ตอนที่ 341 พ่อลูกได้พบกัน

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 341 พ่อลูกได้พบกัน

ตอนที่ 341 พ่อลูกได้พบกัน

ซูเถาไม่ได้สังเกตเห็นอาการของอีกฝ่าย และหลังจากแนะนำรายละเอียดอื่น ๆ อย่างระมัดระวังแล้ว ก็ผายมือไปทางด้านซ้าย “เดินตรงไปทางนี้นะคะ ไม่ไกลก็จะถึงพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตรงนั้น”

ความสนใจของสวี่ฉางถูกดึงกลับไป และเขาก็อดไม่ได้ที่จะขยับตัวให้เร็วขึ้นเพื่อไปให้ถึงตรงจุดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นกลายเป็นว่าซูเถาและผู้ช่วยของเขาต้องวิ่งเหยาะ ๆ เพื่อไล่ตามเขาให้ทัน

ทันทีที่พวกเขามาถึงประตู ถังฮวนที่ได้รับแจ้งมาล่วงหน้าแล้วก็เปิดประตูเพื่อต้อนรับพวกเขาทั้งสามอย่างอบอุ่น

สวี่ฉางไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรอีกต่อไป สายตาของเขาจ้องมองไปที่อลิซซึ่งนั่งอยู่บนยอดไม้ไม่ไกล เธอยังคงเหมือนกับเมื่อสี่ปีที่แล้วไม่เปลี่ยน ผมสีบลอนด์ของเธอดูเหมือนจะได้รับการดูแลอย่างดี มันปลิวสลวยไปตามสายลม

เธอยังคงสวมกระโปรงตัวเล็ก ๆ ที่ดูสะอาดตา นั่งแกว่งขาไปมาและเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างไร้กังวลราวกับว่าเธอไม่เคยเจ็บปวดเลยสักนิด

เขาเผยเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ออกมาอย่างช่วยไม่ได้

อลิซที่จ้องมองท้องฟ้าด้วยความงุนงง พอได้ยินเสียงนี้ก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ด้วยความว่องไวเหมือนลูกแมวตัวน้อย และรีบไปหาหัวหน้าสวี่โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เมื่อเธอเข้ามาใกล้ ๆ เธอก็เอาแขนโอบรอบคอของหัวหน้าสวี่ แล้วตะโกนเรียกว่า “ดาด๊า!”

เธอพูดไม่ได้ และทำได้เพียงออกเสียงแบบตายตัวเพียงอย่างเดียวคือ ‘ดาด๊า’ ซึ่งก็คือพ่อ

ในโลกที่วุ่นวายเช่นนี้ เธออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองหลงทางมา 4 ปีแล้ว ในความทรงจำของมันยังคงเหมือนในช่วงสิบกว่าปีที่แล้ว ในช่วงบ่ายของวันธรรมดา เมื่อพ่อเลิกงานเธอจะลงมารับเขาเสมอ

ขณะอุ้มเธอเอาไว้ในอ้อมแขน หัวหน้าสวี่ก็ร้องไห้ออก ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ และคอยลูบผมของลูกสาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการสูญเสียกลับคืนมาในขณะนี้ราวกับน้ำที่เอ่อล้นตลิ่ง

ผู้ช่วยของเขาก็กำลังร้องไห้อยู่ข้าง ๆ เขาอย่างหมดแรง

ถังฮวนอดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจเธอ เธอกอดลูกสาวของเธอเอาไว้ พร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ

ซูเถากะพริบตาที่เปียกชื้นแล้วเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ความจริงแล้วเธอเองก็อิจฉามากเกินไปเธอปล่อยให้พ่อและลูกสาวที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เธอพยักหน้าให้ถังฮวนออกมาจากตรงนั้น จากนั้นก็เดินทางไปตงหยาง

วันนี้เป็นวันสำคัญในการควบคุมตัวโบนวิงส์ และเธอต้องการดูสิ่งนี้ด้วยตาตัวเอง

เมื่อเช้าตรู่ของคืนที่ผ่านมา เธอใช้ผลึกนิวเคลียสไป 5 อัน เพื่อขยายพื้นที่เปิดโล่ง 500 ตารางเมตรที่ชายขอบของเถาหยาง และสร้างโดมป้องกันขึ้น เหตุผลในการขยายพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 500 ตารางเมตรคือการวางระยะห่างระหว่างเถาหยางกับพื้นที่ต้องห้ามนี้

ในทางกลับกันก็เพื่อป้องกันไม่ให้โบนวิงส์หลุดออกไปได้ บวกกับจะได้มีพื้นที่เพียงพอในการจับตัวมันและสะดวกในการเคลื่อนย้าย ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ได้วางแผนที่จะขังโบนวิงส์ไว้บนพื้นดิน แต่จะขุดลึกลงไปใต้ดินเพื่อสร้างคุกใต้ดินที่ไม่มีทางหนีรอดออกมาได้ แต่ต้องปลดล็อกร้านค้าจำหน่ายสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะเลเวล 2 ก่อนจึงจะสามารถสร้างห้องใต้ดินได้ และเธอต้องจ่ายเงินถึง 5,500,000 เหลียนปังเพื่อขุดลงไปหนึ่งชั้น

ห้องใต้ดินที่สร้างขึ้นใหม่ไม่มีแสงสว่าง ซูเถาทำประตูเล็ก ๆ ซึ่งผ่านได้ทีละคนไว้บนพื้น เมื่อลงบันไดไปยังชั้นใต้ดินที่อยู่ด้านล่าง ผนังทั้งหมดด้านในจะเปล่งประกายด้วยโลหะแวววาวที่ทั้งแข็งแกร่งและเย็น หลังจากนั้นจำเป็นต้องผ่านประตูอีกห้าบานก่อนที่จะเข้าสู่พื้นที่กักขังที่แท้จริงของโบนวิงส์

ซึ่งอำนาจการเข้าถึงของประตูแต่ละบานอยู่ในมือของเธอ

คุกใต้ดินนี้สร้างขึ้นตามการออกแบบที่อดีตผู้นำกองทัพมอบให้เธอเมื่อวานนี้ก่อนที่จะเดินทางกลับ เรียกได้ว่าเป็นแดนประหารอย่างแท้จริง

ซูเถากลับไปที่เถาหยางและพาหลินฟางจือไปด้วย เพื่อใช้พื้นที่ของเขาในการขนตัวโบนวิงส์ชั่วคราวซึ่งทั้งสะดวกและปลอดภัย เจียงอวี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นเธอจึงให้มี๋อู้มาเป็นคนขับรถและผู้คุ้มกันชั่วคราว และตรงไปที่ศูนย์วิจัยตงหยาง ทันทีที่ก้าวลงจากรถก็เห็นเฉินเทียนเจียวซึ่งพยายามสงบสติอารมณ์

เฉินเทียนเจียวยังไม่รู้ว่าเผยตงทรยศเขาและสารภาพทุกอย่างกับซูเถาไปแล้ว

ซูเถาเหลือบมองเขาเบา ๆ แล้วถามแสร้งทำเป็นว่า “ไหนรูปถ่ายกับวีดิโอเหรอ?”

เฉินเทียนเจียวรีบส่งเครื่องมือสื่อสารให้อีกฝ่าย เมื่อซูเถาเห็นข้อความบนเครื่องมือสื่อสาร นิ้วของเธอสั่นเล็กน้อย แต่ก็ทำใจกดเข้าไปอ่าน ในภาพและวิดีโอ สือจื่อจิ้นดูราวกับว่าเขาหลับไปเฉย ๆ ยกเว้นใบหน้าซีดเซียวของเขา เธอทำได้เพียงมองหน้าจออย่างระแวดระวังเพื่อดูรอยแผลเล็ก ๆ บนกายชายหนุ่ม

เธอไม่แน่ใจว่าเป็นภาพหรือวิดีโอของเฉินเทียนเจียวที่หลอกเธอ หรืออาการบาดเจ็บของสือจื่อจิ้นไม่เลวร้ายอย่างที่เธอคิด…

เมื่อเห็นเธอเฝ้าดูอย่างตั้งอกตั้งใจ เฉินเทียนเจียวรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาใช้เวลานานในการหามุมเพื่อถ่ายภาพ ‘ร่างมนุษย์’ ที่สมบูรณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะเปลี่ยนมุมเล็กน้อย แต่ก็ยังเห็นอวัยวะภายในและบาดแผลอันน่ากลัว

ซูเถาปิดหน้าจอและมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยพูดบางสิ่งที่น่ากลัวทำให้วิญญาณของเฉินเทียนเจียวแทบหลุดออกจากร่าง “มีแค่มุมนี้สินะที่สามารถแสดงให้ฉันดูได้ ขอบคุณนะ”

