บทที่ 278 ข้าจะสังหารเทพเจ้าสองสามตน ยืนอยู่ตรงนี้ ห้ามขยับ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 278 ข้าจะสังหารเทพเจ้าสองสามตน ยืนอยู่ตรงนี้ ห้ามขยับ
บทที่ 278 ข้าจะสังหารเทพเจ้าสองสามตน ยืนอยู่ตรงนี้ ห้ามขยับ

“โอ้ ท่านแม่ทัพ”

ไป๋ชิวหรานกล่าวทักทาย

“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”

แม้ความแข็งแกร่งของจ้าวเทียนจ้งจะยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตสูงสุดของขั้นผสานร่าง หากต้องการเข้าสู่แดนรกร้างในหุบเขาสลายวิญญาณ กล่าวตามตรงว่าความแข็งแกร่งของเขายังไม่เพียงพอ

เดิมทีไป๋ชิวหรานคิดว่าเขาจะถูกเคลื่อนย้ายไปที่ดินแดนรกร้างทางตะวันออกของหุบเขาสลายวิญญาณเสียอีก

“เป็นเพราะข้าถูกเผ่ามารล้อมเอาไว้ จึงได้ใช้เครื่องรางเคลื่อนย้ายที่อยู่ในขั้นทดลองเป็นทางเลือกสุดท้าย และมันก็พาข้าเข้าสู่ส่วนลึกของป่า หลังจากที่หนีออกมาได้ ข้าก็เห็นเทพเจ้ายักษ์ร่างใหญ่โตผู้หนึ่งยืนสูงเสียดฟ้ากำลังต่อสู้ เช่นนั้นข้าจึงเข้ามารับชม”

จ้าวเทียนจ้งตอบคำถามของไป๋ชิวหราน และถามอีกครั้ง

“ผู้ที่ต่อสู้กับเทพเจ้ายักษ์เมื่อครู่คือบรรพชนกระบี่หรือ?”

“ใช่ เป็นข้า”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“เป็นท่านจริง ๆ”

จ้าวเทียนจ้งกล่าวอุทาน

จ้าวเทียนจ้งคิดว่าตนเองไม่ได้ตามืดบอด พลังของเทพเจ้ายักษ์ตนนั้นอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิเซียนที่ลงมาบนโลกด้วยซ้ำ แต่ดูจากท่าทีของไป๋ชิวหราน เห็นได้ชัดว่าเขาจัดการเทพเจ้ายักษ์ตนนั้นเสร็จสิ้นแล้ว

ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน…

จ้าวเทียนจ้งลอบสำรวจไป๋ชิวหรานอย่างเงียบ ๆ

“มีสิ่งใด?”

เมื่อเห็นการจับจ้องของเขา ไป๋ชิวหรานจึงกล่าวถาม

“ไม่มีขอรับ”

จ้าวเทียนจ้งส่ายศีรษะ

“ข้าเพียงรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของปราชญ์กระบี่ผู้นั้นกล้าแกร่งยิ่ง จนนึกไม่ถึง”

“เจ้าก็เป็นเช่นนี้เสมอ”

ชายหนุ่มถอนหายใจ

“หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่ค่ายของกองทัพเทพยุทธ์ ศิษย์ทั้งหมดต่างเป็นห่วงเจ้ายิ่ง”

“โอ้ เช่นนั้น”

อย่างไรก็ตาม จ้าวเทียนจ้งก็ส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวต่อ

“ข้ามีสถานที่ที่อยากจะพาบรรพชนกระบี่ไปรับชม”

“เป็นสถานที่แบบใด?”

ไป๋ชิวหรานถาม

“ข้าไม่ทราบ สถานที่แห่งนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยม่านหมอกสีดำ แต่เป็นเพราะขั้นการฝึกฝนของข้าต่ำต้อยจึงไม่สามารถเข้าไปด้านในได้”

จ้าวเทียนจ้งตอบกลับ

“ข้าเชื่อว่าภายในต้องมีเบาะแสบางสิ่งเกี่ยวกับเผ่ามารคงอยู่”

“โอ้?”

ดวงตาของไป๋ชิวหรานเปล่งประกายแพรวพราว

“เช่นนั้นรีบพาข้าไป”

“ขอรับ”

จ้าวเทียนจ้งพยักหน้าก่อนจะเริ่มร่ายเวท พื้นดินตรงหน้าระเบิดเป็นกองเพลิง เปลวไฟก่อตัวขึ้นเป็นกงล้อ จากนั้นม้าศักดิ์สิทธิ์ที่มีเปลวไฟลุกโชนก็ปรากฏขึ้น มันเดินออกจากกองเพลิงและเริ่มก้มต่ำดอมดมพื้นดิน

จ้าวเทียนจ้งขึ้นม้าของเขาก่อนจะมองไป๋ชิวหรานด้วยความลังเล

“ท่านบรรพชนกระบี่… จะไปพร้อมกับข้าหรือไม่?”

หลังจากไป๋ชิวหรานกลับมาจากยุคทวยเทพ เขาก็อยู่ในสำนักกระบี่ชิงหมิงชั่วขณะ จากนั้นจึงได้ไปที่ฝูซางเพื่อพบเจียงหลาน และไปที่ยมโลก ดังนั้นคนของกองทัพเทพยุทธ์จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าบรรพชนกระบี่ผู้นี้ที่เดินทางมานับหมื่นปีสามารถเหาะเหินกลางอากาศได้แล้ว…

“ไม่ต้อง”

เมื่อเห็นท่าทีของจ้าวเทียนจ้ง ไป๋ชิวหรานก็ลอบเรียกหากระบี่ ไม่นานวารีสารทกระจ่างฟ้าก็ทะยานวาบออกมาและชายหนุ่มค่อยบินไป

“ข้าจะบินไปเอง”

เขากระโดดขึ้นกระบี่พร้อมกับทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

จ้าวเทียนจ้งจ้องมองแผ่นหลังที่หายลับไปด้วยความตื่นตระหนก ปากอ้ากว้างอย่างไม่อาจควบคุม

ทว่าครู่ถัดมา ไป๋ชิวหรานก็ย้อนกลับมากล่าวกับเขาว่า

“โอ้ ข้าไม่ทราบหนทาง… อย่าชักช้า รีบนำทางไป!”

“เอ่อ… ขอรับบรรพชนกระบี่”

จ้าวเทียนจ้งขี่ม้าเพลิงควบขึ้นไปบนท้องฟ้า นำทางไป๋ชิวหรานไปที่แอ่งขนาดใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ

เพราะไป๋ชิวหรานต่อสู้กับจักรพรรดิตะวันออกไท่อี อสูรยักษ์ในป่าจึงต่างหวาดกลัวเขาและพากันหลบหนี เมื่อทั้งสองมาถึงสุดทาง และไม่พบกับกลุ่มอสูรยักษ์ของเผ่ามารแม้สักตน

“บรรพชนกระบี่”

เมื่อจ้าวเทียนจ้งมาถึงสถานที่แห่งนี้ เขาได้หยุดฝีเท้าลง

“มันคือที่นี่”

ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้นและเห็นม่านหมอกสีดำรอบกาย มันคล้ายกับในหุบเขาฮวายเจียงทุกประการ แต่ขนาดของที่นี่เล็กกว่าสักหน่อย

“ขอทางให้ข้า”

เขากล่าว

จ้าวเทียนจ้งควบม้าเพลิงไปหลบด้านหลังของไป๋ชิวหราน ขณะที่ไป๋ชิวหรานยกกระบี่ขึ้นฟาดฟัน ปราณกระบี่ตัดหมอกดำตรงหน้า ก่อนจะปรากฏเส้นทางเข้าไปด้านใน

“เอาล่ะ ไปกัน”

ไป๋ชิวหรานและจ้าวเทียนจ้งพุ่งเข้าไปในหมอกสีดำนี้

ระหว่างทาง เมื่อมองดูม่านหมอกสีดำที่ถูกตัดขาด ใบหน้าที่เคร่งขรึมของจ้าวเทียนจ้งอดไม่ได้ที่จะรำคาญถ้อยคำสาปแช่งของเหล่าวิญญาณร้ายที่ไล่ตามหลัง และตัดสินใจกล่าวถามออกไป

“บรรพชนกระบี่ พวกมันคือสิ่งใด?”

“มันคือความแค้นที่เผ่าพันธุ์อื่นมีต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์”

ไป๋ชิวหรานแตะคางตนเองอย่างแผ่วเบา

“ส่วนใหญ่แล้วต้นเหตุคือข้า”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

จ้าวเทียนจ้งกล่าวถาม ทว่าชายหนุ่มไม่ตอบกลับอย่างใด

ทั้งสองเดินผ่านหมอกสีดำทะมึนจนมาถึงแอ่งขนาดใหญ่

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือดินแดนรกร้างไร้ที่สุดสิ้น บนพื้นที่แห่งนี้มีเพียงหินกรวดมากมาย ไม่มีพืชพรรณใด

บนพื้นราบ มีแอ่งน้ำขนาดเล็กใหญ่นับไม่ถ้วน มีของเหลวสีม่วงเข้มพลุ่งพล่านอยู่ภายในนั้น ดูเหมือนว่ามีเงาดำกำลังเคลื่อนไหวภายใต้ของเหลวเหนียวเหนอะ

บนที่ราบ สิ่งมีชีวิตบางตนคว้ากรงเล็ก ๆ แล้วพุ่งลงไปในแอ่งน้ำ ไป๋ชิวหรานกับจ้าวเทียนจ้งยืนมองการกระทำเหล่านี้อยู่นาน เขาพบว่าภายในกรงนั้นคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง อีกทั้งขั้นการฝึกฝนยังอยู่ในขั้นขอบเขตแกนทองคำไปจนถึงขั้นผสานร่าง หลังจากถูกโยนลงไปในแอ่งน้ำ เงาดำในแอ่งเข้าไปพัวพันด้วยทันที หลังจากดิ้นรน และส่งเสียงกรีดร้องอยู่นานก็ปีนป่ายออกมาจากแอ่งน้ำ มันคืออสูรที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์!

ทั้งสองมองเห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เซียนในกรงเหล็กอยู่ไม่ไกลนัก

“เรื่องนี้…”

จ้าวเทียนจ้งประหลาดใจ และพลันเกิดโทสะ เขามองสิ่งมีชีวิตทรงพลังในระยะไกลพร้อมกล่าวถาม

“นั่นคือสิ่งใด?”

“ซากของเหล่าทวยเทพ”

ใบหน้าของไป๋ชิวหรานยังคงสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับไม่เป็นเช่นนั้น

“เป็นแม่ทัพเซียนกลุ่มหนึ่ง… สิ่งเหล่านี้เชี่ยวชาญทักษะการขโมยพลังชีวิต”

“เป็นผู้ใด?!”

ในเวลานี้ เทพสามตาที่ยืนอยู่บนยอดหอคอยคุ้มกันเห็นพวกเขาทั้งสองแล้ว มันเป่าฆ้องตีกลองเพื่อปลุกระดม ก่อนจะกระโดดลงมาในแนวดิ่งและหยุดยืนตรงหน้าทั้งสอง

ดวงตาทั้งสามของเทพเจ้าผู้นี้กะพริบถี่ ๆ มันจ้องมองไป๋ชิวหรานและจ้าวเทียนจ้งอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเหยียด

“เป็นหนอนน้อยสองตัว โชคของพวกเจ้าเลวร้ายนัก หากทราบบางอย่างที่ไม่ควรทราบแล้ว ก็จงมอบชีวิตนั้นให้กับข้า!”

มันเหยียดมือออกมาคิดไขว่คว้าทั้งสองเอาไว้ ทว่าลำแสงสีขาวพลันปรากฏ เทพเจ้าผู้แข็งแกร่งในขั้นเซียนถูกผ่าครึ่งในชั่วพริบตา เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณอย่างน่าขยะแขยง

“รออยู่ที่นี่”

ไป๋ชิวหรานสะบัดแขนเสื้อก่อนจะเดินตรงไปด้านหน้า

“ข้าจะไปสังหารเทพสักสองสามตน ยืนอยู่ตรงนี้ ห้ามขยับไปไหน”

หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าทวยเทพในแดนรกร้างนี้ถูกสังหารและนอนจมในกองเลือด ร่างกายถูกกองทิ้งไว้เป็นพะเนินใหญ่ราวกับภูเขาเล็ก ๆ

ไป๋ชิวหรานนั่งอยู่บนซากศพ และบอกให้จ้าวเทียนจ้งปลดปล่อยผู้ฝึกตนกับเหล่าเซียนที่ถูกคุมขังอยู่ในกรงเหล็กออกมา

“ขอบคุณผู้อาวุโสแล้ว”

หลังจากที่ผู้ฝึกตนกับเหล่าเซียนทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือ ทั้งหมดกล่าวขอบคุณไป๋ชิวหรานจากใจจริง

“ย่อมไม่เป็นไร พวกเราทุกคนคือเผ่าพันธุ์เดียวกัน ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

ไป๋ชิวหรานโบกมือไปมากลางอากาศ และถามว่า

“แต่ข้าดูท่าทีของพวกเจ้าแล้ว มันแตกต่างไปจากผู้ฝึกตนของโลกใบนี้ พวกเจ้ามาจากที่ใด และมาที่นี่เพื่อสิ่งใด?”