ตอนที่ 219 ประนีประนอม
ตอนที่ 219 ประนีประนอม
หนานหนานชะงัก กะพริบตาปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา เมื่อครู่เขา…เมื่อครู่เขาพูดอะไรรึ? เขาพูดคำว่า ‘ท่านพ่อ’ สองพยางค์นี้ด้วยรึ?
ไม่ได้พูด…ไม่ได้พูดอย่างแน่นอน
หนานหนานออกแรงส่ายหน้า “ท่านพ่ออะไรกัน เสี่ยวเฉิงเฉิงเจ้าฟังผิดแล้ว ข้าพูดว่าท่านพ่อที่ไหนกันล่ะ”
เย่หลานเฉิงไม่ใช่คนโง่เขลา ภายในใจของเขาข่มคำถามหนึ่งมานานแล้ว เขารู้สึกได้ว่าทัศนคติที่ท่านอาห้ามีต่อหนานหนานดูไม่ปกติ ท่านอาห้าเป็นคนไม่ชอบยุ่งเรื่องต่าง ๆ ต่อให้เป็นเสด็จปู่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าและท่าทางออกมาชัด ๆ เช่นนี้
แต่อีกฝ่ายกลับปฏิบัติกับหนานหนานเป็นอย่างดี ดีเสียจนแปลกและน่าสงสัย มีบางครั้งที่เย่หลานเฉิงคิดว่าหลังจากนี้ท่านอาห้าก็คงจะปฏิบัติเช่นนี้กับลูกของตนเองเช่นกัน
ทว่าวันนี้เขาได้ยินหนานหนานเรียกท่านอาห้าว่า ‘ท่านพ่อ’…
ถูกต้อง เย่หลานเฉิงมั่นใจมากว่าเขาไม่ได้ฟังผิด หนานหนานพูดว่า ‘ท่านพ่อ’ สองพยางค์นี้จริง ๆ
เย่หลานเฉิงมองหนานหนานด้วยความฉงนสงสัย เด็กน้อยจึงรีบเชิดหน้าขึ้นราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขี่ยขี้มูกบ้างผายลมบ้าง ไม่ได้สนใจเย่หลานเฉิงแต่อย่างใด
ทว่าท่าทางเช่นนี้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางของคนร้อนตัว การแสดงออกเพื่อปิดบังนี้มันชัดเจนเกินไปแล้ว
เย่หลานเฉิงเม้มปาก หันหน้ามองไปทางเย่ซิวตู๋
เย่ซิวตู๋ไม่พูดคุยเรื่องประเภทนี้ให้มากความมาแต่ไหนแต่ไร แม้ว่าใจจริงเขาร้อนใจอยากจะประกาศความเป็นเจ้าของจนแทบทนไม่ไหว อยากจะประกาศให้โลกได้รู้ว่าอวี้ฉิงหนานเป็นลูกชายของเขา เป็นลูกชายของเขาและอวี้ชิงลั่ว
เย่หลานเฉิงครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองอวี้ชิงลั่ว “ท่านป้าชิง…หนานหนาน…คือลูกชายของท่าอาห้าจริง ๆ รึ? เขาคือน้องชายของข้ารึ?”
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกวูบ เงยหน้ามองสองพ่อลูกที่กำลังมองมาที่นางด้วยสายตาเป็นประกาย ดูเหมือนว่ากำลังรอคำตอบจากนาง
หนานหนานไม่กล้าพูดว่าพ่อของตนเองเป็นใครต่อหน้าอวี้ชิงลั่ว เมื่อครู่ที่หลุดปากพูดออกไปคงทำให้ท่านแม่ไม่พอใจแล้ว ตอนนี้ต้องแสร้งตายให้ถึงที่สุด
แต่ก็นะ…หากท่านแม่เอ่ยปากยอมรับด้วยตนเอง เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไรแล้ว
ทว่าอวี้ชิงลั่วกลับเงียบเสียงอยู่นาน ภายในรถม้าจึงเกิดความเงียบสงัดลงทันใด เย่ซิวตู๋แอบถอนหายใจ บนใบหน้าฉาบประกายความเศร้าน้อย ๆ ท้ายที่สุดจึงหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะหันหน้าสั่งโม่เสียน “ลงจากรถเถอะ”
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว ภายในใจรู้สึกโกรธเคือง การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาทั้งสามคนนี้หมายความว่าอย่างไร? ทำท่าทางราวกับนางทำไม่ถูกต้องอย่างไรอย่างนั้น
“หนานหนานคือลูกชายของท่านอาห้าของเจ้า” อวี้ชิงลั่วหันไปถลึงตาใส่เย่ซิวตู่อย่างไม่เป็นมิตร ก่อนจะหมุนกายแหวกม่านรถกระโดดลงไปในทันที
โม่เสียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แอบหัวเราะ อันที่จริงแม่นางอวี้ก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้นายท่าน ปากไม่ยอมรับ แต่การกระทำกลับซื่อตรงมาก
ถึงแม้ภายในใจของเย่หลานเฉิงจะเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว เมื่อได้ยินคำตอบจกาอวี้ชิงลั่วที่เรียบง่ายและชัดเจนเช่นนี้ในเวลานี้ เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดลมเย็นเข้าปากอยู่ดี สายตากวาดมองใบหน้าของเย่ซิวตู๋และหนานหนานสลับไปมา หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นด้วย
ท่านอาห้ามีลูกแล้วจริง ๆ ทั้งยังเป็นหนานหนานด้วย สิ่งนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว แต่ท่านป้าชิงกลับไม่ได้เป็นพระชายาเอกของท่านอาห้า และไม่ใช่อนุภรรยาด้วย เหตุใดถึงให้กำเนิดลูกชายให้ท่านอาห้าได้ล่ะ?
ถึงอย่างไรเย่หลานเฉิงก็ยังเป็นเด็ก เขาจึงไม่เข้าใจเรื่องความรู้สึกระหว่างผู้ใหญ่ และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าคนที่เก่งกาจอย่างท่านป้าชิงกลับยินดีที่จะติดตามท่านอาห้าอย่างเงียบ ๆ เป็นบุคคลนิรนาม ส่วนท่านอาห้าก็ปฏิบัติกับท่านป้าชิงและหนานหนานอย่างดีเยี่ยม ทว่ากลับไม่ได้ขอท่านป้าชิงแต่งงาน
เย่หลานเฉิงไม่เข้าใจ และเขาก็คิดไม่ถึงว่าบุรุษอย่างเย่ซิวตู๋จะมีสตรี…ที่ไม่ยินดีจะแต่งงานกับเขาด้วย
อวี้ชิงลั่วรออยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขายังไม่ยอมลงมา หัวคิ้วจึงขมวดเข้าหากัน “พวกท่านจะเข้าไปในตำหนักรัชทายาทหรือไม่?”
เส้นประสาทของเย่หลานเฉิงถึงกับเกร็ง ในสมองของเขามีคำพูด ‘พบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย’ ของหัวหน้าคนรับใช้ดังก้องอยู่ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันใด เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบลงมาจากรถม้าด้วยความรีบร้อน แต่เป็นเพราะยืนยังไม่มั่นคงจึงเกือบจะล้มลงไปกองอยู่บนพื้น
โม่เสียนรีบเข้ามาอุ้มเขาขึ้น ก่อนจะเห็นไปพยักหน้าให้เย่ซิวตู๋ด้วยความเคารพนอบน้อม
หนานหนานโผล่ศีรษะออกมาเป็นคนสุดท้าย เขาเชิดคางขึ้นพูดอย่างมุ่งมั่นว่า “ข้าจะไปด้วย ข้าไม่อยากรอพวกท่านอยู่ในนี้เพียงลำพัง”
เย่ซิวตู๋เงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ก็จริง หากปล่อยหนานหนานไว้ที่นี่เพียงลำพัง บางทีเจ้าเด็กน้อยคนนี้อาจคิดวิธีตามใจชอบเพื่อเข้าไปในตำหนักรัชทายาท หากเป็นเช่นนี้สู้ให้เขาพาเข้าไปด้วยยังจะดีเสียกว่า
“ช่างเถอะ อยากไปก็ไป โม่เสียน เจ้าพาหนานหนานกับหลานเฉิงเข้าไป” ครั้นกล่าวจบ เขาก็หลุบสายตามองอวี้ชิงลั่ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “มานี่”
มานี่? อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเย่ซิวตู๋คนนี้คิดจะ…โอบเอวของนางอีกแล้ว
นางเม้มปากถลึงตาใส่เขา รู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก “ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพาเข้าไป”
เย่ซิวตู๋ยิ้ม เหลือบมองโม่เสียนปราดหนึ่ง “หรือเจ้าจะให้โม่เสียนพาเข้าไป?”
