บทที่ 413 แผนการฆ่าที่ไม่คาดฝัน

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 413 แผนการฆ่าที่ไม่คาดฝัน

บทที่ 413 แผนการฆ่าที่ไม่คาดฝัน

ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ฉู่เหินยังคงไม่ละสายตาไปจากหวังปาเทียน เขาพบว่าอีกฝ่ายคล้ายจะถูกพลังอำนาจของผู้อาวุโสนิกายกิเลนบีบบังคับเช่นกัน แต่นอกจากตัวสั่นสะท้านแล้ว ใบหน้าของอีกฝ่ายกลับไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเลย! หลังจากเห็นฉากนี้ ฉู่เหินก็อดที่จะหรี่ตาไม่ได้ ตอนนี้เขาสงสัยอย่างมากว่าสติสัมปชัญญะของชายชราจะไม่อยู่กับตัว!

“นิกายกิเลนอะไรกัน ก็แค่นิกายอันดับสองเท่านั้น กล้ามายุ่งวุ่นวายที่นี่ หรือว่าแกอยากถูกล้มล้างนิกาย” สิ้นเสียงก็เห็นเพียงเงาร่างปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า!

คนที่มาใหม่เหล่านี้ไม่เพียงแต่ฉู่เหิน แม้แต่ผู้อาวุโสนิกายกิเลนก็ยังไม่รู้จัก! พวกเขาเหล่านี้ต่างก็มีพลังวรยุทธ์ที่สูงมาก ๆ คนที่ทรงพลังที่สุดอยู่ในขั้นปราชญ์ดาราระดับสูงเลยทีเดียว! พลังวรยุทธ์แบบนี้สามารถตั้งตัวเป็นใหญ่กดขี่ข่มเหงใครในโลกได้อย่างแน่นอน ทว่าวันนี้เพียงเพื่อรับมือกับฉู่เหินคนเดียว คนผู้นี้กลับออกมา เห็นแบบนี้แล้วมันดูจะไม่ค่อยถูกต้องนัก!

ตอนนี้คิ้วฉู่เหินเริ่มขมวดแน่น เขาสัมผัสได้ว่านี้จะต้องเป็นแผนการใหญ่แผนการหนึ่งอย่างแน่นอน แต่ทำไมต้องพุ่งเป้ามาที่ตัวเองด้วย ยังไงตัวเขาก็ไม่ได้มีพลังน่าหวาดกลัวอะไรขนาดนั้นนี่ นิกายกิเลนเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากในสายตาของคนนอก พวกเขาคงไม่สนใจนิกายอันดับสองเล็ก ๆ นี่หรอก

ถ้าตัดนิกายกิเลนกับตัวเองแล้ว งั้นก็คงมีแต่ตระกูลฉู่ การคงอยู่ของตระกูลฉู่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดเกรง จนกลายเป็นความกลัว! ฉู่เหินเดากระทั่งเรื่องการหายตัวไปของตัวเอง นั่นก็คงมีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้

พวกมันต้องการล้มล้างตระกูลฉู่เพื่อให้เหลือเพียงพวกมันที่ทรงอำนาจ ? หรือว่าตระกูลฉู่มีของที่พวกมันอยากได้ ? ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ตัวเองต้องกลับไปตรวจสอบเสียแล้ว!

หลังเหล่ายอดฝีมือปรากฏตัว มิยาโมโตะ อิจิโร่ก็หันไปคำนับพวกเขาด้วยความเคารพ แต่ฉู่เหินสัมผัสได้ว่าสายตาของมิยาโมโตะ อิจิโร่นั้นเจือไปด้วยความเย้ยหยันนิด ๆ การกระทำนี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะรอยยิ้มเย้ยหยันจากผู้ที่ขั้นราชันดาราที่ส่งให้ขั้นปราชญ์ดารากลุ่มหนึ่ง แบบนี้มันจะเป็นไปได้ยังไง

ที่สำคัญ ฉู่เหินยังพบว่ามิยาโมโตะ อิจิโร่ราวกับยังมีความเชื่อมั่นในตัวเอง! ถึงตอนนี้เขาพบว่าตัวเองดูถูดอีกฝ่ายเกินไป ว่าแล้วฉู่เหินก็ยิ่งเพิ่มการระวังตัวมากยิ่งขึ้น

แต่บอกตามตรง หลังจากที่ยอดฝีมือปรากฏตัว ฝั่งฉู่เหินก็ค่อย ๆ ออกมาทีละคน ยิ่งคนเยอะเท่าไรฉู่เหินก็รู้สึกจิตใจไม่ค่อยสงบ เขารู้สึกไปเองว่านี้ราวกับเป็นแผนการของอีกฝ่าย! อย่างไรก็ตามเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้เขาอยากถอยก็ไม่มีหนทางให้ถอยอีกแล้ว

เหตุผลที่คนของฝั่งฉู่เหินปรากฏตัวเยอะขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาได้วางแผนไว้ เพียงแต่ตอนนี้ฉู่เหินกลับรู้สึกเสียใจ เขารู้สึกว่าตัวเองบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ที่สำคัญคือผลลัพธ์ที่ออกมาก็ผิดพลาด เดิมทีเขาคิดว่าคนพวกนี้พุ่งเป้ามาที่ตัวเอง แต่ตอนนี้คล้ายว่าจะพุ่งไปที่ตระกูลฉู่เสียมากกว่า!

ยิ่งรวมตัว ทั้งสองฝั่งก็ยิ่งเยอะ บนยอดเขาเล็ก ๆ แห่งนี้ได้กลายเป็นการรวมตัวของยอดคนนับพันนับหมื่นคนทันที ถึงตอนนี้ทั้งสองก็ไม่อาจใจเย็นได้แล้ว พวกเขาต่างก็แผ่รังสีสังหารใส่กัน นี้ไม่ใช่แค่การล่อลวงอีกต่อไป แต่นี้คือศึกครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง

ตั้งแต่แรก ฉู่เหินก็ได้ส่งข่าวของที่นี่ออกไปแล้ว เขาไม่ได้ส่งข่าวไปที่บ้านตระกูลฉู่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เป็นการบอกเตือนให้ตระกูลฉู่ระมัดระวังตัว ชายหนุ่มสงสัยว่าจะมีคนหวังลงมือกับคนในตระกูลฉู่! เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้มีท่าทางว่าจะส่งข่าวสารไปยังข้างนอก กลับเอาแต่พูดพล่ามไม่หยุด

ดังนั้นตอนที่ฉู่เหินส่งข่าวไปให้ฉู่ตงหลิน อีกฝ่ายจึงไม่ได้ขัดขวาง กลับสนับสนุนอย่างเงียบ ๆ แทน เพราะในจุดนี้เองที่ทำให้ฉู่เหินคาดเดาว่าที่ ๆ พวกมันจะลงมือไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นตระกูลฉู่! ถ้าตระกูลฉู่ถูกล้มล้างแล้ว งั้นที่นี่ก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน

ทว่าระหว่างที่รอเวลาฉู่เหินก็ไม่ได้พัก เขากำลังวางแผนไม่หยุด ภายในแหวนมิติของชายหนุ่มได้เก็บวัตถุดิบระดับสูงเอาไว้ไม่น้อย มันเป็นของที่เขาเก็บมาจากเมืองโบราณนั่นเอง

ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดคืออีกฝ่ายเห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังสร้างค่ายกล แต่กลับไม่ขัดขวางเขา เอาแต่ยืนหัวเราะมองฉู่เหินราวกับกำลังมองละครปาหี่!

ครั้งนี้ฉู่เหินได้สร้างค่ายกลที่ใหญ่มาก ๆ อันหนึ่งขึ้นมา เรื่องที่ทำให้เขาถอนหายใจยาวก็คือโชคดีที่คนพวกนี้ไม่มีใครขัดขวางเขาเลยสักคน ไม่งั้นค่ายกลนี้ก็คงสร้างไม่เสร็จ! ครั้งนี้เขาสร้างค่ายกลไว้ด้านนอกสุด ชั้นหนึ่งเป็นค่ายกลมายา เพื่อที่ฝั่งของตัวเองจะได้สามารถหลบหนีไปได้

หลังจากสร้างค่ายกลมายาได้หนึ่งอัน ชายหนุ่มก็สร้างค่ายกลป้องกันการรุนรานอีกชั้นซึ่งก็มีการซุ่มโจมตีแอบซ่อนไว้ด้วยเช่นกัน ส่วนบริเวณแก่นกลางก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกอันหนึ่ง! ค่ายกลเคลื่อนย้ายอันนี้เขาเพิ่งจะเรียนรู้ได้ในเวลาไม่นาน พอได้มาสร้างเอาตอนนี้เลยค่อนข้างจะไม่คุ้นมือเท่าไรนัก

ค่ายกลเคลื่อนย้าย เวลาเปิดใช้งานแล้วห้ามถูกรบกวนจากภายนอกเด็ดขาด และก็เพราะแบบนี้เขาถึงได้สร้างค่ายกลหนาแน่นขนาดนี้ไว้ข้างนอก! กว่าจะสร้างค่ายกลเสร็จก็กินเวลาไปกว่า 3-4 ชั่วโมง นานขนาดนี้เขาไม่รู้ว่าภายนอกจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง?

ฉู่เหินไม่รู้เลยว่าขณะเดียวกันที่เกาะตระกูลฉู่ของพวกเขา มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งเข้ามา แขกกลุ่มนี้ต่างก็มีพลังวรยุทธ์สูงส่ง! อีกทั้งยังมีขั้นปราชญ์ดาราระดับสูงกว่า 10 คน เรียกได้ว่าแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มมาเพื่อทำลายล้างอย่างแท้จริง!

