ตอนที่ 173 การทดสอบขั้นสูงของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 173 การทดสอบขั้นสูงของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน (1)
หลี่ฉางโซ่วซ่อนตัวอยู่ในที่ลับและชี้ทางให้สงหลิงลี่วิ่งอย่างบ้าคลั่งไปบนพื้น แล้วทั้งสองก็มาถึงที่ซ่อนอีกแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ในเมื่อเขาไม่อาจดูอยู่บนขอบได้แล้ว เช่นนั้นจึงทำได้เพียงเปลี่ยนกลยุทธ์ของเขาและเข้าร่วมด้วยเท่านั้น

คลื่นสัตว์ปีศาจสองระลอกพุ่งไปยังตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ ตามการคาดการณ์ของหลี่ฉางโซ่ว หากมีผู้ใดไม่ได้ตั้งใจทำตามจุดประสงค์ ก็จะถูกจัดการด้วยกลไกการลงโทษซึ่งซ่อนอยู่ที่ขอบภาพ และด้วยเหตุที่มีคนเห็นเขามากขนาดนี้ หากคิดจะทำอะไรกับภาพวาด ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะลงมือต่อหน้าทุกคนได้

สถานการณ์นี้น่าจะเป็นหนึ่งในกฎที่ซ่อนอยู่ในการประชุมครั้งนี้… ผู้อาวุโสอวิ๋นจงจื่อผู้นี้ก็ช่างคิดมากเช่นกัน

หลี่ฉางโซ่วอาศัยพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาในการสำรวจระยะทางไกลออกไป ทั้งยังร่ายเวทวายุวัจน์และเตรียมใยแมงมุม จากนั้นเขาก็ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายไล่ตามหลังสงหลิงลี่ไปในขณะที่สงหลิงลี่วิ่งไปที่ริมแม่น้ำอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้น นางก็พบหลุมขนาดใหญ่ที่ถูกแม่น้ำกัดเซาะบนเนินเขาริมแม่น้ำ แล้วเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้นพร้อมกับหลี่ฉางโซ่ว

หลี่ฉางโซ่วสร้างปราการบดบังระดับต่ำสองชั้นเพื่อไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นเขาและยังคงแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบภายในรัศมีห้าร้อยลี้

คราวนี้พวกเขาอยู่ในพื้นที่ที่มีเหล่าผู้บำเพ็ญโดยรอบ ไม่ได้อยู่ที่ขอบรอบนอกแล้ว

ในการต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญระดับนั้น ไม่จำเป็นให้เขาต้องเปิดเผยไพ่ไม้ตายของเขาและดึงดูดความสนใจใดๆ

ขณะนั้นสงหลิงลี่พยายามขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งและมองลงไปที่หลี่ฉางโซ่ว “พี่ชาย เราจะซ่อนตัวตลอดไปหรือไม่เจ้าคะ”

“ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางยิ้ม และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามดังมาจากชุดเกราะของสงหลิงลี่

สงหลิงลี่เกาศีรษะอย่างขัดเขินขณะกล่าวว่า “ตอนนี้ ข้าหิวเมื่อเห็นเจ้าสัตว์ปีศาจสองตัวนั้น”

“เจ้ากินสองตัวนี้ไม่ได้นะ” ขณะกล่าวหลี่ฉางโซ่วก็หยิบขวดโอสถออกมา “หากหิวก็กินไปหนึ่งเม็ด… เจ้าควรเป็นปี้กู่ได้แล้ว”

“ก็ได้ ข้าจะไม่อดตายแม้จะไม่ได้กินตอนนี้ แต่ข้าจะไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก หากไม่ได้กินเนื้อสัตว์”

สงหลิงลี่กล่าวอย่างเขินอาย นางมักจะหิวเมื่ออยู่ในสำนัก ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบกินหลังจากเป็นปี้กู่…

หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าและเข้าใจในสภาพร่างของคนเผ่าพ่อมดคร่าวๆ

ชั่วขณะที่เขากำลังจะถามต่อ จู่ๆ สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาก็ตรวจจับได้ว่ามีวิหคปีศาจอีกสามตัวบินออกมาจากพื้นที่ชายขอบรอบนอก และกำลังพุ่งเข้ามาทางเขาและสงหลิงลี่อย่างรวดเร็ว

หลี่ฉางโซ่วเลิกคิ้วแล้วปัดการคาดเดาในเรื่อง ‘กลไกการลงโทษ’ ของเขาก่อนหน้านี้ออกไปทันที ในบรรดาความเป็นไปได้ที่เหลืออยู่ทั้งหมด ที่มากที่สุดก็อาจเป็นได้ว่ามีคนจงใจทำเรื่องให้ยุ่งยากขึ้น และยังมีความเป็นไปได้ที่สำคัญในเรื่องสายโลหิตเผ่าพ่อมดซึ่งมีแรงดึงดูดเหล่าสัตว์ปีศาจมากขึ้นเป็นพิเศษ

“หลิงลี่ เจ้าเคยล่า และยิงวิหคมาก่อนหรือไม่”

สงหลิงลี่พยักหน้าและตอบรับอย่างเริงร่าทันที “แน่นอนว่าข้าทำ!ทุกคนในหมู่บ้านของเราล้วนรู้วิธีล่า จับมัจฉาและวิหค! แต่ตอนข้าจะล่าวิหค ข้าจะขว้างง่ามออกไปใส่พวกมัน ข้าไม่ได้เอาอะไรมาด้วย…”

“ข้าจะทำบางอย่างให้เจ้าเอง” หลี่ฉางโซ่วโบกมือออกไปด้านนอกง่ายๆ แล้วทันใดนั้น ก็มีคลื่นทรายพุ่งออกมาจากก้นแม่น้ำมาอยู่ในมือของหลี่ฉางโซ่ว จากนั้นก็ก่อตัวขึ้นเป็นง่ามสามแฉกสีเหลืองอย่างรวดเร็ว

หลี่ฉางโซ่ตั้งใจทำให้แต่ละง่ามหนาขึ้นและหนักขึ้นพร้อมด้วยคุณภาพพิเศษและให้ความรู้สึกดีเยี่ยมยามที่มือสัมผัส

ชั่วขณะนั้น สงหลิงลี่เฝ้าดูอย่างตื่นเต้นอยู่ข้างๆ …

ในเวลานี้ ท่านเทพแห่งท้องทะเลปรากฏตัวต่อหน้านาง!

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ยื่นง่ามยาวให้สงหลิงลี่แล้วกล่าวจริงจังว่า “มีวิหคใหญ่สองสามตัวกำลังบินผ่านมา ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว อย่ากดดันตัวเอง หากเจ้ารับมือไม่ได้ แน่นอนว่า ข้าจะลงมือเอง”

สงหลิงลี่เม้มริมฝีปากขณะที่ดวงตาเปล่งประกายขึ้นพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักอย่างหนักแน่นให้หลี่ฉางโซ่วแล้วกล่าวเสียงเบาออกมา

“พี่ชาย! ข้าจะปกป้องท่านเองเจ้าค่ะ!”

หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มแล้วโบกมือให้ขณะที่สงหลิงลี่ถือง่ามยาวและรีบออกจากที่ซ่อนทันที

ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ก็ได้ยินเสียงลมพัดผ่านอากาศออกมาอย่างรวดเร็วภายนอกถ้ำ ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนดังลั่นของวิหคปีศาจ…

หลี่ฉางโซ่ววางขวดกระเบื้องในมือของเขาลงบนพื้นในถ้ำดิน ในขณะนี้ สัมผัสเซียนรับรู้ของเขายังตรวจจับพบว่า เหล่าผู้บำเพ็ญนับสิบคนที่ไล่ตามวิหคปีศาจล้วนหนีกระจัดกระจายไปหมดแล้ว …

ในขณะนั้น วิหคปีศาจหลากสีสันสามตัวก็พุ่งตกลงไปในป่าที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยจั้ง

สงหลิงลี่ตกตะลึงเมื่อเห็นวิหคปีศาจเหล่านี้ นางเช็ดน้ำลายออกจากมุมปากแล้วหันศีรษะกลับมา เตรียมจะกลับไปที่ถ้ำ

แต่ทันใดนั้น นางก็ได้ยินข้อความเสียงเข้ามาในหูของนาง

“ไปตัดปีกวิหคปีศาจทางซ้ายออกเสีย จากนั้นเราย้ายไปสถานที่อื่นแล้วย่างให้เจ้ากินแก้หิวกันเถิด วิหคปีศาจตัวนี้มีชื่อว่า ไก่ฟ้าไฉหยวี่ต้าจิน ปีกของมันเป็นอาหารเลิศรสยิ่งนัก”

สงหลิงลี่จึงรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างลิงโลด แล้วรีบคว้าปีกของวิหคปีศาจซึ่งยาวกว่าสามจั้งอย่างรวดเร็วแล้วกระทืบหนักหน่วงลงบนร่างของมันก่อนจะลากมาอย่างรุนแรง ขณะที่เลือดของมันสาดกระเซ็นไปทั่วทุกที่…

ไม่นานหลังจากนั้น สงหลิงลี่ก็วางปีกไก่สองปีกที่ยาวนับสิบฉื่อไว้ใต้ซี่โครงของนางแล้ววิ่งอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อผู้บำเพ็ญจากสำนักเซียนภายใต้สามสำนักบำเพ็ญเต๋าเห็นเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดต่างก็ถอยกลับพร้อมด้วยความตะลึงงันและไม่กล้าพูดถึงสิ่งที่เห็น…

แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดกล้าลอบโจมตีในช่วงเวลาเช่นนี้

ทุกคนต้องแสดงกิริยาสุภาพเรียบร้อย ทำตัวเป็นสุภาพชน แม้อยากจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงสมบัติ พวกเขาก็ต้องร้องตะโกนบอกล่วงหน้าว่าพวกเขากำลังจะโจมตี…

ครึ่งชั่วยามต่อมา บนพื้นที่โล่งในป่า สงหลิงลี่ก็นั่งหลังกองไฟสูงและแคบอย่างว่าง่าย นางถือง่ามดินเหนียวยาวสามสิบฉื่อเอาไว้ในมือซ้าย และบนง่ามดินนั้นก็มีปีกไก่ยาวสิบฉื่อถูกเสียบติดกันอยู่สองชิ้น…โอ… สุดยอดปีกไก่ขนาดใหญ่พิเศษแห่งโลกบรรพกาล!

ไฟนั้นไม่ใช่ไฟธรรมดา มันคือ ‘เพลิงแท้ต้วนหมิง’ ที่หลี่ฉางโซ่วจะใช้หลอมโอสถเป็นบางคราว มันมีพลังระดับกลาง ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลคอยสังเกตสภาพแวดล้อมของเขาอยู่เงียบๆ และนึกถึงประสบการณ์ในการเผชิญหน้าครั้งก่อนของเขาเมื่อก่อนหน้านี้…

สงหลิงลี่โรยเกลือและเครื่องปรุงรสที่นำมาก่อนจะส่ายมือไปมาง่ายๆ อย่างชำนาญ

นางเลียริมฝีปากขณะร้องเพลงของสำนักเซียนเซียวเหยาอย่างสำราญใจ

“หญ้าริมแม่น้ำสีเขียว เต่าวิ่งอยู่บนฝั่ง ไยเต่าถึงวิ่งเร็วไม่ได้เล่า? บนหัวเต่ามีหญ้าสีเขียวนิรันดร์[1] ~”

หากผู้ใดได้ยินบทเพลงพื้นเมืองนี้ คงจะคิดว่า สำนักเซียนเซียวเหยานั้นย่อมมีเรื่องวุ่นวายมากอย่างแน่นอน!

แต่หลี่ฉางโซ่วนั้นแตกต่างไป

ในเวลานั้น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้นขณะที่คิดในใจว่า บัดนี้ ที่ด้านนอก มีผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่สองสามคนที่เกี่ยวข้องกับเต่าเช่น กุ่ยหลิงเซิ่งหมู่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยเป็นต้น

เขาต้องใส่ใจให้ความสำคัญในรายละเอียดให้มากขึ้น

หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “เราร้องเพลงอื่นกันเถิด”

“ได้เจ้าค่ะ” สงหลิงลี่ก้มศีรษะตอบรับอย่างประจบและเชื่อฟัง นางคิดว่า บางทีเทพแห่งท้องทะเล อาจอยากได้ยินนางร้องเพลงแต่ไม่กล้าเอ่ยปากตรงๆ

จากนั้นไม่นาน นางก็พบระดับเสียงที่เหมาะสมและร้องเพลงที่สองของสำนักเซียนเซียวเหยา…

ด้านนอกภาพแผนที่ บัดนี้ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่บนก้อนเมฆก็ระงับการส่งพลังเข้าไปจัดการสร้างผลกระทบในแผนที่สมบัติ

เขาไม่ได้จงใจทำให้หลี่ฉางโซ่วยุ่งยาก แต่กำลังวางแผนสร้างชื่อเสียงให้หลี่ฉางโซ่วโด่งดังในการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋า และปูทางให้หลี่ฉางโซ่วเข้าสู่วังดุสิต

ในขณะนั้น ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน กำลังคิดถึงปัญหาอีกเรื่องแล้ว…

………………………………………………..

[1] เพลงชิงชิงเหอเปี้ยนเฉา แท้จริงแล้วเป็นเพลงประกอบละครจีน ตำนานรักดอกเหมย ตอน คู่รักคู่วิปโยค บทประพันธ์ ของ ฉวนเหยา ซึ่งการที่เต่ามีหญ้าสีเขียวนิรันดร์ แฝงนัยถึง เต่าสวมหมวกเขียว เปรียบเปรยว่าในสำนักเซียนเซียวเหยามีปัญหาชู้สาวอยู่ ซึ่งถ้าเป็นผู้อื่นได้ยินเพลงนี้อาจพอเข้าใจ แต่หลี่ฉางโซ่วหาใช่เช่นนั้นไม่ เขากลับคิดถึงกุ่ยหลิงเซิ่งหมู่ ซึ่งในพระนามมีคำว่า กุ่ย หมายถึงเต่า