บทที่ 352 ส่งเสียงต้อนรับอย่างอบอุ่น
บัดนี้พวกเขาอยู่ห่างจากประตูเมืองไม่ถึงหนึ่งลี้ พอจะมองเห็นทหารเฝ้าประตูเมือง ขุนนางฝ่ายบู๊บุ๋น และราษฎรที่รอคอยอยู่ด้านหลังประตูเมืองอย่างเนืองแน่น
ยามที่พวกเขาเดินทางเข้ามาใกล้ ผู้คนในเมืองก็เริ่มส่งเสียงต้อนรับอย่างอบอุ่น
เสียงดังราวกับคลื่นโหมกระหน่ำระลอกแล้วระลอกเล่าได้ยินมาแต่ไกล
เสี่ยวเป่าที่นั่งอยู่ข้างหน้าท่านพ่อก็พลอยมีความสุขไปด้วย หลังจากห่างหายไปนานถึงครึ่งปี ในที่สุดนางก็ได้กลับบ้าน
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าจะไปสมทบกับพวกท่านพี่ที่อยู่ด้านหลังนะเพคะ”
เสี่ยวเป่าคิดว่าท่านพ่อควรจะได้อยู่ด้านหน้าสุดเพื่อรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทุกคน เพราะท่านพ่อของนางเป็นวีรบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุด!
“นั่งดี ๆ”
หนานกงสือเยวียนกดไหล่นางลง เสี่ยวเป่าทำตามอย่างว่าง่าย แต่ก็มิวายหันมองท่านพ่อด้วยสายตางุนงง
“ไม่ต้องไป”
หนานกงสือเยวียนไม่ปล่อยให้เสี่ยวเป่าไป ที่ผ่านมาเขาแสดงออกชัดเจนว่านางคือบุตรสาวที่เขารักใคร่ทะนุถนอม ข้าราชบริพารทุกคนต่างรู้กันดี ตอนนี้เขาต้องการให้ราษฎรทุกหย่อมหญ้ารับรู้เรื่องนี้เช่นกัน
และเสี่ยวเป่าของเขาสมควรได้รับมัน
เสี่ยวเป่าเป็นดาวนำโชคของเขาและยังเป็นดาวนำโชคของต้าเซี่ยด้วย
หากไม่ใช่เพราะนาง ศึกในครานี้ หนึ่งอ๋องสององค์ชายอาจได้รับอันตรายจากกู่พิษจนไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้
หยกของเสี่ยวเป่าไม่เพียงแต่ช่วยพี่ชายของนางเท่านั้น แต่ยังทำให้เจิ้นหนานอ๋องหรือเจ้าสี่ผู้เป็นน้องชายของเขาเกิดความหวัง แม้เพียงริบหรี่ก็ตาม
เจิ้นหนานอ๋องเพิ่งบอกกับเขาว่าเสี่ยวเป่ามอบจี้หยกชิ้นหนึ่งให้ก่อนเดินทางกลับหนานเจียง
พอเจิ้นหนานอ๋องถูกหนานจ้าวจับตัวไป จี้หยกที่เสี่ยวเป่ามอบให้ก็ช่วยคุ้มครองเขาจากสิ่งชั่วร้าย คราแรกที่ถูกจับ ไม่ว่าจะเป็นกู่พิษหรือแม้แต่คาถาอาคมอันใดก็ทำอันตรายเขาไม่ได้
เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่ถูกพิษกู่หรือคาถาอาคมครอบงำ เขากับลูกน้องคนสนิทจึงหลบหนีออกมาได้
แม้สุดท้ายพวกมันจะตามมาจับตัวเขากลับไปได้ ทว่าโชคดีที่ลูกน้องคนสนิทหนีรอดออกมาหนึ่งคน จึงได้กลับมาแจ้งข่าวว่ามีผู้ทรยศเจิ้นหนานอ๋อง
หลังจากถูกจับไปอีกหน มหาปุโรหิตและพรรคพวกถึงได้สังเกตเห็นพลังพิเศษในหยกจึงถอดมันออกไป แต่เพราะเขาสวมมันมาสักพักหนึ่งแล้ว ร่างกายของหนานกงจ้านจึงซึมซับพลังวิญญาณไปไม่น้อย ต่อให้ถูกกู่พิษเข้าครอบงำจิตใจ ทว่าเขาก็ยังพอควบคุมสติเอาไว้ได้
ยิ่งตอนที่หนานกงชิงเข้าไปช่วยเหลือ เดิมทีดาบนั้นเล็งไปที่หัวใจ โชคดีที่เขายังเหลือสติพอที่จะเบี่ยงมันหลบได้ไม่เช่นนั้นคงเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เป็นแน่
พอนึกถึงเรื่องนี้หนานกงสือเยวียนก็ยกมือลูบหัวเสี่ยวเป่า ดูเหมือนเจ้าตัวน้อยจะคอยปกป้องทุกคนอยู่ข้างหลังเสมอมา
ยิ่งสำหรับเยว่หลีแล้ว เสี่ยวเป่าเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าตนมีบุญคุณต่อเขาเพียงใด
หนานกงสือเยวียนพาเสี่ยวเป่าขี่ม้านำหน้าเข้าไป ตามด้วยทหารม้าและทหารเดินเท้าในชุดเกราะสง่าผ่าเผย นับว่าเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ
“กลับมาแล้ว ฝ่าบาทกลับมาแล้ว!”
ชาวเมืองต่างพากันโห่ร้องสรรเสริญพระนามของฮ่องเต้ด้วยสีหน้าตื้นตันใจเกินบรรยาย
ด้านหน้าประตูเมือง หนานกงฉีซิวพลิกตัวลงจากหลังม้า คุกเข่าลงพร้อมกับน้องชายที่เหลือ รวมถึงขุนนางคนสำคัญเพื่อถวายการต้อนรับ
“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”บราวนี่ออนไลน์
หลังจากนั้นชาวเมืองต่างคุกเข่าคำนับพร้อมตะโกนถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียง
เป็นการคำนับที่ออกมาจากหัวใจ ดูเหมือนความศรัทธาและเคารพนับถือในตัวหนานกงสือเยวียนของราษฎรจะเพิ่มพูนมากขึ้น
เขาผายมือไปข้างหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงที่ใช้เอื้อนเอ่ยไม่ได้ดังมาก แต่สง่างามน่าเกรงขาม
“ลุกขึ้นเถิด”
เสี่ยวเป่าซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าพยายามอย่างหนักเพื่อนั่งหลังตรงให้สง่างามที่สุด ตอนนี้ในหัวนางคิดอยู่สิ่งเดียวคือห้ามทำให้ท่านพ่อขายหน้าเด็ดขาด
แต่นางก็มิวายแอบขยิบตาให้พี่ชาย พร้อมกับอ้าปากเล็ก ๆ เรียก ‘ท่านพี่’ อย่างไร้เสียง
แต่พอเหล่าขุนนางยืนขึ้นแล้วเห็นว่าองค์หญิงน้อยนั่งอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกันกับฝ่าบาท ดวงตาคนทั้งหลายพลันลุกวาว
ฝ่าบาทนะฝ่าบาท! ยับยั้งชั่งใจหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครั้นอยู่ในวังพวกเขาก็ยังไม่เห็นด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้พระองค์ยังจะเชิดชูองค์หญิงออกหน้าออกตา คิดว่ามันเหมาะสมแล้วหรือ!
แต่จะเหมาะสมหรือไม่นั้น ฝ่าบาทก็ทรงทำไปแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าตำหนิพระองค์ต่อหน้าปวงประชา จึงได้เพียงเฝ้าดู
เฮ้อ… ฝ่าบาทเป็นเทพสงครามผู้อาจหาญ เหตุใดถึงได้คิดแต่จะเอาอกเอาใจรักใคร่พระธิดาเข้ากระดูกดำเช่นนี้เล่า
ม้าทรงของหนานกงสือเยวียนเดินผ่านซุ้มประตูเมืองโดยมีสองพยัคฆ์ขนาบข้าง
ข่าวว่าสองพยัคฆ์ช่วยเหลือฝ่าบาทสังหารศัตรูอย่างกล้าหาญในสนามรบก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงเช่นกัน ยามนี้เหล่าผู้ติดตามไม่เพียงแต่ไม่เกรงกลัว แต่ยังป่าวประกาศเรื่องเทพพยัคฆ์อีกด้วย
ยิ่งได้ยินว่าสองพยัคฆ์ช่วยเหลืออาณาจักรต้าเซี่ย พวกเขาก็ยิ่งปักใจเชื่อว่า ฝ่าบาทของพวกเขาคือมังกรผู้ลงมาจุติยังโลกมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นสองพยัคฆ์ก็คงไม่มาช่วยต้าเซี่ยเช่นนี้
ส่วนหนานกงฉีซิวและคนอื่น ๆ ก็ทยอยควบม้าตามหลังเข้ามา
“เอ๊ะนั่น? ผู้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าฝ่าบาทคือผู้ใดกัน”
“ข้าก็ไม่รู้ ไม่นึกเลยว่านางจะได้นั่งม้าทรงของฝ่าบาท!”
“ผู้ใดดูไม่ออกก็เป็นหมาแล้ว ดูจากอายุของคนผู้นั้นแล้วจะต้องเป็นองค์หญิงน้อยที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานเป็นแน่”
“ถึงขนาดได้นั่งม้าทรงร่วมกับฝ่าบาทในโอกาสเช่นนี้ แสดงว่าฝ่าบาทจะต้องเอ็นดูนางมากแน่ ๆ”
“ข้านึกว่าข่าวลือที่ได้ยินก่อนหน้านี้มันเกินจริง แต่ดูท่าแล้วฝ่าบาทจะทรงรักใคร่องค์หญิงมากจริง ๆ”
“พวกเจ้าไม่รู้หรือ เสือสองตัวนั้นก็เป็นขององค์หญิง หลายคนเคยเห็นเสือสองตัวนั้นเข้าออกพระราชวังพร้อมกับองค์หญิงตั้งหลายหน แล้วพวกมันก็เชื่อฟังองค์หญิงมาก ที่พวกมันไปช่วยรบในคราวนี้ ย่อมต้องเป็นองค์หญิงที่ส่งเทพพยัคฆ์ทั้งสองไปช่วยฝ่าบาทแน่”
“เจ้าพูดจริงหรือ”
“ย่อมต้องเป็นเรื่องจริง หากพวกเจ้าเอาใจใส่กว่านี้สักหน่อยก็คงไม่ตกข่าวเช่นนี้ เมื่อคราวที่องค์หญิงยังประทับอยู่ในเมืองหลวง เสือสองตัวมักตามนางออกจากพระราชวังไปพบปะองค์ชายใหญ่และเซียวเหยาอ๋องอยู่บ่อยครั้ง”
ราษฎรเริ่มซุบซิบถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์หญิง แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือฮ่องเต้ของพวกเขานั้นช่างแตกต่างไปจากฮ่องเต้พระองค์อื่นยิ่งนัก
ฮ่องเต้พระองค์อื่นต่างให้ความสำคัญกับองค์ชาย แต่ฮ่องเต้ของพวกเขากลับแสดงออกชัดเจนว่าโปรดปรานองค์หญิง
ทุกอย่างจึงเป็นไปตามเจตนาของใครบางคน ผู้ที่ต้องการให้พวกเขาสนใจในตัวองค์หญิง
ส่วนใครบางคนที่ว่าคือผู้ใดนั้น ทุกคนต่างรู้ได้เองโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด หนานกงสือเยวียนต้องการให้ทุกคนรู้ว่าบุตรสาวของเขาสมควรได้รับการให้เกียรติเช่นนี้
แม้จะมีเสียงซุบซิบต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี
ทุกคนนำดอกไม้ที่เตรียมไว้ออกมาโปรย ผ่านไปสักพักทุกที่ที่พวกเขาผ่านก็เต็มไปด้วยดอกไม้
ทุกคนต่างดื่มด่ำกับความรู้สึกปลาบปลื้มยินดี แต่มีคนหนึ่งที่ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เดิมทีเยว่หลีสวมเสื้อคลุมเพื่อปกปิดรูปลักษณ์ที่แปลกแยกไปจากผู้คนแถวนี้
ทว่าดอกไม้ที่ตกลงมาจากท้องฟ้ามันล่อตาล่อใจจนเขาต้องยื่นมือออกไปตะปบเล่น
เขาติดใจมากจนต้องส่งแมวในอ้อมแขนไปฝากไว้บนหลังม้าหนานกงฉีอิงที่อยู่ข้างกัน ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้าสีขาวตัวน้อย
หนานกงฉีหลิงรีบกวักมือเรียกเขา “กลับมา!”
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจหักห้ามได้อีกต่อไป
เยว่หลีเงยหน้าคอตั้งบ่า พลางเดินพลางเก็บดอกไม้มาหอบไว้ในอ้อมแขน
เขาพลันรู้สึกว่าเสื้อคลุมมันเกะกะจึงถอดมันออกแล้วโยนทิ้งไป
“อ๊ะ! นั่นมันอันใดกัน!”
ทันทีที่เขาโยนเสื้อคลุมทิ้ง ผู้คนทั้งหลายต่างหันมองเขาเป็นตาเดียว
ไม่ว่าประชาชนคนธรรมดาหรือขุนนางน้อยใหญ่ล้วนตกตะลึงจนลืมหายใจ
พวกเขาไม่เคยเห็นคนที่มีรูปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน เส้นผมสีขาว ดวงตาสีม่วง แม้แต่ขนตาก็ยังเป็นสีขาว!
เยว่หลีเอียงหัวถาม “เหตุใดพวกท่านถึงทิ้งดอกไม้พวกนี้เล่า ข้ายังต้องการมันอยู่เลย”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาใสแจ๋วราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลก