เล่ม 1 ตอนที่ 101-1 ได้ชัยชนะครั้งใหญ่ พี่ซิวกลับมาแล้ว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 101-1 ได้ชัยชนะครั้งใหญ่ พี่ซิวกลับมาแล้ว
กรมวังเป็นกรมที่ให้สินบาทรับสินบนมากที่สุด ชุยกงกงก็เป็นผู้มั่งคั่งจึงคารวะฝูกงกงไว้ไม่น้อย ฝูกงกงอย่างไรก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง จึงตอบว่า “คำพูดของบ่าวเช่นข้าด้อยค่านัก อยู่ต่อหน้านายพูดไปก็ไร้น้ำหนัก”

“ดูพี่ใหญ่พูดเข้า อยู่ต่อหน้าเหล่าเชื้อพระวงศ์ ท่านน่ะระดับนี้!” ชุยกงกงยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้นมา

ฝูกงกงหลุดยิ้ม “ไม่ต้องมายกยอข้า”

“ข้ากล่าวความจริงทั้งสิ้น!” ชุยกงกงชี้เด็กน้อยที่เถ้าแก่หรงกับเหยาชิงอุ้มอยู่ในอ้อมแขน “เจ้าตัวน้อยสองคนนั่นเป็นบุตรของนาง ในบ้านไม่มีบุรุษ แต่นางทั้งทำการค้าทั้งเลี้ยงลูก ชีวิตลำบากนัก”

ฝูกงกงมองแผ่นหลังของเด็กน้อยผอมแห้ง (อ้วนท้วนเฉพาะวั่งซู) หัวใจก็เกิดใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย “ได้ ข้าจะพานางไปโขกศีรษะยอมรับผิดต่อหน้าเจาหวังเฟย หากเจาหวังเฟยคลายโทสะ เรื่องนี้ก็คงผ่านไปได้”

เจาหวังเฟยหรือ อ้อ ยายแก่หนังเหนียวคนนั้นกลับไปเรียกกำลังเสริมมานี่เอง

เฉียวเวยแค่นเสียงหยันแล้วถอดผ้ากันเปื้อนออก จากนั้นตามฝูกงกงไปยังตำหนักฉางฮวนสถานที่จัดงานเลี้ยง

เฉียวเวยคุกเข่าอยู่นอกตำหนักฉางฮวน กั้นด้วยม่านมุกเกล็ดหยก

ฝูกงกงเลิกม่านแล้วเดินเข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ “ฝ่าบาท นำคนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นสตรีนางหนึ่ง มีบุตรสองคน น่าสงสารนัก”

นี่คือช่วยขอความเมตตาแทนเฉียวเวยแล้ว

เจาหวังเฟยถูกฮ่องเต้เรียกมาหน้าพระพักตร์ก่อนแล้ว นางยืนอยู่ฝั่งงานเลี้ยงของบุรุษ แล้วกวาดสายตามองเงาร่างบอบบางที่คุกเข่าอยู่นอกม่านมุก ริมฝีปากยกยิ้มที่ทำสำเร็จ

ผู้ใดให้เจ้าเหิมเกริมนัก เป็นอย่างไร หมดหนทางแล้วล่ะสิ

คนของข้า เจ้าก็กล้ารังแก ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!

“เจ้านะเจ้าปรุงอาหารไฉนไม่ใส่ใจเช่นนี้ โชคดีที่ข้าเป็นคนกิน หากเป็นรัชทายาทกินเข้าไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร” เจาหวังเฟยเอ่ยด้วย ‘เจตนาดี’

เฉียวเวยเบ้ปาก แล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันจำมิได้ว่าได้ใส่ก้อนหินลงไป ขอให้หม่อมฉันดูสักหน่อยได้หรือไม่”

เจาหวังเฟยส่งสายตาให้แม่นม “ยกน้ำแกงไปให้นาง!”

แม่นมยกน้ำแกง แล้วเปิดม่านเดินออกไป “เจ้าดูสิ ก้อนหินใหญ่ขนาดนี้!”

เฉียวเวยตักก้อนหินออกมาจากนั้นบีบเบาๆ ก้อนหินพลันแหลกเละ

เอ่อ…

พักนี้พละกำลังเหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

“ทูลหวังเฟย นี่มิใช่ก้อนหิน แต่เป็นถั่วปากอ้าภูเขาที่หม่อมฉันใส่ลงไป!”

เจาหวังเฟยตวาด “เจ้าโป้ปด!”

เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “หม่อมฉันมิกล้า หวังเฟยไม่เชื่อก็เชิญดูด้วยตนเอง แม้มันจะหน้าตาเหมือนก้อนหิน แต่เนื้ออ่อนนุ่ม โปรตีนสูง มีวิตามิน B1 B2 ธาตุเหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม และมีโปแตสเซียมสูงยิ่งกว่าในกล้วยหอม เป็นวัตถุดิบยืดอายุขัย เสริมความงามชั้นยอดโดยแท้”

“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดข้าไม่มี” รัชทายาทถามอย่างไม่พอใจ แม้เขาฟังเรื่องธาตุอะไรๆ เหล่านั้นไม่เข้าใจสักนิดก็เถิด

“ทูล…” นี่ผู้ใดกัน

หัวหน้าชุยกระซิบเสียงเบา “รัชทายาท”

เฉียวเวยปรับสีหน้ากลับมาจริงจัง “ทูลรัชทายาท นั่นเป็นเพราะถั่วปากอ้าเม็ดอื่นถูกต้มจนละลายแล้ว เม็ดนี้ความจริงด้านในก็ละลายแล้ว เหลือเพียงผิวบางๆ นิดเดียวเชื่อมติดอยู่ เมื่อครู่หม่อมฉันบีบนิดเดียวจึงแหลกเละ”

เจาหวังเฟยคิดในใจ ‘หรือสิ่งที่ข้าใส่ลงไปจะมิใช่ก้อนหิน แต่เป็นถั่วปากอ้าเม็ดหนึ่ง’

“ฝ่าบาท! นางกล่าวความเท็จ!”

เฉียวเวยตอบอย่างไม่รีบร้อน “หม่อมฉันเป็นผู้ต้มน้ำแกง ใส่สิ่งใดลงไปหม่อมฉันรู้ชัดยิ่งกว่าผู้ใด เจาหวังเฟยแน่ใจปานนี้ว่านั่นคือก้อนหิน หรือว่าท่านใส่ลงไปเองเล่า”

เจาหวังเฟยเกือบจะหลุดปากบอกไปแล้วจริงๆ ว่าตนใส่ลงไปเอง ยังดีที่ยั้งไว้ทันเวลา “ข้า…ข้า…ข้ากัดลงไปแล้ว! มันแข็ง! เกือบทำฟันข้าหัก!”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “ท่านมีฟันของหญิงชราหรือไร หม่อมฉันบีบนิดเดียวก็เละ แต่ท่านกลับกัดไม่เข้า”

ตอนเจาหวังเฟยกัดถูก ‘เมล็ดถั่ว’ ไม่มีพยาน แต่ตอนเฉียวเวยบีบมันจนเละมีสายตาของธารกำนัลมองอยู่ ผู้ใดจะเชื่อว่าสตรีบอบบางมิอาจต้องลมคนหนึ่งจะมีพละกำลังมหาศาลจนบีบก้อนหินก้อนหนึ่งแหลกเละได้เล่า นั่นจักต้องเป็นถั่วปากอ้าแน่นอน! แล้วยังเป็นถั่วปากอ้าที่ต้มจนเละแล้วอีกด้วย!

สายตาของฮ่องเต้มองม่านมุกเกล็ดหยกออกมาจับจ้องบนร่างหญิงสาว แม้นางคุกเข่าก้มหน้าก้มตา ท่าทางเคารพนบนอม แต่ความหยิ่งทะนงมิยอมจำนนที่แฝงอยู่ทั่วร่างชวนให้คนยากจะมองเมิน ฮ่องเต้อดมิได้นึกถึงสหายเก่าคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน แม้แต่ทักษะการรับมือสถานการณ์เฉพาะหน้าเช่นนี้ก็ยังทำออกมาได้มีช่องโหว่นับร้อยเหมือนกัน

ฮ่องเต้คิดอันใดขึ้นมา “เงยหน้าขึ้น ให้ข้าดูหน่อย”

เฉียวเวยไม่ใคร่จะยินดีนัก เจ้าของร่างมีใบหน้างามสะคราญเรียกเภทภัยแท้ๆ นับแต่โบราณฮ่องเต้ล้วนมากตัณหา ประเดี๋ยวคงจะไม่ต้องตานางหรอกกระมัง

“ฝ่าบาทสั่งให้เจ้าเงยหน้า!” ชุยกงกงกระซิบเสียงเบา สาวน้อยคนนี้ดูออกจะคล่องแคล่ว เหตุไฉนพอมาอยู่หน้าพระพักตร์ฝ่าบาทจึงอืดอาดยืดยาด มิกลัวโอรสสวรรค์พิโรธหรือไร

เฉียวเวยเงยหน้าอย่างมิใคร่ยินยอมนัก

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรใบหน้านั้น ยิ่งมอง สีหน้าก็ยิ่งแปลกประหลาด จนอดไม่ได้ต้องโน้มพระวรกายมาเล็กน้อย ถึงขนาดที่อยากจะลุกขึ้นยืนเพื่อมองนางให้ชัด

เฉียวเวยถูกมองจนขนหัวลุก “ฝ่าบาท! หม่อมฉันเป็นแม่มาย!”

“พรูด…” กุ้ยเฟยผู้กำลังดื่มน้ำด้วยท่าทางอันสง่างามอยู่หลังฉากกั้น พ่นน้ำชาออกจากปากทันใด

ฮ่องเต้ก็สะอึกเช่นเดียวกัน พระองค์เพียงรู้สึกว่านางดูคุ้นตาเท่านั้น เมื่อครู่จึงทอดพระเนตรมากสักหน่อย แม่สาวน้อยคนนี้กลับเห็นพระองค์เป็นคนตัณหาจัดไปเสียได้!

ฮ่องเต้กลับมาประทับนั่งตัวตรงแล้วตรัสว่า “เจ้ามีนามว่าอันใด บิดามารดาคือผู้ใด บ้านอยู่ที่ใด”

คำถามเหล่านี้…ออกจะมากไปสักหน่อย แต่ยามศาลสอบคดีก็สอบเช่นนี้ ทุกคนจึงไม่รู้สึกว่ามิสมควร ตรงกันข้ามกลับคิดว่าเป็นนิสัยเฉพาะตัวของฮ่องเต้ที่ช่างซักช่างถามมากสักหน่อย

ดูเอาเถิด แม้แต่ฮ่องเต้ยังถามถึงบิดามารดา ขนาดฮ่องเต้ก็ยังปฏิบัติกับคนไม่เท่ากัน

เฉียวเวยกราบทูลด้วยสีหน้าจริงจัง “หม่อมฉันแซ่เฉียว ครอบครัวอยู่หมู่บ้านลี่ชุนเมืองเตียนตู บิดามารดาล้วนเป็นเพียงสามัญชน ไม่มีสิ่งใดให้เล่า”

“เตียนตู” ฮ่องเต้พึมพำ “หุบเขาสมุนไพรก็เหมือนว่าจะอยู่เตียนตู…” พระองค์ชะงักครู่หนึ่งก็ตรัสอีกว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าแซ่เฉียวหรือ”

เฉียวเวยตอบว่า “เพคะ”

ฮ่องเต้ตรัสถาม “มารดาเจ้าแซ่ใด”

เหตุใดจึงถามถึงมารดานางเล่า เฉียวเวยมึนงง “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มีบิดามารดา หม่อมฉันเกิดมาก็เป็นกำพร้า”

ทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงทรงถามละเอียดปานนี้ หรือกังวลว่าสตรีผู้นี้จะมีตระกูลฝั่งมารดาที่แข็งแกร่ง มีแต่ยิ่นอ๋องที่เข้าใจ เสด็จพ่อผู้แสนดีของเขาคงนึกถึงหมอเทวดาเสิ่นผู้ช่วยชีวิตเสด็จแม่ไว้เมื่อหลายปีก่อน แม้ตัวเขากับคนมากมายในที่แห่งนั้นไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเสิ่นซื่อ แต่ในเมื่อคุณหนูใหญ่เฉียวเป็นบุตรสาวของเสินซื่อ หน้าตาก็คงละม้ายคล้ายเสิ่นซื่อยู่หลายส่วน

ตอนนี้จะกราบทูลเสด็จพ่อดีหรือไม่ว่าสตรีตรงหน้าคือบุตรสาวแท้ๆ ของเสิ่นซื่อ

ไม่ ตอนนี้สตรีนางนี้เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ หากนางฟ้องเรื่องของตนต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ ตนคงรับไม่ไหว

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ยิ่นอ๋องจึงเลือกนิ่งดูสถานการณ์

เจาหวังเฟยเห็นฮ่องเต้เหมือนจะทรงมีพระทัยเอนเอียงไปทางแม่ครัวตัวน้อยผู้นั้น คิ้วก็พลันขมวดมุ่นเอ่ยขึ้นว่า “แม่นม เจ้าว่าอะไรนะ”

“นางเป็นผู้ใด” เจาหวังเฟยถาม

แม่นมตอบว่า “นางก็คือแม่ครัวที่เมื่อครู่ถือมีดขึ้นมาทำให้ซื่อจื่อน้อยตกใจเพคะ”

เจาหวังเฟยสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด “นางถือมีดขึ้นมาข่มขู่เจ้าหรือ เรื่องสำคัญเช่นนี้เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้า”

แม่นมตอบอย่างหวาดหวั่น “บ่าว…บ่าวกลัวว่าพระชายาจะเอาผิด ยามนั้นบ่าวมิได้ดูแลซื่อจื่อน้อยให้ดี ปล่อยให้ซื่อจื่อน้อยวิ่งไปถึงห้องครัว เด็กเหล่านั้นมิรู้ความจึงหยิบของส่งเดชให้ซื่อจื่อน้อยทาน แล้วยังจะให้ซื่อจื่อน้อยดื่มน้ำบ่อที่ยังมิได้ต้มอีก กระเพาะของซื่อจื่อน้อยอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร บ่าวตกใจนักจึงทะเลาะกันพวกเขา แต่นางกลับดุร้ายเหลือเกิน ถือมีดขึ้นมาข่มขู่ข้า!”

แม่นมผู้นี้ร้ายกาจกว่าฝังมามาที่บิดเบือนความจริงมากนัก นางไม่ใส่สี ไม่แต่งเติม ใช้เพียงคำว่า ‘ทะเลาะ’ ก็กลบเกลื่อนความผิดของตนเองได้อย่างสบายๆ นางไม่ปัดความผิด เอ่ยปากยอมรับว่าตนเป็นฝ่ายเริ่มวิวาทก่อน แต่มิว่าผู้ใดฟังคำพูดท่อนนี้ของนางย่อมล้วนเห็นว่าความผิดเป็นของเฉียวเวยกับลูกน้อย

เฉียวเวยร้องเหอะออกมาคำหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ลูกขององค์ชายอย่างพวกท่านเป็นคน แล้วลูกของหม่อมฉันไม่ใช่หรืออย่างไร เขาหิว เขากระหายน้ำ ลูกของหม่อมฉันก็หาของกินหาน้ำให้ดื่ม พวกท่านไม่รับน้ำใจก็แล้วไปเถิด ยังจะมาด่าบุตรสาวของหม่อมฉันว่าเป็นบ่าวสุนัข ลงไม้ลงมือตบตี นี่คือการอบรมสั่งสอนของเชื้อพระวงศ์อย่างพวกท่านหรือ”

“บังอาจ” ครั้งนี้ แม้แต่เจาอ๋องผู้พยายามหลบเลี่ยงไม่ให้ติดร่างแหอยู่ด้านข้างก็ทนดูมิได้แล้ว เขาตวาดดุดันออกมาคำหนึ่งประหนึ่งอสนีบาตดังสนั่นฟาดลงกลางฟ้าแจ้งอย่างกะทันหัน องค์รัชทายาทผู้นั่งอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้อย่างไม่สนใจไยดี คร้านจะสนใจละครวุ่นวายไร้สาระเช่นนี้ สนใจแต่การกินลูกชิ้นกุ้งในชามของตนเองกลับถูกพี่ชายโง่เง่าของตนทำให้ตกใจจนสำลัก

แน่นอนว่าเวลานี้ฮ่องเต้ยังไม่รู้สึกถึงอาการผิดปกติของพระโอรสสุดที่รัก พระองค์ยังถามหลานชายตัวน้อยต่อ “ที่แท้เจ้าขอผู้อื่น หรือผู้อื่นยัดเยียดให้เจ้า”

ความจริงวั่งซูเป็นผู้ยัดใส่มือซื่อจื่อน้อย

ซื่อจื่อน้อยกะพริบตาปริบๆ “ข้าขอเอง”

เจาหวังเฟยถลึงตาใส่บุตรอนุอย่างโหดเหี้ยม ถึงกับกล้าโกหกเชียวหรือ กล้าเอ่ยขัดกับข้าเพื่อคนนอกคนหนึ่งหรือ ช่างเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ!

ฮ่องเต้ตบหัวไหล่ซื่อจื่อน้อยเบาๆ แล้วตรัสอย่างพอพระทัย “จิ้งเอ๋อร์เป็นเด็กดี”

“อึก…อึก…” องค์รัชทายาทกุมลำคอ แล้วเอื้อมมือมาคว้าฮ่องเต้

“รัชทายาทก็คิดว่าจิ้งเอ๋อร์เป็นเด็กดีมากใช่หรือไม่…” ฮ่องเต้หันกลับมาด้วยสีพระพักตร์ชื่นบาน แต่กลับเห็นรัชทายาทหน้าม่วงคล้ำ พระองค์หน้าถอดสีทันใด “รัชทายาท!”

รัชทายาทร่วงลงจากเก้าอี้ ทรุดลงไปบนพื้น

ผู้คนที่เมื่อครู่ถูกเฉียวเวยกับซื่อจื่อน้อยดึงความสนใจไปทยอยกันหันมามองด้านนี้ งานเลี้ยงตกอยู่ในความโกลาหลในพริบตา

ฮ่องเต้อุ้มรัชทายาทขึ้นมา “หมอหลวง! ตามหมอหลวง! รัชทายาทสำลักอาหาร!”

บ่าวรับใช้ในวังวิ่งออกไปทันควัน!

ยิ่นอ๋องแสดงสีหน้ากังวลใจออกมา แต่ในใจกลับร้องว่า เยี่ยม สำลักก็ดี สำลักก็ดีแล้ว ยึดครองตำแหน่งรัชทายาทมาได้ตั้งหลายปี สมควรตามมารดาคนงามผู้อาภัพคนนั้นไปได้เสียที

เจาอ๋องวิ่งมาอีกฝั่งของรัชทายาท ร่ำไห้น้ำหูน้ำตาไหล “น้องแปด! น้องแปดเจ้าเป็นอันใดไป”

สำลักได้อย่างไรกัน

เจ้ามีชีวิตมาตั้งยี่สิบปี ในที่สุดก็รนหาที่ตายเสียที

องค์ชายคนที่เหลือต่างก็พากันหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งดุจเดียวกัน

ทันใดนั้น เฉียวเวยก็ลุกขึ้น แหวกม่านก้าวพรวดเข้ามาในห้อง

ขันทีในห้องมิทราบว่านางคิดทำสิ่งใด คิดว่าเป็นการลอบสังหาร จึงเร่งรีบรุมล้อมเข้ามาขวางนางไว้ แต่กลับถูกนางตบมือเดียวร่วงไปทีละคน

ทุกคนตกตะลึงจนตาโตอ้าปากค้าง สตรีผู้ห้าวหาญเช่นนี้ ปกติพบเห็นได้น้อยนัก!

เจาหวังเฟยเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ในห้องโถงหลัก เพื่อแสดงความภักดี นางจึงกางสองแขนออกขวางทางของเฉียวเวยเอาไว้ “เจ้าไพร่บังอาจ! ยังไม่รีบถอยไปอีก!”

เฉียวเวยไม่แม้แต่จะมองนาง ถีบทีเดียบส่งนางปลิวออกไป นางลอยละลิ่วประหนึ่งว่าวสายขาดล้มทับฉากกันลมด้านหลัง พาฉากทั้งแถบล้มไปด้านหลังด้วย ฉากกันลมบังเอิญล้มทับโต๊ะอาหารของตัวนางเองพอดี ฉากหักครึ่ง อาหารมันเยิ้มเปรอะเปื้อนเต็มตัวนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟักทองต้มถ้วยนั้น พลิกคว่ำลงมาครอบศีรษะนางทั้งชามอย่างพอดิบพอดี…

จิ๊ๆ ช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน

ยิ่นอ๋องถูกความห้าวหาญของเฉียวเวยสะกด จนชั่วขณะคิดไม่ทันว่านางกำลังจะทำสิ่งใด เมื่อเขามองต้นสายปลายเหตุออกคิดจะเข้าไปขวางก็สายเกินไปแล้ว

เฉียวเวยคว้ารัชทายาทในอ้อมพระกรของฮ่องเต้ขึ้นมาประหนึ่งคว้าลูกไก่ รัชทายาทไม่ใช่คนกำยำเช่นยิ่นอ๋อง แต่ก็เป็นบุรุษหนุ่มผู้สูงหนึ่งเมตรแปดสิบเช่นเดียวกัน ทว่าเขากลับถูกแม่นางคนหนึ่งหิ้วขึ้นมาอย่างง่ายดายปานนี้ เฉียวเวยอ้อมไปด้านหลังเขาแล้วใช้สองแขนกอดเขาไว้ สองมือประสานกัน จากนั้นกระทุ้งท้องเขาหนึ่งครั้ง!

เมื่อกระทุ้งถึงครั้งที่สาม รัชทายาทก็สำลักลูกชิ้นกุ้งคำหนึ่งออกมาจากปาก!

“หลบไปๆ! หลบไปให้หมด! รัชทายาทต้องผ่าลำคอ!” หมอหลวงเหลียงผู้ใช้ชีวิตมาครึ่งร้อยถือมีดพุ่งเข้ามา เอ๋ เกิดอันใดขึ้น

รัชทายาทหายดีแล้วนี่!

รัชทายาทหันกลับไปมองใครบางคนที่เกือบจะใช้สองแขนหักเอวเขา “ปล่อย!”

เฉียวเวยปล่อยมือ

รัชทายาทร่วงลงบนบันไดดัง ตุ้บ! จากนั้นกลิ้งหลุนๆ ลงไปด้านล่าง…

เฉียวเวยช่วยชีวิตรัชทายาทเอาไว้ (เรื่องที่รัชทายาทกลิ้งตกบันไดจนหน้าบวมปูด ฮ่องเต้ย่อมมองผ่านไม่เอาความ) ฮ่องเต้ดีพระทัยยิ่งนัก ได้ยินหมอหลวงเหลียงกล่าวว่า ผู้ที่สำลักอาหารอย่างรุนแรง เดิมต้องผ่าลำคอเพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมออกมา แต่แม่ครัวสามัญชนผู้นี้ไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นก็ช่วยลำคอของรัชทายาทเอาไว้ได้ หากจะให้ฮ่องเต้ตรัสว่าไม่ประหลาดใจก็คงเสแสร้ง ตรัสถามเฉียวเวยว่าร่ำเรียนวิชามาจากที่ใด เหตุใดจึงมีวิธีช่วยเหลือคนอันยอดเยี่ยมเช่นนี้

เฉียวเวยจึงกล่าวว่าวิธีการนี้บุรุษนามว่าไฮม์ลิคช์เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา แต่ท่านผู้เฒ่าไฮม์ลิคช์ขึ้นสวรรค์ไปนานแล้ว อย่าได้คิดจะค้นหาร่องรอยของเขา แต่ความจริงแล้วหากนับตามปีคริสต์ศักราชคุณปู่ไฮม์ลิคช์ยังไม่เกิดต่างหาก

ครั้งแรกที่ใช้วิธีนี้ช่วยคนก็คือตอนที่ช่วยหญิงชราอายุมากคนหนึ่ง ยามนั้นนางลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ช่วยไว้ได้สำเร็จ นางสร้างความมั่นใจขึ้นมาได้ไม่น้อย วันนี้จึงลงมืออย่างไม่ลังเลแม้สักนิด

นางกราบทูล “ฝ่าบาท วิธีการนี้ทำให้แพร่หลายได้ไม่ยาก มันเรียบง่ายและเข้าใจง่าย มิว่าบัณฑิต ชนชั้นสูง พ่อค้าวาณิชหรือบ่าวไพร่ล้วนฝึกฝนให้เป็นได้อย่างง่ายดาย”

สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ฮ่องเต้ย่อมชื่นชอบ พระองค์ให้หมอหลวงเหลียงบันทึกวิธีการนี้ไว้ทันที แล้วตัดสินใจเผยแพร่ในสำนักหมอหลวงก่อน ค่อยให้ราชวิทยาลัยเผยแพร่ หลังจากนั้นค่อยเผยแพร่วิธีการนี้ในแต่ละกรมรวมไปถึงค่ายทหารและในหมู่ประชาชน

อีกหลายปีให้หลังวิธีการนี้ได้ทำให้จำนวนคนตายจากการสำลักอาหารของต้าเหลียงลดลงจนต่ำที่สุดในหกแว่นแคว้น แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องในภายหลัง

ฮ่องเต้ในเวลานี้จมจ่ออยู่กับความดีพระทัยที่เฉียวเวยช่วยพระโอรสของตนเอาไว้ “เจ้าช่วยพระโอรสของข้า ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”

สวรรค์ มายุคโบราณเที่ยวหนึ่งไม่เพียงได้พบฮ่องเต้ในตำนานพงศาวดาร ยังได้รางวัลพระราชทานจากฮ่องเต้อีก มาไม่เสียเที่ยวโดยแท้!

ฮ่องเต้จะพระราชทานรางวัลอันใดให้นางกันนะ

ฮ่องเต้ร่ำรวยเพียงนั้น ของที่พระราชทานจักต้องมากและต้องดีแน่นอนเลยสินะ!

“ฝูเต๋อเฉวียน” ฮ่องเต้ส่งสายตาให้ขันทีคนสนิทข้างพระวรกาย ฝูกงกงรับใช้ฮ่องเต้มาหลายปี แม้แต่ฮ่องเต้เกาพระโสภี เขาก็รู้แล้วว่าฮ่องเต้ต้องการผายลมแบบใด ส่งสายตามาครั้งหนึ่งย่อมไม่ใช่ปัญหา

ฝูกงกงไปนำสี่สมบัติแห่งห้องอักษรมาจากตำหนักข้าง ฮ่องเต้ยกพู่กันตวัดครั้งหนึ่ง

เฉียวเวยเบิ่งตาโต นี่จะมอบตั๋วเงินให้นางหรือ

“เสร็จแล้ว” ฮ่องเต้มอง ‘ตั๋วเงิน’ ในพระหัตถ์อย่างพึงพอพระทัย แล้วให้ฝูกงกงมอบแก่เฉียวเวย

เฉียวเวยรับมาดู เพียงพริบตาเดียวก็นิ่งงัน “เหตุใด…เหตุใดเป็นตัวอักษรเล่า”

แล้วยังเป็นตัวอักษรที่นางไม่รู้จักอีก นี่มันส่วนไหนกับส่วนไหนกันล่ะนี่

ฝูกงกงกระซิบเตือนเสียงเบา “นี่คืออักษรโบราณ มีเพียงสายเลือดหลักของเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับสืบทอด คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางได้พบเจอหรอกนะ” เขาติดตามฮ่องเต้มาครึ่งชีวิต ผู้ที่ได้รับลายพระหัตถ์ตัวอักษรตัวนี้มีไม่เกินสองคน

เฉียวเวยมิสนว่ามันโบราณหรือไม่โบราณอย่างไร นางรู้เพียงว่าเจ้าของสิ่งนี้ต้อง ‘ไม่มีราคา’ เป็นแน่แท้ หากนำกลับไปยุคปัจจุบัน บางทีมันอาจกลายเป็นของโบราณราคาเท่าฟ้า แต่ในยุคโบราณ ลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ขายไม่ได้ แล้วก็มอบให้ผู้อื่นไม่ได้อีกต่างหาก ทำได้เพียงตั้งไว้กราบไหว้ไปวันๆ

แต่ละวันนางมีเวลาทำงานไม่พอ จนอยากจะแยกร่างจากคนเดียวเป็นสามคนมาใช้งานเสียด้วยซ้ำ ไหนเลยจะว่างมาเพลิดเพลินกับการชื่นชมอักษรตัวหนึ่ง

นางพละกำลังมาก เด็กๆ ก็ทำของพังเก่งไม่น้อย หากไม่ระวังทำเสียหายขึ้นมา ยังต้องมีความผิดโทษฐานไม่เคารพเชื้อพระวงศ์อีก

นางรับมิไหวหรอกนะ

ฮ่องเต้เห็นนางดูเหมือนจะไม่ชอบใจจึงตรัสถาม “ไม่ชอบตัวอักษรของข้าหรือ”

“ชอบ…ชอบเพคะ” เฉียวเวยเก็บตัวอักษรเข้าไปในอกเสื้อ แล้วจ้องฮ่องเต้อย่างวาดหวัง “ยังมีอีกหรือไม่เพคะ”

“แค่ก!” คนทั้งห้องโถงสำลักกันถ้วนหน้า มีผู้ใดร้องขอสิ่งของจากฮ่องเต้เช่นนี้ด้วยหรือ ยังมียางอายอยู่หรือไม่ ยัง มี อยู่ หรือ ไม่!

นานครั้งฮ่องเต้จะพบคนที่ไม่เสแสร้งวางท่าสักคน จึงตรัสอย่างขบขัน “เจ้าต้องการสิ่งใดเล่า”

“อื้อๆ” เฉียวเวยพูดด้วยจมูก มีเพียงเสียงวรรณยุกต์ที่ดังออกมา

ฮ่องเต้งุนงงไปชั่วครู่ “อะไรนะ”

“อื้อๆ” เฉียวเวยเปล่งเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงเปล่งเสียงออกมาทางจมูก ปากกลับไม่ขยับ

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรฝูกงกงที่ยืนอยู่ข้างกายเฉียวเวย ฝูกงกงส่ายหน้า บ่าวก็ฟังไม่ชัดเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!

ฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยน “เจ้าต้องการสิ่งใด ก็บอกข้ามา มิต้องกลัว”

เฉียวเวยยกมือขึ้นจับหูน้อยๆ ของตน “เงินเพคะ”

“พรูด…” กุ้ยเฟยพ่นน้ำชาออกมาอีกหน

กิริยามารยาทของกุ้ยเฟยเป็นดั่งตำราเดินได้ในวังหลัง ทว่าวันนี้กลับพ่นน้ำชาออกมาสองครั้งเพราะแม่ครัวผู้นี้ หลังจากนี้วังหลังคงมีเรื่องใหม่ให้นินทาแล้ว

ฮ่องเต้สรวลเสียงกังวาน มิรู้ว่าสรวลเพราะในที่สุดมีคนทำลายมาดของกุ้ยเฟยได้ หรือว่าสรวลเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบคนที่น่าสนใจเช่นนี้ สรุปก็คือพระองค์อารมณ์ดียิ่งนักจึงอนุญาต

พระองค์พระราชทานรางวัลแก่เฉียวเวยเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง ผ้าไหมกลิ่นสุคนธ์สิบพับ เส้นไหมน้ำแข็งสิบชั่ง อัญมณีของมีค่าอีกหนึ่งหีบ

เฉียวเวยมองอัญมณีที่เปล่งแสงระยิบระยับเต็มหนึ่งหีบแล้วกลืนน้ำลาย “หากใช้ไม่หมด ขาย ขายได้หรือไม่เพคะ”

คนทั้งห้องโถงหน้าคว่ำกันถ้วนหน้า…

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ นับว่าอนุญาตให้ขายสิ่งของพระราชทานได้ แม้ก่อนหน้านี้การขายสิ่งของพระราชทานล้วนเป็นโทษตาย แต่ในเมื่อพระองค์เอ่ยโอษฐ์แล้ว ถ้าเช่นนั้นเฉียวเวยย่อมเป็นข้อยกเว้น

“พระมหากรุณาเป็นล้นพ้น หม่อมฉันถวายบังคมลา” เฉียวเวยทำท่าจะถอยออกไปอย่างเบิกบานใจ ฝูกงกงจึงส่งสายตาให้นางกำนัลด้านข้าง นางกำนัลก้าวเข้ามานำเฉียวเวยให้คำนับลาองค์ฮ่องเต้

ท่วงท่านั่นค่อนข้าง…สุดจะพรรณนา

ฮ่องเต้ทรงปิดพระเนตร

เจาหวังเฟยแต่เดิมคิดฉวยโอกาสสั่งสอนเฉียวเวย ผู้ใดจะคิดว่ากลับปล่อยให้เฉียวเวยสร้างความดีความชอบ นางโกรธจนหน้าเขียว หัวร้อนเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพ่อ! ตอนนี้ท่านทราบแล้วสินะเพคะ พละกำลังของนางมากกว่าบุรุษเสียอีก! สิ่งที่อยู่ในน้ำแกงมิใช่ถั่วปากอ้า แต่เป็นก้อนหิน! นางบีบก้อนหินจนแหลก!”

เจาหวังเฟยเอ่ยจบ ทั้งห้องโถงพลันตกอยู่ในความเงียบ

พระชายาผู้นี้ตาบอดหรือไร ไม่เห็นหรือว่าทุกคนต่างเดาออกแล้วว่านั่นเป็นก้อนหิน แต่นั่นแล้วอย่างไรเล่า เหตุการณ์พลิกผันจนเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ใดยังจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเฉียวเวยใส่ก้อนหินลงในน้ำแกงอีก เรื่องที่ข่มขู่แม่นมยิ่งมิจำเป็นต้องเอ่ยถึง ซื่อจื่อน้อยก็บอกว่าตนขอกินเอง แม่นมยุ่งไม่เข้าเรื่องไปตบตีเด็กส่งเดช ก็สมควรถูกข่มขู่แล้ว!