ตอนที่ 281 เพิ่มอีกคนจะเป็นไร

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 281 เพิ่มอีกคนจะเป็นไร

หลังมื้อเที่ยง เผิงหยูเหยี่ยนก็คอยตามติดเจียงโม่หาน ไม่ว่าบัณฑิตหนุ่มจะเดินไปทางใด เขาก็ไปทางนั้น แต่แล้วจู่ ๆ เจียงโม่หานก็หยุดเดินและหันหลังมาอย่างกะทันหัน ทำให้เผิงหยูเหยี่ยนเกือบจะชน

เจียงโม่หานจ้องอีกฝ่ายแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ว่ามา มีเรื่องอันใดกันแน่ ? ”

“ขะ…ข้าอยากศึกษาตำรากับเจ้า ! ” เผิงหยูเหยี่ยนรู้ความสามารถของตนดี หากคนโง่เขลาเบาปัญญาสามารถสอบซิ่วไฉติดก็ถือว่ามาถึงจุดสูงสุดแล้ว เขาไม่อยากมีเคราขาวแล้วยังเป็นเพียงถงเซิง

เมื่อก่อนเขาไม่กล้าคิด แต่หลังอ่านบทความของหลินจื่อเหยียนแล้ว ใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาทันที ภายใต้การชี้แนะของศิษย์น้องเจียง ทำให้หลินจื่อเหยียนสามารถพัฒนาได้ถึงเพียงนี้ด้วยระยะเวลาอันสั้น ถ้าตนเลือกติดตามศิษย์น้องเจียงก็อาจสอบติดถงเซิงและซิ่วไฉได้เร็วกว่าเดิม แล้วทำให้แผนการสำเร็จลุล่วงเร็วขึ้น

ตามแผนของเผิงหยูเหยี่ยนคือหลังสอบติดซิ่วไฉแล้วก็จะเปิดสำนักศึกษาของตระกูล คอยสอนพวกเด็ก ๆ และกลายเป็นเศรษฐีสุขสบายคนหนึ่ง

ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็มองเขาด้วยสายตาดูแคลน “อยากศึกษาตำรากับข้าหรืออยากกินอาหารฝีมือคู่หมั้นท่านบ่อย ๆ กันแน่ ? ”

เมื่อโดนเปิดโปงความในใจแล้ว เผิงหยูเหยี่ยนก็ไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด เขาฉีกยิ้มและเกาศีรษะตนเอง “ข้าอยากศึกษาตำรากับเจ้าเพราะจะได้สอบติดเร็ว ๆ นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ก็แน่นอนว่าหากได้กินอาหารฝีมือเสี่ยวเฉียงบ่อย ๆ ก็เหมือนได้โชคสองชั้นไม่ใช่หรือ ! ”

“เสี่ยวเฉียง ? ” เจียงโม่หานเผยแววตาแห่งรอยยิ้ม หรือว่าเสี่ยวเฉียงที่ตีเท่าไรก็ไม่ตายจากปากของเด็กน้อยจะมาจากชื่อนี้ ?

ใบหน้าอวบขาวของเผิงหยูเหยี่ยนมีสีแดงระเรื่อทันที “เอ่อคือ…เจ้ายังเรียกคู่หมั้นว่าเสี่ยวเว่ย เหตุใดข้าจะเรียกนางว่าเสี่ยวเฉียงไม่ได้ ? ”

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินมีชื่อว่าหลินเฉียงเอ๋อร์ ส่วนชื่อจริงของเด็กน้อยคือหลินเว่ยเอ๋อร์ ที่บิดาของพวกนางตั้งชื่อให้บุตรสาวทั้งสองเช่นนี้ก็คงหวังให้พวกนางเป็นเหมือนดอกกุหลาบที่ผลิบานอย่างงดงามและแข็งแรง

ทว่าตอนที่เผิงหยูเหยี่ยนเรียกบุตรสาวคนโตด้วยคำว่า ‘เสี่ยวเฉียง’ ก็ไปเข้าหูหลินเว่ยเว่ยอย่างรวดเร็ว นางจึงไปสร้างเรื่องสนุกยกหนึ่ง ทำให้เผิงหยูเหยี่ยนต้องเปลี่ยนมาเรียก ‘เฉียงเอ๋อร์’ แทน เนื่องจากบุตรสาวคนโตไม่พอใจ

เจียงโม่หานเห็นเผิงหยูเหยี่ยนมีท่าทางจริงใจ จึงคิดว่าไหน ๆ ก็สอนคนหนึ่งอยู่แล้ว เพิ่มมาอีกคนจะเป็นไรไป เมื่อลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ตอบตกลง

เผิงหยูเหยี่ยนเดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุขและรีบเก็บกระเป๋าทันที ท่าทางของเขาเหมือนจะไปพักที่บ้านตระกูลเจียงในเย็นวันนั้นเลย

เมื่อนางเผิงเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา “ลูกแม่ ! นี่เจ้ากำลัง…จะหนีออกจากบ้านหรือ ? ”

“หนีออกจากบ้าน ? เหตุใดต้องหนีออกจากบ้านขอรับ ? ” เผิงหยูเหยี่ยนงุนงง

เผิงหยูชางมองมาที่ห่อข้าวของในมือน้องชายพลางถามว่า “ถ้าเจ้าไม่คิดจะหนีออกจากบ้าน แล้วเก็บเสื้อผ้า พู่กันกับแท่งหมึกด้วยเหตุใด ? ”

ใบหน้าของเผิงหยูเหยี่ยนเปื้อนยิ้ม “ศิษย์น้องเจียงรับปากให้ข้าไปศึกษาตำรากับเขาแล้ว วันนี้ข้ากับสหายได้เห็นบทความของน้องชายเฉียงเอ๋อร์ เขาพัฒนาไปเยอะมาก เหนือกว่าระดับข้าเลยก็ว่าได้ เมื่อก่อนตอนอยู่สำนักศึกษา เขามีระดับธรรมดาทั่วไป ดังนั้นหากไม่ได้คำชี้แนะจากศิษย์น้องเจียงแล้ว จะเป็นใครอีก ? ท่านแม่ พี่ใหญ่ ท่านว่าหากข้าไปศึกษาอยู่กับเขาสักสองปี จะไม่สามารถสอบถงเซิงหรือซิ่วไฉกลับมาได้อย่างนั้นหรือ ? ”

เผิงหยูชางได้ยินเช่นนั้นก็รีบเตรียมของขวัญแทนน้องชายทันที ในสายตาของเขาแล้ว ความขยันของน้องชายย่อมไม่ต้องกล่าวถึงอยู่แล้ว เพียงแต่…ขาดพรสวรรค์ไปหน่อย ! หากได้อาจารย์มีชื่อเสียงคอยชี้แนะก็จะเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ได้ ! แม้ไม่ใช่การคำนับอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่น้องชายไปพักอยู่บ้านคนอื่น ไปรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไป อย่างไรของขวัญตามมารยาทก็ยังต้องมี !

พี่สะใภ้ของเผิงหยูเหยี่ยนได้ยินว่าเขาจะออกไปอยู่นอกบ้านระยะหนึ่งจึงรีบจัดเตรียมเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้าต่าง ๆ มาใส่ในกระเป๋าเดินทาง ตอนที่นางเผิงคลอดบุตรชายคนเล็กก็มีอายุมากแล้ว ร่างกายฟื้นตัวช้า เผิงหยูเหยี่ยนจึงมีพี่สะใภ้คอยเลี้ยงดูมาโดยตลอด แล้วค่อยกลับสู่อ้อมอกบิดามารดาตอนอายุประมาณ 5-6 ขวบ ในใจของพี่สะใภ้ใหญ่จึงเห็นเผิงหยูเหยี่ยนเป็นเหมือนเผิงเจียเหลียงลูกชายแท้ ๆ เพราะล้วนแต่มีนางเลี้ยงจนเติบใหญ่ทั้งสิ้น

มารดาที่เป็นกังวลเมื่อบุตรเดินทาง จึงให้พี่สะใภ้ใหญ่ตรวจสอบสัมภาระของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะกลัวจะมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องแล้วทำให้ชีวิตลำบาก นางเผิงจับมือบุตรชายพลางกำชับไม่หยุดราวกับว่าเขาจะเดินทางไกลนับพันลี้

เผิงเจียเหลียงทนมองต่อไม่ไหว “ท่านย่า ท่านแม่ขอรับ ! พวกท่านพอได้แล้ว ! ฉือหลี่โกวห่างจากพวกเราแค่ 10 ลี้ นั่งรถม้าไปก็ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ถ้าขาดสิ่งใดก็ค่อยส่งไปให้ทีหลังได้ขอรับ ! ”

เผิงหยูเหยี่ยนก็พยักหน้ารัว “ใช่ขอรับ ! อาเหลียงพูดถูก ! ข้าไปศึกษาตำราไม่ได้ไปสงครามเสียหน่อย ! เอาของไปเยอะเกินจะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะได้ขอรับ ! อ้อ จริงสิ เกือบลืมไปเลย ข้านำของดีมาให้พวกท่านด้วย…ดูสิว่านี่คือสิ่งใด ! ”

“ดอกกุหลาบ ? นี่ก็เข้าปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้วจะมีดอกกุหลาบที่ใดเบ่งบานได้สวยเช่นนี้…หืม ? ไม่ถูก ! ดอกกุหลาบไม่น่าจะอยู่ในถาด เหตุใด…” เผิงเจียเหลียงกวาดตามองสำรวจ เดิมทีเขาไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ทว่าพอลองคิดแล้วก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เขาจึงลองมองให้ละเอียดอีกรอบ…นี่เป็นดอกกุหลาบที่ไหนกันเล่า มันคือครีมหอมหวานต่างหาก เป็นของกินชัด ๆ

เผิงหยูเหยี่ยนแบ่งเค้กให้บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้คนละชิ้น จากนั้นก็ขูดดอกกุหลาบออกมาให้หลานชาย “นี่เป็นเค้กวันเกิดที่น้องสาวเฉียงเอ๋อร์ทำให้คู่หมั้น ดอกไม้พวกนี้ ล้วนทำมาจากครีม หอมหวาน อร่อยมากเลย ในเค้กยังมีลูกท้อและแยมบลูเบอร์รี่ด้วย รสชาติหลากหลายมาก ! ”

พอเอ่ยถึงของกิน เขาก็หยุดพูดไม่ได้ !

เผิงเจียเหลียงยกดอกไม้ครีมขึ้นมาดูครั้งแล้วครั้งเล่า “ฝีมือประณีตยิ่งนัก มีชีวิตชีวาราวกับเป็นของจริง ! ”

เมื่อใส่เข้าปากก็ละลายทันที ภายใต้กลิ่นหอมนมมีรสหวานละมุนซ่อนอยู่ หรือจะเรียกได้ว่ามีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ก็ว่าได้ เมื่อกัดกินเนื้อเค้กแล้วรสสัมผัสก็ยังอ่อนนุ่มละมุนลิ้น หอมหวานรสเลิศ เนื้อลูกท้อและแยมบลูเบอร์รี่ที่ผสมอยู่ข้างในยังทำให้รสชาติของเค้กหลากหลายและดึงดูดให้อยากกินเพิ่มกว่าเดิม

หลังจากนายท่านเผิงกินหมดหนึ่งชิ้นก็ยังต้องการเพิ่มอีกหน่อย แต่ถูกนางเผิงห้ามไว้เสียก่อน เพราะท่านหมอเคยกล่าวไว้ว่าจะให้เขากินของหวานเยอะเกินไปไม่ได้ ตาแก่คนนี้ห้ามปากไม่ได้ตลอด ต้องมีคนคอยเตือนอยู่เรื่อย

นายท่านเผิงถามบุตรชายคนเล็ก “น้องสาวของคู่หมั้นเจ้ามีฝีมือมาก ! แถมยังเป็นคนละเอียดอ่อนด้วย ! ”

คราวก่อน หลังจากรู้ว่าเขากินของหวานเยอะไม่ได้ก็ยังตั้งใจทำขนมปังกรอบรสผักให้เขา แต่น่าเสียดายขนมปังกรอบรสผักมีจำนวนจำกัด แม้ว่าเขาจะพยายามกินให้น้อยก็ยังกินหมดอย่างรวดเร็ว !

นางเผิงตีที่แขนของสามี “คู่หมั้นของเหยี่ยนเอ๋อร์ก็ไม่เลวเช่นกัน ฝีมือทำอาหารเป็นเลิศและยังมีฝีมือทอผ้า…”

เผิงหยูเหยี่ยนก็คิดว่าคู่หมั้นของตนดีไปหมดทุกอย่าง “ใช่ขอรับ น้องสาวเฉียงเอ๋อร์เย็บปักไม่เป็น เรื่องนี้สู้เฉียงเอ๋อร์ไม่ได้เลย ! ”

ขณะมองท่าทางโง่งมของบุตรชาย นางเผิงก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าไปอยู่ข้างบ้านตระกูลหลินก็อย่าทำตัววู่วาม ทำให้คู่หมั้นตกใจกลัวเด็ดขาด บ้านเราแค่หมั้นกันเท่านั้น ถ้าบ้านนั้นเกิดรู้สึกคิดผิดขึ้นมา…”

แต่แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ก็เข้ามาให้ท้ายเขา “คู่หมั้นของเหยี่ยนเอ๋อร์เป็นคนดีก็จริง แต่เหยี่ยนเอ๋อร์ของบ้านเราก็ไม่แย่ ! นิสัยซื่อตรง จริงใจและกตัญญู ท่านแม่เจ้าคะ แม้จะบอกว่าก้มหน้าขอลูกสะใภ้ แต่ท่านเองก็ไม่ควรเผยท่าทีถ่อมตนเกินไป”

นางเผิงหัวเราะแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าก็ไม่ได้คิดว่าขอแค่เด็กสองคนมีชีวิตคู่ที่ดีแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญเสียหน่อย ! ”

ทันใดนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ก็เริ่มกังวลขึ้นมา ไม่รู้ว่าสะใภ้เล็กในอนาคตจะมีนิสัยเช่นไร หวังว่าจะไม่โดนตามใจจนเสียคนก็พอ เฮ้อ ! ใครใช้ให้เหยี่ยนเอ๋อร์ชอบนางเองล่ะ ? อย่างไรถ้าแต่งเข้ามาแล้ว บิดามารดาต้องย้ายไปอยู่บ้านใหญ่ ถ้านิสัยไม่ดีก็อยู่ห่างไว้หน่อยคงจะพอ !