คนกลุ่มนี้พุ่งมาที่เกาะตระกูลฉู่โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ที่ทำให้พวกเขารู้แปลกคือบนเกาะตระกูลฉู่ในตอนนี้กลับเงียบเชียบ แม้แต่คนเฝ้ายามสักคนยังไม่มี เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้เขาคาดเดาได้ว่าครอบครัวตระกูลฉู่ทั้งหมดออกไปช่วยฉู่เหินหมดแล้ว บนเกาะถึงได้ว่างเปล่าแบบนี้

พอคิดถึงตรงนี้พวกเขาเหล่านี้ก็ยิ่งมั่นใจ หลังจากนั้นต่างคนต่างก็เอาอาวุธของตัวเองออกมา พุ่งตรงไปยังจุดศูนย์กลางของบ้านตระกูลฉู่! พวกเขารู้ดี ไม่ว่าข้างนอกจะเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้น ใจกลางของเกาะก็ยังมีผู้อาวุโสของตระกูลฉู่เฝ้าดูแลอยู่ที่นี่! เพราะจุดศูนย์กลางของตระกูลมีสิ่งหนึ่งที่เป็นของสำคัญสำหรับตระกูลฉู่อย่างมากอยู่

มันคือรูปแบบค่ายกลสงครามอันหนึ่ง มันไม่ใช่ค่ายกลธรรมดา แต่เป็นค่ายกลที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ นี่คือค่ายกล ‘จูเซียนเจิน’ ที่เป็นค่ายกลแห่งเซียน! ของที่ล้ำค่าแบบนี้เพียงแค่เห็นก็ใจสั่นแล้ว และคนพวกนี้ก็มาที่นี่เพื่อขโมยรูปภาพค่ายกลจูเซียนเจิน

กล่าวกันว่าหากอยากได้ค่ายกลจูเซียนเจินมาสนับสนุนจริง ๆ พวกเขาจำเป็นต้องมี 108 คน อาศัยจำนวนสมาชิกตระกูลฉู่ในตอนนี้ยังไงก็ไม่ถึง 100 คนแน่ และเพราะแบบนี้คนตระกูลฉู่จึงยังไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของค่ายกลจูเซียนเจินได้!

ดังนั้นพวกเขาจึงได้วางแผน ล้อมฉู่เหินเอาไว้รอให้คนในตระกูลฉู่ไปช่วยเหลือ! ยิ่งคนตระกูลฉู่ไปมากเท่าไร ความสำเร็จของพวกเขาก็จะยิ่งมากขึ้น! ก่อนหน้านี้พวกเขายังเห็นว่าที่เกาะตระกูลฉู่มีแสงสว่างพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ดังนั้นพวกเขาถึงได้กล้าเข้ามา

พวกเขาค่อย ๆ ใกล้เข้ามายังจุดศูนย์กลางของเกาะ ยิ่งใกล้เท่าไหร่ก็คล้ายจะอดใจไม่อยู่! การกระทำครั้งนี้แน่นอนว่าไม่ได้แผนการของนิกายเพียงแห่งเดียว หากแต่เป็นสองนิกายที่ร่วมมือกัน ถ้าใช้เพียงนิกายเดียวคงไม่มีทางเลยที่จะต่อกรกับตระกูลฉู่ได้

และก็เพราะแบบนี้สองกลุ่มอำนาจจึงได้แอบลักลอบวางแผนกัน ต้องเขาใจว่าค่ายกลจูเซียนเจินนั้นมีเพียงแผ่นเดียว ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะร่วมมือกัน แต่ก็เตรียมที่จะลอบกัดอีกฝ่ายไว้เช่นกัน

เพราะสองอำนาจต่างก็กำลังคิดเรื่องชั่วช้าพอกัน ดังนั้นตอนที่พวกเขาเดินมาเลยไม่มีใครพบว่าพื้นดินใต้เท้าที่เดินมาก่อนหน้านี้แตกต่างไปจากเดิม ที่จริงการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ใหญ่อะไร ถ้าไม่ใช่คนที่ช่างสังเกตจริง ๆ ก็ยากจะดูออก เพราะเดิมก็เป็นดินอ่อนนุ่มนั้น ตอนนี้เมื่อพวกเขาเหยียบลงไปแม้แต่รอยเท้าเดียวก็ไม่ทิ้งเอาไว้!

หลังจากฉู่เหินสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายเสร็จ ชายหนุ่มก็ให้ทุกคนรีบไปเพื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายหนีไปทันที การสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง คือมีค่ายกลลูกก็ต้องมีค่ายกลแม่! เมื่อค่ายกลแม่ลูกเชื่อมโยงกันถึงจะสามารถเคลื่อยย้ายได้ด้วยวิธีพิเศษอย่างหนึ่ง!