โม่เสียนรีบก้มหน้าลงทันใด แม่นางอวี้ช่วยเห็นเขาเป็นอากาศไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่ด้วยเถอะ…ขอร้องล่ะ
“ข้าเข้าไปเองได้” คนคนนี้ช่างขี้ขลาดเหลือกิน แค่พานางเข้าไปจะทำให้เนื้อของเขาน้อยลงรึ? อวี้ชิงลั่วเงยหน้าขึ้นก่อนจะกระทืบไปที่เท้าของโม่เสียนแรง ๆ ทีหนึ่งด้วยท่าทางดูหมิ่น
โม่เสียนถึงกับส่งเสียงซี้ด มองนายท่านปราดหนึ่งราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างมาก จากนั้นจึงเดินมาด้านหลังหนานหนานอย่างเงียบ ๆ และอุ้มเขาขึ้นมา
เย่ซิวตู๋กลับมองไปที่อวี้ชิงลั่ว กล่าวเคล้ารอยยิ้มต่อไปว่า “เจ้าจะเข้าไปเอง? ถึงเวลานั้นหากถูกคนของตำหนักรัชทายาทเห็นเข้า เกรงว่าแม้แต่การได้เห็นหน้าไท่จื่อเฟยเป็นครั้งสุดท้ายเย่หลานเฉิงก็อาจไม่ได้เห็น”
“ท่านป้าชิง…” เย่หลานเฉิงรีบหันมามองทันใด ทั้งยังมองนางด้วยสายตาอ้อนวอน
อวี้ชิงลั่วขบฟันด้วยความโกรธ ท้ายที่สุดนางก็ทนเย่หลานเฉิงที่มองนางด้วยท่าทางเช่นนั้นไม่ไหว หัวใจจึงอ่อนยวบลงทันใด
นางยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผาก สุดท้ายก็ยอมเดินเข้าไปหาเย่ซิวตู๋
เพียงแต่นางยังไม่ทันได้เตรียมใจ จู่ ๆ ข้างเอวก็มีมือข้างหนึ่งเพิ่มเข้ามา โอบตัวนางกระโดดขึ้นไปบนกำแพงของจวนรัชทายาท โม่เสียนรีบอุ้มหนานหนานและเย่หลานเฉิงตามขึ้นไป พูดตามตรง…ดูเหมือนว่าหนานหนานจะอ้วนขึ้นจริง ๆ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
การเฝ้าระวังของตำหนักรัชทายาทไม่ได้เคร่งครัดเหมือนตำหนักอ๋องซิว ไม่ถึงขั้นมีการป้องกันที่แน่นหนา บางทีเมื่อสองปีก่อนอาจเข้มงวดมากกว่านี้ ทว่าตอนนี้ไม่ได้มีฮองเฮาคอยย้ำเตือนแล้ว ไท่จื่อเฟยก็สูญเสียความโปรดปราน ทหารที่รักษาความปลอดภัยจึงหละหลวมอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับเย่ซิวตู๋และโม่เสียน การพาคนอื่น ๆ เข้าไปจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร
ได้เห็นตำหนักที่ไม่ได้เห็นมานาน ภายในใจของเย่หลานเฉิงจึงเกิดความรู้สึกไม่น้อย หลังจากนี้ รอให้อาการบาดเจ็บของท่านแม่หายดี เขาจะไปขอร้องเสด็จปู่ คาดว่าคงได้รับอนุญาตให้กลับมาเยี่ยมเยียนนางบ่อย ๆ ได้แล้ว
พวกเขาทั้งห้าคนปรากฏตัวขึ้นบนหลังคาเรือนจิ่นซิ่วที่เป็นที่พักของไท่จื่อเฟยภายในเวลาอันรวดเร็ว มองดูคนคนหนึ่งที่ดูคล้ายกับสาวใช้กำลังเปิดประตูห้อง และเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
เย่ซิวตู๋หันมองอวี้ชิงลั่วที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยท่าทางนิ่งสงบ มุมปากพลันยกขึ้น ก่อนจะโอบนางลอยลงไปด้านล่าง
…………………………
สารจากผู้แปล
ท่านอ๋องได้กำไรหนักมาก กินเต้าหู้ชิงลั่วไปเยอะขนาดไหนแล้วล่ะ
ตบบ่าโม่เสียน ทำใจกับครอบครัวนี้เถอะค่ะ
ไหหม่า(海馬)