บทที่ 332 ฉันชอบเด็กคนนี้
บทที่ 332 ฉันชอบเด็กคนนี้
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่ามันหรูหราเกินไป แต่คุณนายฮันลูบที่ผมอันอ่อนนุ่มของเธอ “จะเป็นได้ยังไงล่ะจ๊ะ? ไม่ว่าของจะแพงมากแค่ไหน เสี่ยวอี๋ก็มีมันได้นะ”
ส่วนพวกผู้ชายสวมชุดสูทยืนรออยู่ที่ชั้นล่าง
คุณนายฮันจูงมือของซูโย่วอี๋ค่อย ๆ เดินลงมา ฮันเจ๋อหยางที่หันหน้ามาก่อนอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า
“ว้าว น้องสาว วันนี้เธอจะต้องเป็นคนที่สวยที่สุดในงานแน่”
ส่วนคุณฮันเกิดคิดถึงความหลัง “เสี่ยวอี๋ ลูกเหมือนกับแม่ของลูกเมื่อตอนวัยรุ่นมากจริง ๆ”
ตอนนั้นคุณฮันเจอคุณนายฮันที่งานเลี้ยง และตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ
คุณนายฮันมองเขาอย่างโกรธ ๆ “แล้วตอนนี้ไม่เหมือนแล้วเหรอ?”
“เหมือนจ้ะ ๆ”
คุณฮันจะกล้าพูดว่าไม่เหมือนได้อย่างไร
ซูโย่วอี๋ไม่เห็นฮันเจ๋อเหยียนจึงถามขึ้น “พี่ล่ะ?”
ฮันเจ๋อหยางขยับเข้ามาใกล้ “ไม่ใช่ว่าอยู่ตรงนี้เหรอ?”
คุณนายฮันผลักลูกชายออกไป “พี่ชายคนโตของลูกไปที่โรงแรมก่อนแล้วจ้ะ”
งานนี้ตระกูลฮันเป็นเจ้าภาพ แน่นอนว่าจะต้องไปถึงงานเพื่อทักทายแขกก่อน
ด้านหน้าของโรงแรมเซิ่งชิงเฟิงเต็มไปด้วยผู้คน แม้ว่าตระกูลฮันจะไม่ได้เชิญสื่อมวลชนใด ๆ มา แต่พวกนักข่าวก็รู้ข่าวกันไวมาก และมารอที่หน้าประตูกันตั้งนานแล้ว
พวกเขาพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้ภาพของงานนี้
คุณฮันพูดสั่งให้รถเข้าไปจอดในลานจอด จากนั้นพวกเขาขึ้นลิฟต์ไปยังงานเลี้ยง ทำให้เหล่านักข่าวที่นั่งรออยู่มองตาละห้อย
ตอนนี้ในงานมีแขกผู้มีเกียรติมากมาย แต่ จู่ ๆ ไฟในห้องจัดเลี้ยงก็ดับลง
ด้านนอกของประตูใหญ่ ซูโย่วอี๋คล้องแขนของคุณฮันเดินเข้ามา
ดวงตาอันสง่างาม ผิวขาวเรียบเนียน มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับท่าทางอันเย็นชา
สปอตไลท์สาดส่องตามการก้าวเดินของพวกเขาไปจนถึงบนเวที
คุณฮันแนะนำสถานะของซูโย่วอี๋อีกครั้ง “นี่คือลูกสาวของผมครับ ฮันโย่วอี๋”
“ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้ เสี่ยวอี๋ไม่ได้เติบโตมาข้างกายของผมกับเจินเจิน สำหรับเรื่องนี้ พวกเราต่างก็รู้สึกผิดมาก ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา ที่ให้พวกเราแก้ไขข้อผิดพลาดได้ทันเวลา”
“วันนี้เป็นวันเกิดของเสี่ยวอี๋ ผมในฐานะพ่อ มีของขวัญชิ้นหนึ่งจะมอบให้เธอ”
คุณฮันมองไปยังซูโย่วอี๋ด้วยรอยยิ้ม “มานี่สิลูก”
กระโปรงของซูโย่วอี๋นั้นยาวลากพื้น ทำให้เธอต้องเดินไปอย่างช้า ๆ
คุณฮันหยิบเอกสารชุดหนึ่งมาจากมือของผู้ช่วย “นี่คือเอกสารการโอนหุ้น”
“พ่อยินดีที่จะมอบหุ้นของฮันกรุ๊ปจำนวน 10% ให้กับลูก”
เหล่าแขกในงานต่างจับจ้องด้วยความตื่นตกใจ นี่มันเงินจำนวนมหาศาลเลยนะ!
ซูโย่วอี๋มีหุ้นของลู่กรุ๊ปอยู่แล้ว 20% ถ้ารวมกับของฮันกรุ๊ป…
มูลค่าของซูโย่วอี๋นั้นไม่สามารถคำนวณออกมาได้
ผู้คนต่างรู้กันดีว่าธุรกิจครอบครัวของตระกูลคนชั้นสูงจะถูกส่งต่อไปยังผู้ชายเป็นหลัก แม้ว่าผู้หญิงจะสามารถถือหุ้นไปได้ แต่ปกติแล้วอำนาจจะน้อยมาก
อีกทั้งจะให้ได้ก็ต่อเมื่อตอนที่แต่งงานออกจากบ้านไปเท่านั้น
ตอนวันเกิดของฮันเอินจีเธอได้รับหุ้นน้อยมาก เพียงแค่ 1% เท่านั้น
ถ้าเปรียบเทียบกัน ความแตกต่างของลูกแท้ ๆ กับลูกที่เลี้ยงมานั้นเด่นชัดขึ้นแล้ว
คุณฮันตั้งใจประกาศเรื่องการโอนหุ้นในค่ำคืนนี้ เพราะต้องการให้ทุกคนได้เห็นว่าตระกูลฮันให้ความสำคัญกับเธอมากแค่ไหน
แต่ในใจของซูโย่วอี๋กลับสับสนมาก ตั้งแต่ที่เธอกลับมาบ้านตระกูลฮัน เธอยังไม่เคยเรียกพวกเขาว่าพ่อกับแม่เลยสักครั้ง
แต่พวกเขากลับมอบทุกอย่างให้อย่างเธอหมดหัวใจทั้งโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
“พ่อ…”
ซูโย่วอี๋เรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงต่ำ ๆ
คุณฮันนิ่งไป “เสี่ยวอี๋ ลูกเรียกพ่อว่าอะไรนะ?”
ซูโย่วอี๋ก้าวออกมาหนึ่งก้าว พร้อมกับจับมือของเขา “พ่อคะ ขอบคุณนะคะ”
“นี่…”
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของคุณฮันดังไปทั่วทั้งงานเลี้ยง
ช่วงเวลาที่เหลือ คู่สามีภรรยาตระกูลฮันพาซูโย่วอี๋ไปพบกับแขกในงาน
ซูโย่วอี๋กวาดตามองผู้คนในงานอย่างใจเย็น แต่ไม่พบกับร่างของลู่เฉินเลย
คงไม่มาสินะ
คนที่ดึงดูดสายตาผู้คนอย่างเขา เดินไปทางไหนก็มีแต่คนมองตาม เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมองไม่เห็น
แต่ทันใดนั้นคุณฮันก็หยุดเดิน “คุณนายลู่อยู่นี่เอง”
ซูโย่วอี๋มองตามไป ถ้าไม่ใช่แม่ของลู่เฉินแล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ?
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ใบหน้าของหนิงเชิงไม่ได้มองเธออย่างเหยียดหยามและรังเกียจเลย “คุณฮัน ยินดีด้วยนะคะ”
สายตาของเธอจับจ้องไปยังซูโย่วอี๋ “เหมือนฉันกำลังมองคุณนายฮันตอนสมัยสาว ๆ อยู่เลยค่ะ”
“คุณหนูฮัน ฉันเคยดูคุณในรายการวาไรตี้มาก่อน คุณดูโดดเด่นมากเลยค่ะ”
ซูโย่วอี๋ประหลาดใจ “คุณเคยดูจริง ๆ เหรอคะ?”
หนิงเชิงขยับแก้วไวน์มาจิบ “แน่นอน คิดว่าพวกเราแก่แล้วจะไม่ดูรายการของพวกคนหนุ่มสาวงั้นเหรอ?”
“หืม… ไม่ใช่นะคะ”
“ฉันฟังเพลง [มิตรภาพสูงสุด] ของคุณตั้งหลายรอบ ทุกครั้งที่ฟังก็จะนึกถึงเรื่องราวดี ๆ ในอดีตตลอดเลย”
น้ำเสียงของเธอดูจริงใจ
ซูโย่วอี๋ไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไร
บางทีเพื่อการเข้าสังคม คุณนายลู่ก็เลยค้นหาข้อมูลของเธอมาก่อนเพื่อจะได้คุยกันอย่างสนิทใจ
หรือบางทีคุณนายลู่อาจจะชอบเพลงของเธอจริง ๆ…
นี่แสดงว่าระหว่างเราไม่มีข้อจำกัดในด้านสถานะแล้วใช่ไหม ในสายตาของคุณนายลู่ เธอก็คือหญิงสาวที่เหมาะสมคนหนึ่งเลย ใช่หรือเปล่า?
แต่เรื่องพวกนี้ไม่มีทางรู้ได้ ซูโย่วอี๋จึงทำได้เพียงขอบคุณกลับไป
หนิงเชิงและคุณฮันพูดคุยเรื่องงานกันสักพัก แต่จู่ ๆ หนิงเชิงก็ยิ้มขึ้นมา “พูดไปแล้ว ตระกูลลู่กับตระกูลฮันก็เคยหมั้นหมายกันมาก่อนนะคะ”
เมื่อก่อนตระกูลฮันมีเพียงฮันเอินจีเป็นลูกสาวคนเดียว แต่เพราะลู่เฉินแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้สนใจในตัวของฮันเอินจีเลย การหมั้นหมายนั้นจึงล้มเลิกไป
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ตอนนี้ตระกูลฮันมีซูโย่วอี๋
อีกทั้งเธอยังดูเป็นที่โปรดปรานมากกว่าฮันเอินจีเสียอีก
คุณฮันคิดทบทวนและคิดได้ว่าความคิดนี้ไม่เลวเลย
ลู่เฉินเป็นคนมีความสามารถ มีความเด็ดขาดและกล้าหาญ แม้จะชอบทำหน้าเย็นชา แต่หากเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ คนที่ไม่ได้เอาแต่พึ่งพาครอบครัวตัวเองเพื่อการงานอย่างลู่เฉิน ถือว่าเก่งมาก
คุณฮันพยักหน้า “คนหนุ่มสาวควรจะพูดคุยกันให้มาก ๆ”
พูดจบก็กลัวลูกสาวจะไม่พอใจ “แต่ก็ต้องดูความต้องการของลูกด้วย”
ซูโย่วอี๋เอาแต่เงียบ เป็นเพราะว่าเธอเองก็พูดอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ตอนนี้คุณนายฮันอยากจะแนะนำลู่เฉินให้เธออย่างงั้นเหรอ?
เธอหยิกตัวเองไปหนึ่งที นี่มันโลกในจิตนาการแน่ ๆ
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ก่อนที่หนิงเชิงจะจากไป เธอพูดอีกสิ่งหนึ่งที่มีความหมายมาก “โย่วอี๋ ฉันชอบเด็กคนนี้จัง”
พอได้พบกับคุณลุง คุณฮันอยากแนะนำเธอให้เพื่อน ๆ ของเขาได้รู้จัก แต่ซูโย่วอี๋อ้างไปว่าเหนื่อยและมาแอบอยู่ที่ห้องพัก
ในมุม ๆ หนึ่ง ฮันเอินจีมองฉากแสดงความรักของพ่อกับลูก เธอมองเจ้าหญิงซูโย่วอี๋ที่อยู่ข้างกายของคุณฮันที่ได้รับคำยินดีและคำชื่นชมจากทุกคน ทำให้เธอรู้สึกละอายใจตัวเอง
ทั้งหมดนี้มันเคยเป็นของเธอมาก่อน!
ฮันเอินจีไม่อยากจะสนใจด้วยซ้ำว่าเด็กในท้องของซูโย่วอี๋เป็นลูกของใคร เพราะเธอทนรับทุกอย่างมามากพอแล้ว
คนในตระกูลฮันจะมายุ่งเกี่ยวอะไรกับเธออีก ?
เธอแค่ปิดหูปิดตาและพูดกับตัวเองว่าอย่ามอง
ทำไมถึงต้องทำให้ตัวเองทรมานขนาดนี้ด้วยนะ?
เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้และอยากจะจากไป แต่ก็มีเสียงหนึ่งเรียกเธอเอาไว้ “เอินจี?”
“เธอใช่ไหม เอินจี”
ผู้หญิงคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาและจับมือเธอเอาไว้ “ที่แท้เธอก็มา ทำไมถึงไม่มาหาพวกเราล่ะ?”
“พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเราก็เป็นห่วงเธอมากเลยนะ”
ปากของผู้หญิงคนนี้บอกว่าเป็นห่วง แต่ความจริงก็เหมือนกับกำลังดูละครอยู่
แต่ตอนนี้ฮันเอินจีรู้สึกแย่มาก ทั้งที่เมื่อก่อนเธอมักไปเที่ยวเล่นกับคนพวกนี้เป็นประจำ ทำเป็นสนิทกันแต่ที่จริงทุกคนล้วนสวมหน้ากาก
พอตอนนี้ฮันเอินจีตกที่นั่งลำบาก แน่นอนว่าเธอต้องเสียใจในความยากลำบากของอีกฝ่าย
จึงได้แสดงทำเหมือนเป็นห่วงเป็นใย
ใบหน้าเย็นชาของฮันเอินจี “ฉันไม่เห็นเธอเลย”
หญิงสาวทำหน้าเสียใจ “ก็เธอยืนอยู่แต่ในมุมต้องมองไม่เห็นอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเธออยู่บนเวทีเหมือนโย่วอี๋ เธอก็คงจะเห็นผู้คนทั้งงานเลี้ยง”
“เธอสนิทกับโย่วอี๋ไหม? เคยคุยกับหล่อนสักคำหรือเปล่า?”
หญิงสาวคนนี้เริ่มไม่เกรงใจ “เอินจี ฉันกำลังพูดกับเธออยู่นะ เธอควรจะปรับปรุงตัวจริง ๆ เธอไม่เคยไว้หน้าใครเลย เมื่อก่อนทุกคนเห็นว่าเธอเป็นคนของตระกูลฮันเลยไม่กล้าว่าอะไร แต่ตอนนี้…”
“ฉันพูดก็เพราะหวังดี แต่เธอทำแบบนี้กับฉัน ฉันก็พอทนได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นเธอได้เดือดร้อนแน่ ๆ”
ฮันเอินจีผลักอีกฝ่ายล้มลงไปกับพื้น “พอได้แล้ว!”
