อวี้จิ่นมองว่าการรู้สึกพอใจกับสิ่งที่มีอยู่เป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง อย่างเช่นในตอนนี้เป็นต้น
เขาเคยจูบนางครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นก็เกือบถูกตบหน้า แต่มาคราวนี้กลายเป็นอาซื่อเริ่มจูบเขาก่อน
แม้ว่าเจียงซื่อจะยังปากแข็ง แต่ทว่าความก้าวหน้านี้นับว่าสร้างความประหลาดใจมากอยู่พอตัว
เป็นแบบนี้ดีอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกโอบกอดเช่นนี้ เจียงซื่อก็เริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมา นางหลบตาพลางปฏิเสธ “ใครร้องไห้กัน”
นางไม่ได้ผลักเขาออก เพียงแต่รับสัมผัสอบอุ่นจากอกกว้างอยู่อย่างนั้น
บุรุษที่นางเคยนอนด้วยเมื่อชาติที่แล้ว ในตอนนี้เขายังไม่มีหญิงอื่น หากนางไม่รีบคว้าโอกาสนี้เพื่อกอดเขาให้นานขึ้นอีกหน่อยก็คงโง่เต็มที
หากว่าในอนาคต… เมื่อคิดว่าอีกหน่อยอวี้จิ่นจะไปแต่งงานกับหญิงอื่น เจียงซื่อก็คงต้องทำใจยอมรับ
หากนางเลือกยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ นางก็ไม่มีสิทธิ์ไปโทษดินโทษฟ้าที่ปล่อยให้ชีวิตทั้งสองชาติต้องประสบจุดจบเดียวกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจียงซื่อก็รีบฝังตัวเข้ากับตำแหน่งที่รู้สึกสบายที่สุดในอ้อมกอดของชายหนุ่มทันที
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ นางก็อ้อยอิ่งให้นานอีกหน่อย เพราะอย่างไรเรื่องนี้เขาก็ไม่เสียเปรียบอยู่แล้ว
นางไร้ซึ่งความขัดเขิน เพราะสำหรับเจียงซื่อแล้ว ทั้งนางและชายข้างๆ ต่างก็ขยับเขยื้อนสถานะในชั่วพริบตาอยู่แล้ว และในความเป็นจริงนั้น ในคืนก่อนที่นางจะถูกทำร้าย ทั้งคู่ต่างก็หลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
นางคุ้นเคยกับทุกส่วนในเรือนร่างของเขาเป็นอย่างดี หรือแม้แต่ทุกความเคลื่อนไหวยามที่เขาแสดงความรักฉันสามีภรรยา นางก็ยังจำได้ขึ้นใจจึงไม่มีสิ่งใดให้เขินอาย
เมื่อเจียงซื่อโน้มศีรษะพิงเข้าที่อกของชายหนุ่ม ร่างกายของอวี้จิ่นพลันตึงเครียดราวกับถูกวางขึงไว้บนเตาไฟก็ไม่ปาน เป็นความทุกข์ทรมานที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้
เมื่อรู้สึกว่ามีบางส่วนในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ชายหนุ่มจึงค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ
“ทำไมรึ” เจียงซื่อยังคงไม่ลืมตา แต่หนังตาของนางกระตุกเล็กน้อย
“เปล่าหรอก” อวี้จิ่นกลัวจะถูกจับได้จึงรีบแก้ตัว “เจ้าทับจนเหน็บกินนิดหน่อย ช่วยขยับนิดหนึ่ง”
ทับจนเหน็บกิน…
เจียงซื่อลืมตาขึ้นไปสบตากับแววตาเป็นประกายของชายหนุ่ม
รู้ตัวว่ามีความผิด เหตุใดเมื่อก่อนนางถึงไม่เคยสังเกตเลยว่าเขาเป็นพวกไม่มีวาทศิลป์ขนาดนี้
เม็ดเหงื่อหนึ่งผุดขึ้นบนหน้าผากของอวี้จิ่น
หากถูกนางจับได้จะทำอย่างไร
สถานการณ์อาจไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น อาซื่อคงไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่แน่ว่านางอาจจะคิดว่าเป็นกริชก็ได้
จริง ไม่เป็นไรหรอก
อวี้จิ่นปลอบใจตนเอง และพยายามควบคุมให้เป็นปกติที่สุด “ไฉนถึงมองข้าเช่นนั้น”
“หื้ม ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ…” เจียงซื่อยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วนางก็ถอนตัวออกจากอ้อมกอดของอวี้จิ่น และนั่งยืดหลังตรง
อวี้จิ่นรู้สึกขายหน้ายิ่งนัก หากบนรถม้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เขาคงล้วงมันออกมาเคาะสักสองสามทีโทษฐานไม่รู้จักเวล่ำเวลา
โชคดีที่รถม้าหยุดลงพอดี เสียงขององครักษ์ดังแว่วมา “ท่านอ๋องถึงแล้วขอรับ”
อวี้จิ่นถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เกือบจะหนีไม่รอดแล้วเชียว
“ท่านอ๋อง?”
