“เมืองงั้นเหรอ?”
ซาบริน่าพูดด้วยดวงตาเบิกกว้างขณะจ้องมองไปยังเมืองอันยิ่งใหญ่ที่พังทลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว อาคารต่างๆ ถูกย้อมด้วยสีดำและสีแดง แต่ความงามของอดีตยังคงเปล่งประกาย พื้นที่ทั้งหมดของเมืองถูกฉาบด้วยอาคารสูงหลายหลัง บ่งบอกว่าเมืองได้รับการพัฒนาอย่างมาก ตรงกลางของเมืองที่ตำแหน่งสูงสุดคือวังสีดำที่สร้างขึ้นอย่างสวยงาม
หลังจากทั้ง 2 เดินต่อไปก็มาถึงช่องคล้ายถ้ำซึ่งมีแสงสว่างอยู่บ้าง ลงเอยด้วยการมองดูเมืองอันงดงามที่จมอยู่ในซากปรักหักพังในอดีต
“Crour-Si-Bhel(ครูร์-ศิ-เบล)”
ออสตินพูดขึ้นทันทีขณะจ้องมองเมืองด้วยสายตาที่แคบลง
“อะไรนะ?”
ซาบริน่าถามขึ้นมาเนื่องจากไม่สามารถจับใจความคำพูดของออสตินได้
“มันเป็นชื่อของเมืองนี้หน่ะ”
เขาตอบขณะมองไปที่ซาบริน่า
“ต่อจากนี้ไปก็อยู่ใกล้ๆ ฉันเอาไว้หล่ะ หากเธอยังอยากจะมีชีวิตอยู่”
เมื่อพูดเช่นนั้นเสร็จแล้วเขาก็เริ่มเดินลงไปในพื้นที่ เคลื่อนตัวไปยังเส้นทางที่นำไปสู่ประตูเมือง ขณะที่ซาบริน่าก็ยอมรับฟังคำเตือนและเดินติดอยู่ใกล้ตัวเขาขณะที่เธอเดินตามหลังไป
“เหตุใดเมืองเช่นนี้ถึงถูกลืมกันนะ?”
เธอถามขึ้นมา
“เธอจะพบคำตอบในตอนที่เข้าไปในเมืองเอง”
ออสตินพูดในขณะรวบรวมสมาธิและความสนใจไปยังบริเวณรอบๆ
“จากนี้ไปเราจะเผชิญหน้ากับปีศาจที่แท้จริง เอลฟ์ที่สามารถควบคุมเลือดได้อย่างแท้จริง ผู้ที่มีสติปัญญาที่แท้จริง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ทำให้สีหน้าของซาบริน่าดูจริงจังขึ้นพร้อมกับประสาทสัมผัสของเธอที่ถูกแพร่กระจายไปทั่ว ขณะที่เธอเตรียมสมบัติช่วยชีวิตหลายชิ้นไว้ในโหมดเปิดใช้งาน เธอแตะเบาๆ กับพลังที่เธอไม่ค่อยได้ใช้
ทางเดินข้างหน้าเต็มไปด้วยโคลนและทางคดเคี้ยว พื้นที่เปิดโล่งทั้งหมดมีแสงสว่างเพียงพอที่จะทำให้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ ด้วยบรรยากาศที่อึมครึมทำให้เมืองดูน่ากลัวกว่าที่ควรจะเป็น
โชคดีที่พวกเขาไม่ได้เผชิญกับอันตรายใดๆ ในขณะที่เดินอยู่ ภายในไม่กี่นาทีพวกเขาก็มาถึงประตูขนาดยักษ์ที่กักขังความน่าสะพรึงกลัวของเมืองไว้ภายใน
ประตูมีสีน้ำตาล และภาพวาดที่เป็นตัวแทนของเอลฟ์ที่กระจายไปทั่ว ดูเหมือนแต่ละคนจะกุมเลือดไว้ในมือขณะที่มองดูโลกทั้งใบด้วยความเย่อหยิ่งพร้อมกับมีภาษาเอลฟ์โบราณที่ถูกเขียนอยู่บนประตู
“เมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตอนนี้เก็บซากแห่งความน่าสะพรึงกลัวไว้ จงอย่าย่างกายเข้ามาถ้าเจ้าต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ เพราะเมื่อเจ้าย่างกายเข้ามาแล้วจะไม่มีวันได้หวนกลับ”
ซาบริน่าอ่านคำเตือนจากป้ายที่อยู่รอบๆ ดูเหมือนจะบ่งบอกว่าผู้เขียนมีเวลาไม่มากในขณะที่เขียนข้อความนี้
ในไม่ช้าทั้ง 2 คนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยจากการบิดของมานา ก่อนจะมีลูกตาที่ปรากฏในตอนแรกที่ปรากฏตัวอีกครั้ง
“พวกเจ้าได้มาถึงประตูที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเชื้อสายเอลฟ์แล้ว รวมถึงคำสาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วย”
เสียงนั้นดังออกมาจากลูกตา ในขณะที่ตอนนี้ดวงตาของมันเพ่งไปที่ออสตินอย่างหนัก
“ดูเหมือนว่ามนุษย์ได้ให้กำเนิดสัตว์ประหลาดขึ้นมาแล้วสินะ”
“หยาบคายจังนะ”
ออสตินตอบกลับคำพูดของลูกตาด้วยรอยยิ้มล้อเลียนเล็กน้อย
“พลังแห่งการทำลายล้าง ข้าไม่เคยรู้สึกถึงพลังสังหารอันบริสุทธิ์จากสิ่งใดๆ มาก่อน แต่อย่าได้หยิ่งผยองไป แม้ว่าพลังดังกล่าวจะเข้ามาภายในที่นี่ได้ก็มีแต่จะนำพวกเจ้าทั้ง 2 ไปสู่ความตายเท่านั้น”
ลูกตาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“แสดงว่าแกไม่คิดว่าเราจะมาถึงที่นี่สินะ?”
ซาบริน่าถามขึ้นมา
“ใช่ ข้าแค่อยากให้เจ้า 2 คนรู้สึกถึงความสยดสยองที่ซุกตัวอยู่ในอุโมงค์ เพื่อให้เจ้าเข้าใจถึงคุณค่าของสิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้า”
เมื่อพูดจบ ดวงตาก็ดูผันผวนก่อนจะมีภาพที่โผล่ออกมาจากจุดศูนย์กลางทำให้เกิดการฉายภาพเหมือนหน้าจอ ภายในนั้นเผยให้เห็นเมืองที่จุดสูงสุดที่เปล่งประกายความงาม ความสงบ และความสง่างาม
“นี่คือเมืองแห่งเลือด ซึ่งถูกเรียกว่าครูร์ศิเบล”
เมื่อพูดจนถึงตรงนี้ภาพก็เริ่มเคลื่อนไหว แสดงภาพของเมืองในขนาดที่กว้างขึ้น ไม่เหมือนบรรยากาศปัจจุบันที่ท้องฟ้าด้านบนเป็นสีฟ้า มีเมฆลอยไปมาในขณะที่เอลฟ์แสนสวยวิ่งเล่นไปรอบๆ และเคลื่อนไหว โดยแต่ละคนนั้นมีสีเลือดติดอยู่ แต่ต่างจากที่เห็นบนสิ่งน่ารังเกียจที่ทั้งคู่ต่อสู้ด้วย สีแดงนี้ให้ความรู้สึกสวยงามแก่เหล่าเอลฟ์
เอลฟ์ที่ดูทรงพลังในชุดเกราะเดินไปรอบๆ เมืองเพื่อรักษาความสงบและความปลอดภัย ทุกคนดูมีความสุข, พอใจและมีชีวิตชีวา หน้าจอยังแสดงให้เห็นผู้คนจำนวนมากที่โค้งคำนับต่อพระราชวังในบางครั้งขณะเดินด้วย
“เมืองที่ซ่อนเร้นของเอลฟ์ ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือบลัดเอลฟ์ (The Blood Elves)”
ดวงตาพูดขึ้นมาพร้อมกับหน้าจอที่กะพริบเพื่อแสดงกลุ่มฝึกที่มีเด็กหลายคนเล่นกันอยู่โดยมีเลือดสีแดง พวกเขาพยายามกันอย่างหนักเพื่อควบคุมพวกเลือดเหล่านั้นขณะเปล่งเสียงหัวเราะที่ไร้เดียงสาและสนุกสนานออกมา
“ไม่ใช่ว่าเอลฟ์ทุกคนที่เกิดมาโดยมีพลังควบคุมเลือด ทั้งหมดนี้มาจากบรรพบุรุษเอลฟ์เลือด อาเบลาร์โด ราชาผู้ยิ่งใหญ่และผู้ปกครองแห่งเลือด”
“ไม่ใช่เอลฟ์ทุกคนในเมืองนี้จะมีพลังเลือด มีเพียงผู้ที่ได้รับเลือกมากที่สุดเท่านั้นจึงจะเข้าถึงมันได้ พวกเขาจะได้รับเบาะแสถึงพลังของตัวเองและได้รับอนุญาตให้ปกครองเลือดเอง”
ฉากนั้นกะพริบไปยังเอลฟ์หลายตน โดยที่แต่ละคนนั้นดูทรงพลังอย่างยิ่ง พวกเขากำลังยืนอย่างถ่อมตัวอยู่นอกประตูที่เปิดอยู่โดยไม่พูดอะไรสักคำขณะรอการอนุญาต ดูเหมือนทุกคนปรารถนาที่จะเข้าไปในเมืองและได้รับการยอมรับจากราชาแห่งสายเลือดทั้งสิบเอ็ดคน
“เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคก่อนมหาสงครามที่ทำให้โลกยุ่งวุ่นวาย ยุคที่โลกไม่ถูกจำกัด และสิ่งมีชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่ยืนหยัดอยู่เหนือผู้คนมากมาย ยุคที่อิสรภาพใกล้เข้ามา”
หน้าจอกะพริบอีกครั้ง แสดงให้เห็นพื้นที่อันกว้างใหญ่และสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่เคลื่อนไหวไปมา พวกเขาทั้งหมดเข้ากันได้ดี ในขณะที่พวกเขาดูพัฒนาอย่างมาก ดีกว่าสถานการณ์ปัจจุบันมาก
“ในบรรดาราชาแห่งเอลฟ์หลายองค์ ราชาโลหิตยืนหยัดเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เขาได้รับความเคารพและความรักจากประชาชนของเขา”
หน้าจอกะพริบซูมเข้ามาในเมืองผ่านถนนต่างๆ เข้าสู่พระราชวังโดยตรง ผ่านประตูวังไปยังห้องโถงขนาดมหึมา เข้าไปถึงห้องพระที่นั่งใหญ่ที่มีเสาหนักค้ำเพดานและคนที่นั่งอยู่บนนั้นคือชายคนหนึ่งที่มีเงาทอดอยู่เหนือเขาโดยไม่เห็นหน้า
สิ่งเดียวที่มองเห็นได้คือร่างกายที่เพรียวบางของเขาขณะที่เขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างเย่อหยิ่งบนบัลลังก์ในท่าไขว้ขาพร้อมกับเท้าคาง
มีเพียงดวงตาสีแดงสองดวงเท่านั้นที่มองเห็นได้จากเงานั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ซาบริน่าขนลุกเท่านั้น แต่ยังทำให้ออสตินขนลุกอีกด้วย
‘ระบบนี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย! นี่ไม่ได้อยู่ในข้อมูลที่นายให้ฉันหนิ!’
‘ระบบ?’
‘ระบบ?’
[ นี่เป็นอดีตที่โฮสควรเรียนรู้ แถมไม่ว่าโฮสจะจ่ายไปเท่าไร ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับช่วงเวลาก่อนสงครามครั้งใหญ่ก็ไม่สามารถซื้อได้ ]
เสียงแตกดังไปทั่วศีรษะของออสติน
‘แต่อย่างน้อยแกก็ควรจะเตือนฉันหน่อยสิฟะ!’
[ เห้อออ…ระบบไม่สามารถทำได้ ]
เมื่อได้ยินดังนั้น ออสตินก็ขมวดคิ้ว
‘ข้อจำกัดงั้นเหรอ?’
[ ใช่ ]
‘อ่า…’
[ โฮสคิดว่าระบบจะนำโฮสไปสู่ความพินาศหรือ? ]
‘ไม่ แกช่วยเหลือฉันมามาก ถ้าไม่มีแก ฉันน่าจะตายไปนานแล้ว’
ออสตินตอบในทันที มันเป็นความจริง หากไม่มีระบบเขาคงไม่มีร่างกายที่สมบูรณ์แบบนี้ หากไม่มีระบบเขาก็คงไม่มีข้อมูลที่ต้องการเพื่อตามหาเป้าหมายในการจีบที่แน่นอน และถ้าไม่มีระบบความสำเร็จทั้งหมดของเขาก็จะไม่เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาคงจะตายอย่างน่าสังเวชสักวันหนึ่ง ออสตินไม่สามารถพูดได้หมดว่าระบบนี้ช่วยอะไรเขาไว้บ้าง
แน่นอนว่าระบบได้ซ่อนบางสิ่งจากเขา แต่มันก็ไม่เคยพยายามทำร้ายเขาและไม่เคยโกหกเขา แม้แต่ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองนี้ก็ถูกต้อง เพียงแต่มันไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับราชาโลหิต ทั้งหมดที่เขารู้คือว่าเมืองนี้ถูกปกครองโดยใครบางคน
[ ดีแล้ว ไม่ต้องกังวลและตามน้ำไป จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับโฮส ]
เมื่อได้ยินคำพูดของระบบออสตินก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปราศจากความตึงเครียดอย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็รู้ประเด็นเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง
มันเป็นยุคแห่งอิสรภาพโดยสมบูรณ์ และไม่มีขอบเขตอำนาจใดๆ ไม่มีระบบอำนาจและการสร้างสรรค์อันชั่วร้ายที่เทพธิดาได้สร้างขึ้นครั้งแรกท่องไปในดินแดนต่างๆ, ประชากรโลกสร้างสังคม
‘ลูน่า…คิดถึงหมาป่าตัวน้อยจัง’
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเฟนเรียร์ หมาป่าตัวน้อยผู้กินเทพที่ออสตินเก็บมาเลี้ยง เธอคงจะมีคำตอบมากมายสำหรับคำถามของเขา แน่นอนว่าแม้ออร์เฟียสจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าเธอ แต่กลับมีบางอย่างกำลังบอกออสตินว่าไม่ควรถามเธอจะดีกว่า
*บทน้องหายไปนานจนจำไม่ได้เหมือนกันว่าออกมาล่าสุดตอนไหน*
-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต