ตอนที่ 289

My Disciples Are All Villains

ซู่วว!

ดาบมารยังคงสั่นสะเทือน ถ้าหากไม่มีพลังของคำจารึกที่เพิ่งขึ้น ดาบมารเล่มนี้ก็อ่อนพลังลงมาก

ลู่โจวไม่ได้กังวลอะไรเมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังมาจากภายในอุโมงค์ ตัวเขาได้ใช้พลังลมปราณใส่ดาบมารเพื่อเป็นการปราบดาบมารเล่มนั่นเอง!

เจียงอาเฉียนได้พูดออกมา “ทะ…ท่านผู้อาวุโส…ข้า…ข้า…” ตัวเขาชี้ไปที่ตัวเอง

ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถามออกมา “เจ้าอยากได้มันอย่างงั้นสินะ? “

เจียงอาเฉียนเกาหัวตัวเองอย่างเขินอาย

ดาบมารมีขนาดที่ใหญ่มาก มันมีความยาวเทียบเท่าได้กับความสูงของชายหนุ่ม ทั้งความกว้างและความหนาของมันเองมีมากกว่าดาบทั่วๆ ไป เมื่อสูญเสียพลังจากคำจารึกดาบมารเล่มนี้ก็ดูน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น ใบดาบดูหยาบและไม่สม่ำเสมอ

ลู่โจวได้คลายพลังก่อนที่จะผลักดาบมารไปด้วยฝ่ามือ

ตู๊ม!

ดาบมารได้ตกอยู่ตรงหน้าเจียงอาเฉียน

เจียงอาเฉียนมีความสุขมากที่ได้เห็นแบบนั้น ตัวเขาได้คว้าดาบมารขึ้นมาก่อนที่จะใช้ฝ่ามือตวัดมันดู บัดนี้พลังของคำจารึกที่มีอยู่บนอากาศได้หายไปหมดแล้ว ในที่สุดดาบมารก็หยุดสั่นสะเทือน

“ขอบคุณท่านผู้อาวูโส…สิบปี…ข้ายินดีที่จะช่วยท่านผู้อาวุโสต่ออีก 10 ปี! ” เจียงอาเฉียนได้มองไปที่ดาบมารด้วยความรัก

หยวนเอ๋อและฉินจานที่เห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก

เดิมทีลู่โจวไม่ได้รู้สึกเกลียดชังอะไรดาบมาเล่มนี้ จากสัญชาตญาณที่ลู่โจวมีทำให้ตัวเขาคิดว่าพลังของดาบมารทั้งหมดมันมาจากคำจารึก ถ้าหากดาบมารไม่มีพลังของคำจารึกมันก็ไม่ต่างกับร่างที่ไร้วิญญาณ ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้น่าสนใจสำหรับลู่โจวอีกต่อไป บางทีคงจะมีแต่นักเก็บสะสมของอย่างเจียงอาเฉียนเท่านั้นที่ยังมองดาบเล่มนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอยู่

เจียงอาเฉียนได้ดึงเชือกออกมาจากกระเป๋าของเขาก่อนที่จะผูกดาบมารเก็บเอาไว้ที่ด้านหลัง ส่วนที่ด้านหน้าตัวเขาเลือกที่จะถือดาบคีตะมังกรด้วยตัวเอง เมื่อมองเห็นสีหน้าของเขาไม่จำเป็นจะต้องบรรยายเลยว่าเจียงอาเฉียนจะมีความสุขมากแค่ไหน ความสุขของเขาได้แสดงออกมาผ่านสีหน้าทั้งหมดแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของมนุษย์ก็คงจะเป็นตอนที่ได้ของที่ต้องการที่สุดมาครอบครอง

แคล๊ก! แคล๊ก! แคล๊ก!

เสียงจากอุโมงค์เริ่มดังออกมามากขึ้น

คนอื่นๆ จ้องไปยังอุโมงค์อีกครั้ง

ผู้ฝึกยุทธที่รอดชีวิตไม่ได้คิดที่จะจากที่นี่ไปในทันที

ฉินจานได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นั่นคืออุโมงค์ที่จะนำพาพวกเราไปยังห้องใต้ดินขององค์จักรพรรดิ ข้าคิดว่ามันเชื่อมต่อกับสุสานแห่งดาบมาเนิ่นนานแล้ว”

เจียงอาเฉียนเองก็ได้พูดออกมาเช่นกัน “ท่านผู้อาวุโสเอาไว้พวกเรา…ค่อยกลับมาวันหลังดีไหม? “

“หืม? “

“ข้าจะไปด้วย…ข้าพร้อมที่จะไปเสมอ” เจียงอาเฉียนได้โบกมือให้ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ต้องยอมให้ทุกคนเดินทางไปยังสุสานของบรรพบุรุษตัวเอง

ฉินจานมองไปที่เจียงอาเฉียนที่กำลังมีท่าทีสับสน เจียงอาเฉียนได้มีท่าทีที่แปลกออกไป ทำไมเจียงอาเฉียนถึงต้องทำเป็นกระตือรือร้นกับงานนี้ด้วยล่ะ? ตัวเขาไม่เคยได้ยินชื่อของเจียงอาเฉียนมาก่อนเลย สิ่งที่ฉินจานรู้มีเพียงชายคนนี้รักดาบและชีวิตยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด หรือว่าอุโมงค์นั่นจะอันตรายมากกัน?

เจียงอาเฉียนได้เดินนำไปยังอุโมง์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ที่หลังของเขาสะพายดาบมารอยู่

ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ พลังสีดำก็ได้พุ่งออกมาจากอุโมงค์!

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

เจียงอาเฉียนได้ใช้พลังป้องกันโดยสัญชาตญาณ ม่านพลังป้องกันของเขาสามารถป้องกันพลังสีดำเอาไว้ได้

คนอื่นๆ ที่อยู่ไกลกว่ารู้ดีว่ามวลสีดำที่เห็นมันคืออะไร “โลงศพ! “

“สวรรค์! นั่นมันโลงศพ! “

ผู้ฝึกยุทธที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้แต่ตื่นกลัว ขาของพวกเขาอ่อนแรงเกินกว่าที่จะเคลื่อนไหวได้ ทุกๆ คนได้รับบาดเจ็บสาหัสไปตั้งแต่ที่ได้ต่อสู้กับดาบลอยฟ้าแล้ว ทุกคนเจ็บเกินกว่าที่จะวิ่งหนีไปไหนได้!

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

โลงศพได้หมุนตัวเองเป็นวงกลมในกลางอากาศก่อนที่จะพุ่งหาเจียงอาเฉียน

โชคยังดีที่แหบพร่าอาเฉียนฝึกฝนตัวเองมาอย่างหนัก เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยพลังที่มีรวมไปถึงฝีเท้าทำให้เจียงอาเฉียนหลบการโจมตีจากโลงศพได้ เจียงอาเฉียนที่หลบการโจมตีเลือกที่จะผลักดันมันกลับไป

“เกิดอะไรขึ้นกับข้าในวันนี้กัน? ทำไมข้าถึงได้โชคร้ายแบบนี้? ” เจียงอาเฉียนได้พึมพัมตัดพ้อ

โลงศพที่ถูกผลักกลับไปไม่ได้โจมตีกลับมา

“โลงศพนั่นหรือว่าคนตายจะกลับมามีชีวิต? ” ฉินจานขมวดคิ้ว

“คนตายไม่อาจย้อนกลับมามีชีวิตได้ คงจะมีแต่คนที่พยายามเล่นอะไรแผงๆ เท่านั้น” เจียงอาเฉียนได้พูดแสดงความคิดเห็นออกมา

คนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองไปยังโลงศพใบนั้น

ครู่ต่อมาเสียงทุ้มและแหบพร่าก็ได้ดังมาจากโลงศพ “ใครกันที่กล้าบุกรุกสุสานแห่งดาบ? “

หยวนเอ๋อจ้องไปที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าไปคุยกับเขาซะสิ บางทีนั่นอาจจะเป็นบรรพบุรุษของเจ้าก็ได้”

“…” แม้ว่าจะฟังดูแปลกแต่สิ่งที่หยวนเอ๋อพูดไม่ได้มีอะไรผิดไปเลย

หลังจากนั้นโลงศพใบเดิมก็ได้ปรากฏตัวออกมาจากอุโมงค์ ภายในห้องหลังอุโมงค์จะมีก็แต่ศพขององค์จักรพรรดิเท่านั้นที่จะถูกเก็บไว้

เมื่อได้ยินแบบนั้นฉินจานก็มองไปยังเจียงอาเฉียนด้วยความตกใจ ‘หรือว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีเชื้อสายราชวงศ์กัน? ไม่สิ หรือว่าสาวน้อยกำลังกลั่นแกล้งเขากันแน่? ‘

เจียงอาเฉียนเกาหัวก่อนที่จะเริ่มพูดออกมา “ข้ามีชื่อว่าเจียงอาเฉียน…จะให้ข้าคนนี้เรียกท่านว่ายังไงดี? “

เสียงอันแหบพร่าได้ดังออกมาอีกครั้ง “เจ้าเป็นชายหนุ่มอย่างงั้นหรอกหรอ? “

เจียงอาเฉียนตรวจดูตัวเอง ‘แล้วชายหนุ่มมีอะไรให้น่าแปลกใจกัน? ข้าเป็นทั้งผู้ที่แข็งแกร่งและหล่อเหลาเหมือนกับหยกบริสุทธิ์ที่ผ่านการเจียระไนมา…’

เสียงจากในโลงศพได้ดังออกมาอีกครั้ง “มีเพียงแค่คนเดียวในใต้หล้านี้ที่จะทำลายดาบมารได้…คนคนนั้นก้าวออกมาข้างหน้าซะ” ไม่ว่าจะเป็นใครที่อยู่ในนั้นคนคนนั้นจะต้องฉลาดมากแน่

เจียงอาเฉียนมองไปที่ลู่โจว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านผู้อาวุโสคนนี้ถึงปกปิดพลังของตัวเองเอาไว้ ในตอนนี้เขาดูเหมือนกับคนแก่ที่ดูไร้เรี่ยวแรงเพียงเท่านั้น นั่นคือสาเหตุที่ทำให้โลงศพมองข้ามลู่โจวไป

“เป็นท่านเองอย่างงั้นหรอ? ” ในที่สุดลู่โจวก็พูดออกมา

เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนที่ได้ยินต่างก็ตื่นตกใจ

‘พวกเขารู้จักกันอย่างงั้นหรอ? ‘

โลงศพเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ตามที่คาดเอาไว้ เป็นท่านจริงๆ ด้วยสินะ”

ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าได้ตายไปนานแล้ว…ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ได้”

ใครบางคนที่อยู่ในโลงศพใบนั้นได้หัวเราะแปลกๆ ออกมา “เพื่อนยาก พวกเราทุกคนล้วนแต่ต้องตาย…ข้าก็แค่รออยู่ที่นี่ก่อนเวลาก็เท่านั้นเอง”

ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “ข้ากลัวว่าจะไม่ใช่แบบนั้น ทั้งดาบมาร, ม่านพลังแห่งดาบทั้งเจ็ด, คำจารึก…เจ้าคิดหาทางที่จะยืดอายุขัยตัวเองอยู่สินะ? “

‘ยืดอายุขัยอย่างงั้นหรอ? ‘

ทุกๆ คนพอจะจับใจความเรื่องที่พูดได้ ผู้ฝึกยุทธที่สามารถฝึกฝนตัวเองไปถึงจุดสูงสุดได้ต่างก็หาทางที่จะยืดอายุขัยของตัวเองเป็นเรื่องธรรมดา บางคนก็ถึงขั้นหาวิธีที่จะได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์มา แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือแต่อายุขัยของพวกเขาก็ยังมีอยู่อย่างจำกัดอยู่ดี

ผู้ที่อยู่ในโลงศพได้ตอบกลับมา “ท่านเองก็ไม่ได้เหมือนกันหรอกหรอ? “

ลู่โจวตกใจเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของเขาก็ยังไร้ความรู้สึกอยู่ดี ตัวเขาได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะตอบกลับมา “ไม่…จะอยู่หรือจะตายข้าน่ะยอมรับได้มาต้องนานแล้ว”

ผู้ที่อยู่ในโลงศพได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “จากการคำนวณของข้า เวลาของท่านใกล้จะหมดลงแล้ว ท่านยังจะปกป้องศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่อย่างงั้นหรอ? “

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ผู้ฝึกยุทธทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่หวาดกลัว พวกเขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่พวกโง่ไปซะทีเดียว ชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าคงจะเป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ผิดแน่ เขาคนนี้ก็คือผู้อาวุโสจี ปรมาจารย์มหาวายร้ายจากศาลาปีศาจลอยฟ้า!

“เขาคือปรมาจารย์มหาวายร้ายหรอกหรอ? “

“นี่มัน…”

ผู้ฝึกยุทธเริ่มแตกตื่นกับสิ่งที่ได้ยิน ในตอนนี้สภาพจิตใจของพวกเขาบอบช้ำมากเกินพอแล้ว ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวก่อนที่จะมีน้ำตาไหลออกมา สีหน้าของพวกเขาทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“นะ…หนีเร็ว! “

ผู้รอดชีวิตทั้งหลายที่รอดมาจากดาบลอยฟ้า, นักบวชอย่างกงหยวน และยังรอดมาจากการโจมตีของดาบมารมาได้…แต่ในตอนนี้มีบุคคลที่น่ากลัวที่สุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว! แม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตแต่พวกเขาก็ขอเลือกที่จะหนี! ผู้ฝึกยุทธที่เหลือไม่ได้สนใจความเจ็บปวดในร่างกายที่มีอีกต่อไป

ลู่โจวไม่ได้รังเกียจอะไรผู้ฝึกยุทธจากสำนักย่อยพวกนี้…ถ้าหากพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธจากสิบสำนักใหญ่ฝ่ายธรรมะ ลู่โจวก็คงจะสังหารพวกเขาไปอย่างไร้ปรานีไปแล้ว ลู่โจวไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับพวกสำนักย่อย เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงเลือกปล่อยเหล่าผู้ฝึกยุทธให้จากไป ตัวเขาได้ลูบเคราก่อนที่จะมองไปยังโลงศพใบเดิม “หยวนดู่ แม้ว่าข้าจะแก่กว่าเจ้าแต่ข้าก็มีอายุยืนยาวกว่าเจ้าอยู่ดี”

เสียงหัวเราะได้ดังออกมาจากโลงศพ “คงจะเป็นเช่นนั้น”

“เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่สุสานแห่งดาบก็เพื่อที่จะหาวิธีที่จะทำให้ได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์มาสินะ? ” ลู่โจวได้ถามออกมาตรงๆ

“นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด…” หยวนดู่ได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง “ข้าได้ข่าวมาว่าการอยู่ในเส้นทางแห่งดาบนี้มันจะดีต่อการฝึกฝนของตัวข้าเอง”

“ข่าวของเส้นทางแห่งดาบอย่างงั้นหรอ? “

“ชั่วชีวิตข้า…ข้าต้องการที่จะประลองกับท่านเสมอ พี่จี น่าเสียดาย เวลาก็เป็นเหมือนกับกระแสน้ำที่ไม่อาจไหลย้อนมา…พลังวรยุทธของข้าค่อยๆ เสื่อมถอยลงในทุกๆ วัน”