“เงียบหน่า!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ม่านที่ประตูรถก็ถูกเลิกขึ้น ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ลงรถเถอะ”
เจียงซื่อยิ้มพลางพยักศีรษะ แล้วค่อยๆ กระโดดลงไป นางเงยหน้าขึ้นมองป้าย ‘จวนเยี่ยนอ๋อง’ แล้วถึงกับต้องผงะ
“ไหนๆ ก็มาแล้ว อยากเดินชมหน่อยไหม”
เจียงซื่อเม้มปากพลางส่ายหัว “อย่าเลยเจ้าค่ะ ข้ารีบกลับก่อนจะดีกว่า”
อวี้จิ่นซ่อนความผิดหวังเอาไว้ “ก็ได้ งั้นให้ข้าไปส่งเจ้า”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งแว่วมาแต่ไกล “น้องเจ็ดช่างเป็นคนสบายๆ ดีจริงๆ ออกไปข้างนอกยังพาสาวรับใช้ติดตัวไปด้วย”
เจียงซื่อหันไปมองต้นเสียง บุรุษคิ้วหนากำลังย่างกรายมาทางพวกเขา
นางรู้จักคนๆ นั้น เขาคือหลู่อ๋อง องค์ชายห้า
สำหรับหลู่อ๋องแล้ว เจียงซื่อยังไม่ถึงขั้นเกลียดเขา
คงเป็นเพราะเมื่อชาติที่แล้วหลังจากที่นางเป็นชายาของเยี่ยนอ๋องและกลับมาที่เมืองหลวงเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ฉะนั้นโอกาสที่ได้พบกับท่านอ๋องผู้นี้จึงไม่มากนัก เพียงแต่เคยได้ยินว่าหลู่อ๋องเคยไปเที่ยวเล่นที่หอนางโลม แล้วถูกชายาตัวเองไล่ฟาดอยู่กลางถนนจนหน้าตาบวมฉึ่ง
เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูหนิงเฟยผู้เป็นมารดาของหลู่อ๋อง นางก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางตีโพยตีพายต่อหน้าฮ่องเต้ว่าอย่างไรก็จะลงโทษพระชายาหลู่ให้ได้ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าหลู่อ๋องไปขอร้องแทนชายาของตัวเอง…
อาจเป็นเพราะเรื่องนี้ เจียงซื่อจึงไม่รู้สึกเกลียดชังหลู่อ๋อง แต่กลับรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ
นางหวนนึกย้อนถึงเรื่องนั้น สายตาของนางก็จ้องไปที่องค์ชายห้าที่อยู่ตรงหน้านานพอสมควร
อวี้จิ่นไม่พอใจอย่างมาก
หรือว่าชายห้ารูปหล่อกว่าเขางั้นหรือ อาซื่อถึงได้จ้องตาไม่กะพริบเช่นนั้น
“พี่ห้าไม่ถูกกักบริเวณแล้วรึ”แค่อวี้จิ่นอ้าปากก็เผยความลับขององค์ชายห้าเสียหมดเปลือก
องค์ชายห้ากำหมัดแน่นจนกระดูกลั่น
เวลาต่อยคนอย่าต่อยหน้า ว่าคนก็อย่าจี้ใจดำ คนอย่างชายเจ็ดใช้ไม่ได้เลยจริงๆ
ครั้นเหลือบไปมองเจียงซื่อ องค์ชายห้าก็กล่าวเย้ยหยันออกมาทันที “น้องชายเจ็ด เจ้านี่รสนิยมไม่เอาไหนเสีย พาสาวใช้ออกไปข้างนอกทั้งที ไม่พานางที่ดูงามกว่านี้หน่อยเล่า อ้อข้านึกออกแล้ว จวนเยี่ยนอ๋องเพิ่งจะสร้างเสร็จหมาดๆ เหล่าสาวรับใช้ที่ถูกส่งมาคงมีแต่หน้าตาธรรมดาสิท่า หึๆ กลับไปแล้วไว้ข้าจะส่งเหล่านารีร่ายระบำมาให้เจ้าสักคนสองคนแล้วกัน รับรองได้ว่าจะช่วยกอบกู้หน้ายามที่เจ้าพาออกไปไหนต่อไหนอย่างแน่นอน…”
จะส่งนารีร่ายระบำมาให้อวี้ชี
ความรู้สึกดีๆ เพียงหยิบมือที่เจียงซื่อมีต่อองค์ชายห้าอันตรธานหายวับไปทันที
เหตุใดพระชายาหลู่ถึงไม่ฆ่าสามีนางตั้งแต่ตอนนั้นให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
“พี่ชายห้าเก็บไว้สำหรับตัวเองเถอะ คนของจวนใคร่จะใช้อย่างไรก็ตามใจ เพียงแต่อย่าออกมาเพ่นพ่านหาความสุขข้างนอกบ่อยนักเลย เสด็จพ่อจะได้ไม่กักบริเวณพี่อีก”
“เจ้า!”
อวี้จิ่นกลอกตามองบน พลางหันหลังเดินกลับไป
เจียงซื่อไม่คิดมาก่อนว่าอวี้จิ่นนึกอยากจะกลอกตาก็กลอกตาออกมาทันที นางจึงตะลึงอยู่อย่างนั้น
“ไปกันเถอะ” มือใหญ่เอื้อมมาฉุดนางให้เดินไป
เมื่อเห็นทั้งคู่เดินหายเข้าไปในประตูใหญ่จูหง องค์ชายห้าก็ได้แต่ยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง
มารดามันเถอะ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องกำจัดเจ้าเจ็ดให้ได้!
เมื่อเดินเข้ามาด้านในจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว เจียงซื่อก็รู้สึกว่าสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่นาง ถึงขั้นว่าสายตาบางคู่นางเองก็ไม่ทราบว่าโผล่มาจากทางไหน
อวี้จิ่นขมวดคิ้ว แล้วสายตาเหล่านั้นก็หายวับไป
“มา ข้าจะพาเจ้าไปชม”
อวี้จิ่นเดินๆ หยุดๆ อธิบายทุกซอกทุกมุมละเอียดยิบด้วยท่าทีจริงจัง
อีกหน่อยที่นี่ก็จะกลายเป็นบ้านของอาซื่อ พวกเขาคงใช้ชีวิตที่เหลืออีกนานแสนนานในจวนหลังนี้ หวังว่านางจะชอบ
เจียงซื่อคุ้นเคยกับจวนเยี่ยนอ๋องเป็นอย่างดี จึงมิได้ใส่ใจคำอธิบายนั้นเท่าใดนัก พออวี้จิ่นชี้ไปที่สระน้ำในจวน นางก็เผลอหลุดปากออกมาว่า “สระปทุมสาย”
อวี้จิ่นชะงักฝีเท้าพลางหันไปถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เจียงซื่อแทบจะกัดลิ้นตนเองพลางแสร้งเอ่ยเสียงเรียบ “ก็กลางสระมีดอกบัวอยู่ ข้าจึงคิดว่าชื่อนี้เหมาะสมดีเจ้าค่ะ”
อวี้จิ่นคลี่ยิ้ม “ช่างบังเอิญเสียจริง สระนี้ก็มีชื่อว่าสระปทุมสายเหมือนที่เจ้าว่า”
มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ เห็นชัดๆ ว่าอาซื่อเหมาะจะเป็นนายหญิงของจวนเยี่ยนอ๋อง
เมื่อเห็นว่านี่เป็นนิมิตหมายที่ดี อวี้จิ่นก็ยิ่งยินดีปรีดายิ่งขึ้นไปอีก
เจียงซื่อไม่กล้าปล่อยสติเหม่อลอยอีกแล้ว จึงรีบกล่าวลาเจ้าบ้าน “ไม่ต้องให้รถม้าที่จวนไปส่งข้าหรอก เรียกรถม้าข้างนอกไปส่งข้าแถวๆ จวนปั๋วก็พอ”
ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตั้งครึ่งค่อนวัน อีกทั้งยังได้เดินชมจวนหลังใหม่ แค่นี้อวี้จิ่นก็มีความสุขแล้ว เขาจึงยอมทำตามคำขอของเจียงซื่อแต่โดยดี
ทั้งจวนเยี่ยนอ๋องและจวนตงผิงปั๋วตั้งอยู่ฝั่งทิศตะวันตกของเมือง ฉะนั้นจึงอยู่ไม่ไกลกัน ไม่นานนักนางก็กลับมาอยู่บนถนนที่คุ้นเคยอีกครั้ง เจียงซื่อกระโดดลงจากรถม้า จัดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ให้เข้าที่แล้วจึงเดินเข้าไปในจวนตงผิงปั๋ว
คนเฝ้าประตูคุ้นหน้าสาวรับใช้ที่ออกไปซื้อผงสำหรับใส่เรือนผมเมื่อคราวก่อน จึงยิ้มพลางถามขึ้นว่า “พี่สาว คราวนี้ไปซื้ออะไรอีกล่ะ วันนี้กลับมาเย็นเชียว”
เจียงซื่อยิ้มพลางยัดห่อขนมใส่มือนายประตู “ไปซื้อขนมดอกกุ้ยฮวาให้นายท่าน หอมเชียวล่ะ”
คนเฝ้าประตูรับห่อขนมนั้นไป แล้วส่งยิ้มพลางเปิดประตูให้นาง
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งลอยมาจากด้านหลัง “เจ้าเป็นสาวรับใช้เรือนไหนกัน เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน”