ตอนที่ 319 การเริ่มต้นที่ดี

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 319 การเริ่มต้นที่ดี

ทุกวันก่อนที่เถาจืออวิ๋นจะออกจากบ้านในตอนเช้า หล่อนก็ขอให้พนักงานร้านเซาเข่าช่วยดูแลเด็กน้อยทั้งสองอย่างโต้วโต้วและฉีฉี

เด็กน้อยทั้งสองคุ้นเคยกับทุกคนอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเล่นด้วยกันอย่างไม่งอแง มีอาหวงคอยเล่นเป็นเพื่อนอีกตัวหนึ่ง พวกเขาต่างก็สนุกสนานกันตามประสา

แต่วันนี้ สิบเอ็ดโมงก็แล้ว หลินม่ายยังไม่กลับมาเสียที โต้วโต้วจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ปกติแม่ของหล่อนต้องรีบกลับมาที่บ้านและเข้าครัวทำอาหารแล้ว

ดังนั้นหล่อนจึงชะโงกหน้าออกไปนอกร้านเพื่อมองหาจากระยะไกลหลายครั้ง ฉีฉีกับอาหวงเองก็เช่นกัน

หลังจากชะเง้อมองอยู่ไม่รู้กี่ครั้ง ในที่สุดก็เห็นร่างของหลินม่ายกับเถาจืออวิ๋น

โต้วโต้วส่งเสียงอุทานดีใจทันที ตะโกนเรียกแม่ จากนั้นก็วิ่งโผเข้าไปหาหลินม่าย

ฉีฉีก็เห็นแม่ของเขาเหมือนกัน รีบวิ่งตามหล่อนไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

พอเห็นเพื่อนตัวน้อยทั้งสองวิ่งไปข้างหน้า อาหวงก็วิ่งตามไปด้วยเช่นกัน ก่อนจะเห่าเสียงดังด้วยความดีใจ

จนกระทั่งหลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นยืนอยู่ตรงหน้า เด็กน้อยทั้งสองต่างกระโดดเข้าไปกอดผู้เป็นแม่พร้อมกัน ตอนนั้นอาหวงถึงตระหนักว่าตัวเองไม่มีใครให้โผเข้าใส่

มันกระดิกหางอย่างหงอยเหงา จากนั้นก็วิ่งวนไปรอบ ๆ หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋น พันแข้งพันขาจนพวกหล่อนเดินสะดุดอยู่บ่อยครั้ง

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง ฟางจั๋วหรานกำลังจะแวะมากินอาหารกลางวันที่บ้านเธอเร็ว ๆ นี้

ตอนนี้สายเกินไปที่จะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง หลินม่ายจึงไปที่ร้านเปาห่าวซือเพื่อตักเกี๊ยวหลาย ๆ อย่างมาเป็นอาหารมื้อกลางวัน

ทันทีที่ฟางจั๋วหรานมาถึง เขาก็รีบถามทันทีว่ากิจการวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง

หลินม่ายพยักหน้าอย่างมีความสุข “ไม่เลวเลยค่ะ”

หลังจากผ่านพ้นมื้ออาหารที่แสนจะเร่งรีบ หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นก็ทิ้งเด็กน้อยสองคนไว้กับพนักงานในร้านอีกครั้ง ก่อนจะเดินทางไปยังร้านในห้างสรรพสินค้าที่ตัวเองดูแลอยู่

หลินม่ายเดินทางโดยรถโดยสารและต่อเรือข้ามฟากเช่นเคย พอมาถึงห้างซือเหมินโข่วก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว

อันดับแรก หลินม่ายถามไถ่พนักงานขายทั้งสามคนว่าพวกหล่อนกินข้าวมื้อเที่ยงแล้วหรือยัง

คนหาเช้ากินค่ำในยุคนี้ประหยัดอดออมเป็นที่หนึ่ง หลินม่ายกลัวว่าพวกหล่อนอาจยอมอดข้าวเพื่อเก็บเงิน เลยตั้งใจว่าจะไปหาซื้อข้าวมาแจก

อาชีพพนักงานขายดูเหมือนไม่ใช่งานที่ต้องใช้ความเพียรพยายามมาก แต่ความจริงแล้วเป็นงานที่หนักหนาพอสมควร แค่ต้องยืนวันละแปดชั่วโมงก็เมื่อยพอแล้ว ยังต้องคอยเสนอขายเสื้อผ้าและจัดร้านอีก

ถ้าไม่หากินอะไรรองท้อง พวกหล่อนอาจแบกรับงานที่เหนื่อยล้าขนาดนี้ไม่ไหว

พนักงานสาวทั้งสามตอบว่าพวกหล่อนกินเรียบร้อยแล้ว

หลินม่ายถึงโล่งใจขึ้นมาบ้าง

ขณะนั้นเอง ผู้จัดการหยางก็เดินเข้ามา ทักทายหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “กิจการเริ่มต้นได้ดีเลยนะครับ”

หลินม่ายยิ้ม ตอบกลับอีกฝ่ายด้วยคำเยินยอ “เป็นเพราะทำเลที่ผู้จัดการหยางจัดสรรไว้ให้ด้วยค่ะ”

ผู้จัดการหยางยิ้มรับ ถามว่า “คุณยังต้องการหุ่นจำลองเพิ่มไหมครับ? ผมอาจจะไปขอยืมหุ่นจำลองจากร้านอื่นมาให้คุณได้สักสองตัว”

ถึงหลินม่ายจะต้องการมันมาก แต่เธอก็ตระหนักดี ในฐานะที่เธอเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนร้านอื่น ๆ ต่างก็ขายเสื้อผ้าที่ผลิตจากโรงงานตัดเสื้อของรัฐ

ผู้จัดการหยางเป็นธุระเลือกทำเลตั้งร้านที่ดีที่สุดให้กับเธอ แต่ร้านอื่น ๆ ยังไม่รู้ความจริงข้อนี้ ถ้าพวกเขารู้เมื่อใด จะต้องตามกดดันผู้จัดการหยางอย่างแน่นอน

ยิ่งถ้าผู้จัดการหยางออกหน้าหายืมหุ่นจำลองอีกสองตัวมาให้เธอ ทางโรงงานตัดเสื้อของรัฐอาจไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม คงแย่น่าดูถ้าพวกเขาหาเรื่องมาเล่นงานเธอแทน

จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนร้องเรียนไปยังฝ่ายบริหารของทางห้าง จนพวกเขาไม่อนุญาตให้เธอขายเสื้อผ้าแบรนด์ตัวเองในห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป? เธอจึงได้แต่ปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม

ผู้จัดการหยางคอยดูแลหลินม่ายเป็นอย่างดี ต่อให้ไม่ใช่เพราะฟางถิงออกหน้าด้วยตัวเอง เขาก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของทางห้าง

ตราบใดที่เสื้อผ้าของหลินม่ายขายดี ห้างสรรพสินค้าก็จะพลอยได้รับค่าคอมมิชชั่นจำนวนมากตามไปด้วย

หลังจากผู้จัดการหยางเดินจากไปแล้ว หลินม่ายก็หันกลับมาสนใจเสื้อผ้าในร้านของตัวเอง เห็นว่าชุดสี่ชุดที่เธอสวมให้กับหุ่นจำลองเมื่อเช้าค่อนข้างขายดีเป็นพิเศษ เหลืออยู่แค่ไม่กี่ชุดแล้ว

นี่คือข้อได้เปรียบของการมีหุ่นจำลองตั้งหน้าร้าน เสื้อผ้าบนตัวหุ่นช่วยดึงดูดสายตาลูกค้า เป็นธรรมดาที่มันจะขายดีกว่าชุดอื่น ๆ

หลินม่ายจัดการเปลี่ยนชุดให้กับหุ่นจำลองทั้งสี่ตัว หันไปพูดกับพนักงานขายทั้งสามคนว่า “อย่าลืมว่าต้องหมั่นเปลี่ยนชุดให้หุ่นจำลองพวกนี้เป็นระยะนะ เสื้อผ้าแต่ละสไตล์จะได้ขายดีแบบสมดุลกัน ไม่ควรขายเสื้อผ้าแบบเดิม ๆ จนหมดสต็อก เพราะในร้านยังมีเสื้อผ้าอีกหลายแบบ”

หลินม่ายอยากสอนพวกหล่อนต่อถึงเคล็ดลับว่าทำอย่างไรหุ่นจำลองถึงจะดูสวยสะดุดตา แต่หน้าร้านมีลูกค้าแวะเวียนมาเลือกซื้อกันไม่ขาดสาย ทำให้เธอต้องล้มเลิกความตั้งใจไปก่อน

สำหรับเรื่องนี้ เธอไม่กังวลว่าทางฝั่งของเถาจืออวิ๋นจะทำไม่ได้

อีกฝ่ายเป็นมืออาชีพ ดีไม่ดีอาจรู้วิธีการแต่งตัวแตกฉานยิ่งกว่าเธอเสียอีก

ห้างในยุคสมัยนี้ปิดทำการเวลา 17.30 น.

ปกติช่วงเวลาประมาณห้าโมงถึงห้าโมงครึ่ง ในห้างก็ไม่ค่อยมีลูกค้าแล้ว

แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ภายในห้างจึงยังมีลูกค้าหนาแน่นแม้จะเป็นเวลาใกล้ปิดห้าง น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่เริ่มเคลียร์สถานที่กันแล้ว

หลินม่ายเห็นผู้จัดการหยางเดินผ่านมาทางนี้พอดี จึงเรียกเขาไว้ เสนอว่า “ผู้จัดการหยาง คุณพอจะขยายเวลาทำการของห้างเป็นสามทุ่มทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ได้หรือเปล่าคะ เผื่อว่าทางห้างจะมีรายได้เพิ่มขึ้น”

ผู้จัดการหยางมองไปทางลูกค้าที่ยังคงเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่ในร้าน Unique ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “ผมจะลองเสนอเรื่องนี้กับทางผู้จัดการดู ต้องรอดูว่าเขาจะว่ายังไง?”

พอเห็นพนักงานขายสามคนของหลินม่ายกำลังนับเสื้อผ้าบนราวที่เหลือจากการขายในวันนี้ ก็ถามหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ขายได้กี่ตัวครับ?”

“ยังไม่รู้จำนวนที่แน่นอนเลยค่ะ แต่กะประมาณจากสายตา น่าจะขายได้สักหนึ่งพันตัว”

“เยอะมาก!” ดวงตาของผู้จัดการหยางเบิกกว้างอย่างเหลือเชื่อ เขาคิดว่าเสื้อผ้าแบรนด์ Unique จะขายได้มากที่สุดแค่ห้าร้อยตัวด้วยซ้ำ

ควรรู้ก่อนว่าค่าเฉลี่ยของเสื้อผ้าที่ผลิตจากโรงงานของรัฐตกอยู่ที่วันละประมาณสองร้อยตัวต่อวัน เฉพาะช่วงเทศกาลยอดขายถึงจะขยับขึ้นมาเป็นสี่ถึงห้าร้อยตัว

ไม่น่าเชื่อว่าเสื้อผ้าแบรนด์ Unique จะขายได้ถึงหนึ่งพันตัวในวันหยุดสุดสัปดาห์แค่วันเดียว

พูดอีกนัยหนึ่ง คือทางห้างสรรพสินค้าจะได้รับค่าคอมมิชชั่นอย่างต่ำหนึ่งพันหยวน ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมาก!

ผู้จัดการหยางจากไปด้วยความอิ่มเอมใจ

พนักงานขายสามคนกำลังช่วยกันนับและคัดแยกประเภทของเสื้อผ้า

จากนั้นสี่สาวก็ออกจากห้างสรรพสินค้าพร้อมกัน พนักงานขายคนหนึ่งถามอย่างระมัดระวัง “หัวหน้าหลิน ตามสัญญาจ้าง ถ้าขายเสื้อได้หนึ่งร้อยหยวน เราจะได้รับค่าคอมมิชชั่นหนึ่งพันเฟิน งั้นวันนี้พวกเราคงได้เงินประมาณยี่สิบหยวนใช่หรือเปล่าคะ?”

“ใช่แล้ว คุณสามคนแบ่งคนละเท่า ๆ กัน วันนี้ก็จะได้คนละประมาณเจ็ดหยวน”

พนักงานทั้งสามคนมีความสุขมาก ต่อให้พวกหล่อนจะได้ค่าคอมมิชชั่นแค่วันละห้าหยวน แต่ก็นับว่าได้เงินมากกว่าหนึ่งร้อยหยวนต่อเดือนแล้ว เทียบเท่าเงินเดือนของผู้จัดการโรงงานรัฐเชียวนะ!

กว่าหลินม่ายจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว

ฟางจั๋วหรานรู้ว่าถึงอย่างไรเธอก็คงกลับมาไม่ทันเวลาอาหารมื้อเย็นตอนห้าโมงครึ่งแน่ ดังนั้นจึงไม่ได้แวะมา

เถาจืออวิ๋นเข้าครัวทำอาหารมื้อเย็นให้เด็กน้อยทั้งสองกินเรียบร้อยแล้ว และอุ่นกับข้าวส่วนของหลินม่ายอยู่ในหม้อ

ทันทีที่หลินม่ายกลับมาถึง ก็จัดแจงยกอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะทันที

หลินม่ายถามระหว่างที่กำลังกินข้าว ว่าวันนี้ร้านที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงขายเสื้อผ้าได้กี่ตัว

เถาจืออวิ๋นตอบ “ประมาณสองพันตัว”

หลินม่ายอึ้งทันที ถึงเธอจะรู้อยู่แล้วว่าห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ นอกจากการจราจรโดยรอบจะหนาแน่นแล้ว ยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไป ไม่ว่าสินค้าจะมีคุณภาพแย่แค่ไหนยอดขายก็ไม่ได้แย่ตาม แต่เธอคาดไม่ถึงว่ายอดขายจะดีขนาดนี้!

หลังมื้ออาหาร หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นหมกตัวอยู่ในห้อง นับมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดพร้อมกับคำนวณกำไร ปรากฏว่าวันนี้แค่วันเดียว สามารถทำกำไรสุทธิได้สูงสองถึงสามหมื่นหยวน!

หลินม่ายปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง

เถาจืออวิ๋นเองก็มีความสุขมากเช่นเดียวกัน และเสนอว่าควรรับสมัครพนักงานเพิ่มอีก

เพราะตอนนี้ช่างตัดเย็บในโรงงานเริ่มผลิตสินค้าไม่ทันกับยอดขายแล้ว

หลินม่ายตอบตกลงอย่างง่ายดาย

ต่อให้มีพนักงานมากเกินความจำเป็น หรือเสื้อผ้าล้นสต็อก เธอก็ไม่มีอะไรต้องกังวล

นอกเหนือจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงและห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่วแล้ว ยังมีห้างสรรพสินค้าใหญ่อีกสามแห่ง ได้แก่ ห้างลิ่วตู้เฉียว ห้างจงหนาน และห้างหวงเฮ่อโหลว

ทั้งสามห้างยังไม่อยู่ในแผนการที่เธอจะเปิดสาขาร้าน Unique

แต่ถ้ามีเสื้อผ้าค้างสต็อกเมื่อใด เธอจะเดินสายเปิดสาขาบนห้างทั้งสามแห่งทันที

เธอยังไม่ได้วางแผนจะตีตลาดตั้งแต่แรก แต่อาศัยแผนการตลาดแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ชื่อเสียงของแบรนด์ Unique โด่งดังอย่างมั่นคง

ถ้าแบรนด์ของเธอประสบความสำเร็จถึงขั้นกลายเป็นเสื้อผ้าระดับกลางถึงระดับสูง ราคาก็จะยิ่งเพิ่มสูง กำไรก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น

หลินม่ายเพิ่งจะรวบรวมเงินหมุนเวียนที่ได้จากการค้าขาย เตรียมจะส่งมอบให้แผนกบัญชีเพื่อนำไปฝากเข้าธนาคารในวันพรุ่งนี้ โต้วโต้วก็ตะโกนเข้ามาจากนอกประตู “แม่จ๋า ลุงหลี่มาหาค่ะ!”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อรวยแล้ว ได้ทั้งรายได้จากเปิดร้านเสื้อผ้า เปิดร้านอาหาร แล้วก็ตลาดสดเลย

ไหหม่า(海馬)