บทที่ 253 โหดเหี้ยม (1)
ทุกคนต่างมึนงงกับการกระทำของเซวียนผิงโหว
เกิดอะไรขึ้น นึกไม่ถึงว่าเซวียนผิงโหวจะจัดเสื้อผ้าให้กับผู้เข้าสอบตัวเล็กๆ คนหนึ่ง นี่ไม่ใช่ความชื่นชอบธรรมดาทั่วๆ ไป โดยปกติแล้วมีเพียงคนที่มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อมากเท่านั้น หรือไม่ก็เป็นคนที่ตัวเองให้ความสำคัญจึงจะทำเช่นนี้
เซียวลิ่วหลังอาจไม่ได้มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวงทั้งเมือง ทว่าในแวดวงการสอบขุนนางนั้นเขาโด่งดัง เขามาจากครอบครัวยากจน แต่ในการสอบขุนนางชุนเหว่ยฤดูใบไม้ผลิกลับอยู่อันดับเดียวกันกับอันจวิ้นอ๋อง นั่นทำให้ชื่อเสียงเขาโด่งดังขึ้นมา
ผนวกกับที่เขาขาไม่ดี ยิ่งทำให้ผู้คนให้ความสนใจกับเขายิ่งกว่าเดิม
เขากลายเป็นที่จดิตจำเป็นพิเศษ อย่างไรเสียคนที่เข้าร่วมการสอบเตี้ยนซื่อก็ไม่มีคนขาเป๋คนที่สองอยู่แล้ว
คนส่วนใหญ่เห็นเขา ปฏิกิริยาแรกล้วนเหมือนกันหมดคือเด็กหนุ่มคนนี้หน้าตาดีเกินไปแล้วกระมัง ปฏิกิริยาที่สองคงเป็นเหตุใดขาจึงเป๋ไปได้เล่า และหลังจากสองปฏิกิริยานี้ก็เป็นนึกไม่ถึงว่าเจ้าเป๋จะสอบฮุ่ยหยวนได้
ทุกคนเสียดายเขา บ้างก็อิจฉา บ้างก็ไม่แยแส สรุปก็คืออารมณ์มากมายหลายหลาก
ทว่าไม่มีใคร ณ ที่นั้นคาคคิดว่าเขาจะเข้าตาเซวียนผิงโหวเข้า
ถูกแล้ว แม้ว่าเซวียนผิงโหวจะแสดงออกว่าให้ความสำคัญต่อเซียวลิ่วหลัง ก็ไม่มีใครเดาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ว่าเป็นพ่อลูกกัน
ทุกคนแอบซุบซิบกันเบาๆ ว่าเซวียนผิงโหวเป็นแม่ทัพไม่ใช่หรือ เขาดูถูกบัณฑิตพิการเป็นที่สุดมิใช่หรือ การสอบขุนนางชุนเหว่ยที่ผ่านๆ มาคัดคนมากความสามารถมาได้ตั้งมากมาย เหตุใดไม่เห็นเซวียนผิงโหวโปรดปรานใครในนั้นเลย จุดไหนของเจ้าเป๋น้อยนี่ไปเตะตาเซวียนผิงโหวเข้า นึกไม่ถึงว่าเซวียนผิงโหวที่ไม่เคยเข้าประชุมเช้าจะตื่นแต่ฟ้าสางมาส่งเขาเข้าสนามสอบ
เซียวลิ่วหลังยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มองไม่เห็นถึงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ซ้ำเซวียนผิงโหวก็ไม่ได้เดือดดาล ยังคงจัดเสื้อผ้าให้เขาด้วยมาดใหญ่โตเหมือนเดิม
อันที่จริงเซวียนผิงโหวไม่ใช่บิดาที่ทำหน้าที่ได้เหมาะสมกับบทบาทมากนัก เวลาส่วนใหญ่เขาล้วนอยู่ในค่ายทหาร ใส่ใจลูกหลานในบ้านน้อยมาก
เซียวเหิงกลายเป็นเด็กหนุ่มมีความสามารถยอดเยี่ยมได้ นอกจากพรสวรรค์พิเศษแล้ว ที่เหลือเป็นความดีความชอบขององค์หญิงซิ่นหยางทั้งสิ้น
องค์หญิงซิ่นหยางเป็นมารดาที่เมตตาและเข้มงวด นางร่ำเรียนเขียนอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ นางหวังว่าลูกชายตัวเองจะมีวิชาความรู้เต็มเปี่ยมในวันหน้า นางทุ่มสุดตัวสั่งสอนชี้แนะเขา จึงมีเซียวเหิงในสายตาทุกคนในวันนี้
ตอนที่เซียวเหิงยังเด็กมากๆ ทุกวันจะฟุบอยู่หน้าประตูจวนรอท่องกลอนให้เขาฟัง
แต่เขาก็เอาแต่กลับมาดึกดื่น เซียวเหิงน้อยจึงหลับอยู่บนกรอบประตูประจำ
หรือไม่ก็เซียวเหิงได้ท่อง เขาฟังผ่านๆ จนจบก็พยักหน้าบอกว่าดี แล้วเซียวเหิงก็จะโกรธมาก บอกว่า “ท่านไม่ได้ฟังเลย! ข้าท่องผิดไปตั้งสามคำแท้ๆ!”
เซวียนผิงโหววัยยังหนุ่มยังแน่นจะมาเสียหน้าต่อหน้าลูกชายไม่ได้ จึงแสร้งทำเป็นโมโหเพื่อกลบเกลื่อนที่ตนความรู้น้อย “ท่องกลอนมันเก่งกาจตรงไหน ชายชาตรีเข้าสนามรบเข่นฆ่าศัตรูปกป้องบ้านเมืองต่างหากจึงจะเรียกว่าเก่งกาจ! เจ้ายกหอกขึ้นหรือว่าแกว่งดาบได้หรือไม่”
เซียวเหิงน้อยเจ็บปวดยิ่ง
เซวียนผิงโหวยังไม่ทันเรียนรู้การเป็นพ่อที่ดีว่าทำอย่างไร เซียวเหิงก็มาตายอยู่ในกองเพลิงแล้ว เสียใจเจ็บปวดเพียงใดมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้
เซวียนผิงโหวมองเซียวลิ่วหลังที่สีหน้าไร้อารมณ์ เหม่อลอยอยู่พักหนึ่งก็หลุดจากภวังค์ แล้วตบบ่าเซียวลิ่วหลัง จับๆ แขนเสื้อเขาอีกหน “เข้าไปเถอะ”
ส่งคนเข้าสนามสอบครั้งแรก เขาไม่มีประสบการณ์อะไร ไม่รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง ไอ้จัดเสื้อผ้าอาภรณ์นี้ก็เพิ่งจะเลียนแบบราชครูจวงกับราชเลขาหยวนตอนลงรถม้านี่เอง
เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไปโดยไม่หันหลังกลับมา
ตู้รั่วหานที่อยู่ด้านหลังเซียวลิ่วหลังค่อนข้างมึนงง เขาเป็นคนที่นอกจากอยู่ใกล้เซียวลิ่วหลังแล้วยังอยู่ใกล้เซวียนผิงโหวที่สุดด้วย เซวียนผิงโหวสูงใหญ่กว่าในตำนานที่ลือกัน และองอาจเคร่งขรึมกว่า การเคลื่อนไหวล้วนสูงส่ง แววตาลุ่มลึกยิ่ง
นี่เป็นบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายเขาแล้วไร้ความหวาดกลัวต่ออุปสรรคใดทั้งสิ้น
รัศมียิ่งใหญ่นัก ตู้รั่วหานรู้สึกว่าตัวเองจะขาดหายใจตายแล้ว
ทว่าบุรุษแข็งแกร่งเช่นนี้กลับหยุดเดินให้เซียวลิ่วหลัง ปฏิบัติต่อเซียวลิ่วหลังเหมือนผู้ปกครอง
ตู้รั่วหานคลุ้มคลั่งจะตายแล้ว ช่างน่าอิจฉานัก! ไอ้คนนี้มันโชคดีมาจากไหนกันนะ!
เซียวลิ่วหลังยังไม่รู้ว่าตัวเองตู้รั่วหานกลอกตาอย่างอิจฉาริษยามาตลอดทาง พวกเขาเข้าไปในตำหนักหลักอย่างตำหนักไท่เหอ แล้วนั่งตามเลขที่นั่งสอบของตัวเอง ไม่แตกต่างอะไรกับการสอบสนามเล็ก
การสอบเตี้ยนซื่อใช้เวลาสอบแค่หนึ่งวันและวิชาเดียว ภาคเช้ายามเฉิน สี่เค่อแจกข้อสอบ ภาคบ่ายยามโหย่ว เก็บกระดาษข้อสอบ แต่ส่งก่อนกำหนดระหว่างนั้นก็ไม่อนุญาตให้กินอะไรและไม่อนุญาตให้เอาอาหารแห้งมาเอง
ผู้สอบที่ผ่านการสอบชนบทและระดับแคว้นมาแล้วล้วนมีคุณสมบัติไม่เลว หิวมาทั้งวันกลับไม่ถึงขั้นหิวจนเกิดปัญหา ห่วงอย่างเดียวก็คือตัวเองแสดงฝีมือออกมาได้ไม่ดี
อย่างไรเสียวันนี้ฮ่องเต้ก็มาคุมการสอบด้วยพระองค์เอง ฮ่องเต้เลิกประชุมเช้าแล้วจึงจะเสด็จมา หากแต่ไม่มีใครรู้ว่าประชุมเช้าจะนานเท่าใด เกิดตัวเองเขียนไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ก็ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังตัวเอง…
ภาพนั้นคิดดูแล้วน่าเวทนานัก
หลังจากขั้นตอนการเข้าเฝ้าอันซับซ้อนผ่านพ้นไป การสอบอย่างเป็นทางการก็เริ่มขึ้น ขุนนางกรมพิธีการแจกข้อสอบให้ผู้เข้าสอบทุกคน เจ้ากรมพิธีการ เอกอัครราชทูตรวมถึงบัณฑิตในสำนักเสนาบดีสี่นายแยกกันนั่งบนม้านั่งสองฝั่งด้านหน้า ตรงกลางวางโต๊ะไว้ตัวหนึ่ง จองไว้ให้ฮ่องเต้
ในตำหนักนอกจากขุนนางคุมสอบแล้ว ยังมีองครักษ์รวมถึงขันทีเฝ้าไว้ ด้วยเหตุนี้แม้จะไม่มีคอกกั้นสอบแยกเดี่ยวๆ แต่ต้องมาทุจริตภายใต้สายตามากมายเพียงนี้ก็ยากมากทีเดียว
อีกอย่างโจทย์ก็ไม่ใช่คำถามตายตัว โอกาสในการทุจริตจึงมีไม่มาก
เพียงไม่นานเซียวลิ่วหลังก็ได้ข้อสอบของตัวเอง นี่เป็นโจทย์ที่ฮ่องเต้ออกเอง ถามเรื่องการปกครองของฮ่องเต้กับหัวใจของฮ่องเต้ และจะใช้มันปกครองแคว้นอย่างไร
หลังจากผ่านคำถามหฤโหดของตี๋จ่างเสียนแล้ว คำถามนี้ละมุนละม่อมกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยจะตอบอย่างไรก็ไม่มีทางผิด อย่างมากเนื้อหาคำตอบอาจจะทำไปใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ
หากพูดเกินจริงเสียหน่อย ขอแค่ลายมือสวย ตอบให้ตรงคำถาม มีจุดยืนที่ชัดเจนก็เพียงพอแล้ว
ฮ่องเต้กำลังคัดเลือกคนมีความสามารถ แต่พวกเขาผู้เข้าสอบยังไม่เคยเป็นขุนนางกันมาก่อน หากพูดให้น่าฟังหน่อยก็เรียกว่าดีแต่วางแผนการรบบนกระดาษ ฮ่องเต้ไม่หวังว่าการสอบครานี้จะแก้ไขปัญหายากๆ ที่พวกขุนนางทั้งหลายแก้ไม่ได้ มิฉะนั้นจะเอาขุนนางมีประสบการณ์ในราชสำนักทั้งหลายนี้ไว้ทำไม
สิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการเห็นที่แท้จริงคือวิสัยทัศน์ของผู้เข้าสอบ
สมุหนายกจิตใจกว้างขวาง คนนั้นมีวิสัยทัศน์กว้างไกลเพียงใด หนทางในวันหน้าก็ยิ่งวกว้างขวางตามไปด้วย
ผู้สอบส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจในจุดนี้ ทุกคนต่างขบคิดเค้นสมอง เกาหัวงุนงงคิดหาหลักการปกครองแคว้นโฉมใหม่
เซียวลิ่วหลังไม่รีบร้อนเขียน เขาเขียนฉบับร่างก่อน
อันที่จริงเขาไม่ได้มีนิสัยชอบร่างเค้าโครง แต่ฉบับร่างเป็นหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งเวลาตรวจดูผลคะแนน
เขาคิดไตร่ตรองถ้อยคำ ทอนๆ ลบๆ อยู่ราวๆ หนึ่งชั่วยามก็เริ่มตอบในข้อสอบจริง
นี่เป็นคำถามเชิงนโยบาย ก่อนตอบคำถาม ให้เขียนว่ากระหม่อมตอบว่าก่อน เพื่อแสดงว่าตัวเองกำลังตอบคำถามของฮ่องเต้
“กระหม่อมตอบว่า กระหม่อมได้ยินมาว่าเมื่อฮ่องเต้ปกครองแคว้นด้วยพระองค์เอง ย่อมต้องมีวิธีปกครองบ้านเมืองที่ปฏิบัติได้จริง จากนั้นจึงสามารถกำกับราษฎรได้ ว่าราชการอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จึงจะได้มาซึ่งราชธรรมอันยิ่งใหญ่ ย่อมต้องมีแนวคิดริเริ่มและล้ำหน้าในการปกครองแคว้นที่สามารถปฏิบัติได้จริง จากนั้นจึงสามารถขัดเกลาและปลุกใจเหล่าขุนนางทั้งหลายทั้งปวงได้ ส่งเสริมการปฏิรูปภารกิจนานา จึงสามารถปกครองแคว้นให้เจริญรุ่งเรืองได้
แล้วอันใดหรือคือปฏิบัติได้จริง สิ่งนั้นไซร้คือการตรากฎหมายที่เข้มงวด ต้องประกาศใช้ระบอบนิติรัฐ โดยแขวนกฎหมายไว้ที่หน้าประตูวังหลวงวสองฝั่ง บัญญัติไว้อารัมภบทของกฎหมาย แขวนไว้ทั่วทุกหนแห่งในราชสำนัก แจกจ่ายแก่ขุนนางทุกลำดับชั้น ส่งไปทั่วทุกสารทิศใต้ผืนฟ้า ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทุกเมืองเล็กใหญ่ หากแห่งหนตำบลใดไม่ปฏิบัติตาม ย่อมต้องลงโทษอย่างรุนแรง ไม่มีละเว้น แล้วอันใดหรือคือแนวคิดในการปกครองแคว้นที่ปฏิบัติได้จริง
สิ่งนั้นไซร้คือบันดาลใจผู้เกียจคร้าน ส่งเสริมผู้มีความสามารถ ให้ตระหนักรู้ด้วยตนเองจากก้นบึ้งของหัวใจ เริ่มจากทีละเล็กละน้อย นำโดยขุนนางราชสำนัก แผ่ขยายไปจนถึงขอบชายแดน จนกระทั่งทั่วสารทิศ ก่อเกิดเป็นจิตสำนึกของราษฎรทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าแห่งหนใด ไม่ว่าสูงต่ำดำขาว ไม่มีที่ใดไปไม่ถึง…”
เซียวลิ่วหลังเน้นหนักในการใช้กฎหมายปกครองแคว้นรวมถึงผลักดันความสำคัญของการปกครองที่แท้จริง กฎหมายและข้อบังคับต้องแทรกซึมเข้าสู่ราษฎร เสียงของประชาชนก็ต้องดังขึ้นไปถึงฮ่องเต้
ในขณะเดียวกันก็เสนอให้ให้ความรู้แก่ประชาชนโดยศึกษาลัทธิขงจื๊อ ลงโทษเจ้าหน้าที่ทุจริตอย่างจริงจัง ให้คลังแผ่นดินได้เติมเต็ม
แน่นอนว่าเขาก็เน้นหนักว่าฮ่องเต้คือโอรสสวรรค์ ทุกสิ่งที่ทำล้วนได้รับลิขิตจจากสวรรค์มา การแต่งตั้งขุนนางคือการแต่งตั้งคนดีเพื่อสวรรค์ การกำจัดการทุจริตคือการสังหารผู้กระทำผิดเพื่อสรวงสวรรค์ ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือหลักกการที่ถูกต้อง
เมื่อเทียบกับความเฉียบคมในการสอบครั้งก่อนๆ ครานี้เซียวลิ่วหลังใช้คำละมุนละม่อมกว่ามากนัก
ในเมื่อเขาเป็นตัวแทนของคนทั้งครอบครัว เขาไม่อาจเอาแต่ใจตัวเองเพื่อความสะใจได้แล้ว