ผมของเฉินเทียนเจียวชี้ฟู ไม่กล้าแม้แต่จะเดาว่าเธอหมายถึงอะไร ได้แต่ยืนบื้ออยู่ที่เดิมมองหญิงสาวเดินจากไป

ในห้องทดลองลับของตงหยาง ซูเถาได้เห็นโบนวิงส์อีกครั้ง มันลอยอยู่ในของเหลวสีเขียวอมฟ้าในถังทดลองขนาดใหญ่ที่ปิดสนิท เปลือกตาของมันปิดสนิท

ปีกสีแดงคู่ของมันถูกตัดและเก็บไว้เพื่อใช้ในการทดลองอื่น

แผ่นหลังของมันเผยให้เห็นกระดูกที่ชิ้นหนา และบริเวณรอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากคมมีด มีรูเลือดขนาดใหญ่ที่หน้าผากซึ่งอยู่ใกล้กับตาซ้าย โดยที่หนังตาซ้ายเปิดออก มีลูกตาปูดโปนออกมาครึ่งหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมีบาดแผลฉกรรจ์นับสิบแห่ง ทั้งเล็กและใหญ่ตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์การสู้รบในตอนนั้นเป็นอย่างไร

เฉินเทียนเจียวซึ่งเป็นผู้คุ้มกันในวันนี้ ไม่สามารถแสร้งทำเป็นตายด้านได้อีกต่อไปจึงก้าวไปข้างหน้าและพูดกับซูเถา “จริง ๆ แล้วเหล่าต้ามีโอกาสที่จะฆ่ามันได้ แต่เขารู้ว่าความสำคัญของการวิจัยของโบนวิงส์นั้นสูงและมีมูลค่ามาก ดังนั้นเขาจึงต้องคอยระมัดระวังอยู่ตลอดการต่อสู้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่จะอยู่ใครกันแน่ที่จะตาย”

ซูเถาจ้องมาที่เขา

เฉินเทียนเจียวรู้ตัวทันทีว่าเขาได้พูดพล่ามอะไรออกไปก็อยากจะตบหัวตนเอง ปากหมอตายเพราะปากจริง ๆ เลยเขาเนี่ย!

“ผมแค่ยกตัวอย่าง…ไม่มีใครตาย”

ซูเถาไม่ได้ถามคำถามใด ๆ เพิ่มเติม และพูดตรง ๆ “ฟางจือ รีบนำตัวมันเข้าไปเก็บในมิติ พวกเราจะได้รีบกลับ”

และยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่กลับไปที่เถาหยางกับเธอ เป็นนักวิจัยชั้นนำสามคนในตงหยาง ในบรรดาพวกเขา คนที่อาวุโสมากที่สุดคือชายชราผมขาวโพลนแซ่เฉียว และทุกคนเรียกเขาว่านักวิชาการเฉียว

ทันทีที่ขึ้นรถ นักวิชาการเฉียวแทบรอไม่ไหวที่จะถามว่า “เถ้าแก่ซู คุณเสิ่นเวิ่นเฉิงจากเหอคังและทีมของเขาอยู่ที่เถาหยางใช่ไหม”

ถ้าเขาไม่พูดถึง ซูเถาก็เกือบลืมเรื่องของเสิ่นเหวินเฉิงและทีม

เนื่องจากเหอคังถูกโบนวิงส์โจมตี เธอจึงจ้างกลุ่ม ‘พั่วจู๋’ ให้ไปช่วยเหลือเสิ่นเวิ่นเฉิงและคณะวิจัย และตั้งแต่ได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาก็อาศัยอยู่ในเถาหยาง

ซูเถายังไม่มีเวลาไปเยี่ยมพวกเขา “ใช่ พวกเขาเพิ่งมาถึงเถาหยางได้ไม่นาน คุณมีอะไรจะถามพวกเขาไหมคะ”

นักวิชาการเฉียว ที่มีหนวดเคราสีขาวรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “เถาหยางเต็มไปด้วยผู้ที่มีความสามารถจริง ๆ คุณเสิ่นเป็นอัจฉริยะในการวิจัยซอมบี้ ผมสงสัยว่าเขาจะเข้าร่วมการวิจัยโบนวิงส์กับเราไหม ผมเชื่อว่าหากได้เขาและทีมมาเข้าร่วม น่าจะถอดรหัสพันธุกรรมของโบนวิงส์ได้อย่างรวดเร็ว และหากเรารู้การกลายพันธุ์ของมัน บางทีอาจเป็นทิศทางสำคัญของการวิจัยและผลิตวัคซีนจากมัน”

————