคุย

เย่ไป๋พยักหน้า “ใช่ ปกติฉันพักที่โรงพยาบาล และจะมาที่นี่ทุกช่วงสุดสัปดาห์ ลุงรองบอกว่าฉันเป็นลูกหลานคนเดียวในตระกูลที่เรียนหมอ เขาเลยหวังว่าฉันจะได้เรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนจากเขา”

เฉินเจียเหอยิ้มและพูดว่า “ฉันว่าหมอเย่อาจคิดจะถ่ายทอดทักษะทางการแพทย์ของเขาให้นายสานต่อด้วยซ้ำ”

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเรียนรู้ได้แค่ไหน”

“มั่นใจเข้าไว้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่หมอเย่ยังขาดคือผู้สืบทอดเจตนารมณ์”

เย่ไป๋ยังถามเกี่ยวกับสถานการณ์การทำงานของเฉินเจียเหอด้วย “ช่วงนี้งานของนายเป็นยังไงบ้าง? ฉันได้ยินมาว่านายกำลังจะย้ายไปโรงงานแห่งใหม่เหรอ?”

“ใช่ เหลือเวลาอีกแค่สองเดือน โรงงานของเรากำลังจะเริ่มวิจัยและผลิตหัวรถจักรคันใหม่ ฉันเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมผลิตนี้ ช่วงครึ่งปีหลังงานของฉันจะยุ่งยิ่งกว่านี้อีก”

เย่ไป๋ได้ยินสิ่งที่เขาพูดจึงยกนิ้วโป้งให้ “เยี่ยมเลย”

เซี่ยอวี่และหลินเซี่ยก็นั่งอยู่ด้วยกันพลางพูดคุยกันไปพลาง ๆ

“เซี่ยเซี่ย เพื่อนของเธอที่ร่วมประกวดนางแบบได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศหรือเปล่า?”

หลินเซี่ยตอบว่า “ผ่านเข้ารอบแล้วค่ะอา”

เมื่อเซี่ยเหลยไม่อยู่ หลินเซี่ยจะเรียกเซี่ยอวี่ว่าอาอย่างเป็นธรรมชาติ

“เธอชื่ออะไรนะ?” เซี่ยอวี่ถามด้วยความสนใจ

หลินเซี่ยตอบว่า “เจียงอวี่เฟยค่ะ”

“โอ้ ใช่ เจียงอวี่เฟย”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ เซี่ยอวี่ก็ตกอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้ง

ดูเหมือนจะไม่มีใครชื่อเจียงอวี่เฟยอยู่ในรายชื่อผู้สมัครที่หล่อนเห็น

อย่างไรก็ตาม เซี่ยอวี่คุ้นเคยกับกิจวัตรในวงการนี้มาก หล่อนจึงถามหลินเซี่ยอีกครั้ง “หล่อนแข่งขันโดยใช้ชื่อจริงของตัวเองหรือเปล่า?”

หลินเซี่ยส่ายหน้า “เปล่าค่ะ หล่อนกลัวว่าพ่อจะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นก็เลยใช้ชื่อแฝง”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

โรคทางจิตใจนี่สร้างความเจ็บปวดทั้งคนป่วยและคนรอบข้างเลยค่ะ ขอให้เอ้อร์เลิ่งกับเซี่ยเหลยได้ความทรงจำกลับมาไวๆ นะคะ

ไหหม่า(海馬)