“จะมัวเสแสร้งเพื่ออะไรกัน? ถ้ารู้สึกว่าฉันไม่เหมาะสมที่จะได้พูดคุยกับพวกเธองั้นก็ไม่ต้องมาคุยกับฉันสิ จะแกล้งทำเป็นคนดีทำไม น่าขยะแขยง”
เสียงของฮันเอินจีดึงดูดแขกที่อยู่รอบ ๆ คนในตระกูลฮันเองก็มองไปเช่นกัน
คุณนายฮันร้องเรียกออกมา “เอินจี”
เธอส่งสายตาให้พนักงานเข้าไปช่วยพยุงผู้หญิงที่ล้มลงไปขึ้นมา “ทำไมไม่ระวังเลย ล้มเลยเห็นไหม?”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผู้หญิงคนนี้ก็คงจะหาหนทางแก้ขายหน้าและอดทนเอาไว้
แต่วันนี้มันไม่ใช่ เธอชี้ไปยังฮันเอินจีและตะโกนขึ้น “คุณนายฮันคะ ฉันไม่ได้ล้มลงไปเอง เอินจีเป็นคนผลักฉัน”
“ฉันก็แค่เป็นห่วงเธอ แต่เธอกลับผลักฉันเพราะไม่พอใจ!”
คุณนายฮันถามขึ้นเสียงเข้ม “เอินจี เรื่องจริงหรือเปล่า?”
“ฉันผลักเธอเอง แล้วจะทำไมเหรอ?”
“ขอโทษซะ”
ฮันเอินจีมองไปยังคุณนายฮัน “ได้ไง? ทำไมฉันถึงต้องขอโทษคนเสแสร้งแบบนี้ด้วย?”
คุณนายฮันเริ่มปวดหัว คนมากมายกำลังมองอยู่ อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ก็ล้ม ไม่ว่าจะเป็นความผิดของใคร การขอโทษก็เป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ฮันเอินจีเงยหน้าถามขึ้น “ถ้าวันนี้คนที่ถูกรังแกเป็นซูโย่วอี๋ คุณจะให้เธอขอโทษไหม?”
“พวกคุณคิดว่าลูกสาวแสนดีของพวกคุณนั้นเป็นคนดีจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าลับหลังพวกคุณเธอทำอะไรไปบ้าง”
ยิ่งปล่อยให้เอินจีพูดสถานการณ์มันก็ยิ่งแย่ คุณฮันจึงลุกขึ้นมา “เอินจี พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว”
“ไม่ค่ะ ฉันต้องพูด ฉันเห็นเองกับตาว่าซูโย่วอี๋ไปซื้อโฟลาซินที่ร้านขายยา คนที่ไม่ได้แต่งงานและยังไม่ได้มีแฟนอย่างเธอจะซื้อโฟลาซินไปทำไม? ซื้อไปศึกษาส่วนผสมของยางั้นเหรอ?”
แขกในงานที่ฟังคำที่ฮันเอินจีพูดต่างก็คิดตามและเริ่มสงสัยขึ้นมา
ซูโย่วอี๋ที่ออกมาจากห้องพักได้ยินคำกล่าวหาของฮันเอินจีพอดี
เธอรู้ดีว่าที่ฮันเอินจีพูดนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เธอจะยอมรับไม่ได้ ไม่งั้นหน้าตาของตระกูลฮันก็คงจะตกต่ำลง
เพชรระยิบระยับบนชุดส่องประกายออกมา เธอก้าวเข้าไปหาฮันเอินจีทีละก้าวอย่างใจเย็น พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ฉันไปร้านขายยามาจริง ๆ แล้วก็ซื้อโฟลาซินมาด้วย”
ฮันเอินจีหรี่ตาลงและทำท่าทางเหมือนกับว่าฉันไม่ได้พูดอะไรผิด
“แต่ว่ายานั่นฉันซื้อไปให้หยินหยิน คุณหมอสั่งไว้ว่าให้เธอกินโฟลาซินทุกวัน”
เสียงของซูหยินดังขึ้นมาพอดี “ใช่ ฉันขี้เกียจไปซื้อ ซูโย่วอี๋เลยซื้อมาให้ฉันทุกครั้ง”
ฮันเอินจีเริ่มเชื่อมากขึ้น แต่ยังคงปากแข็งอยู่ “งั้นซูหยิน คุณบอกมาสิว่าซูโย่วอี๋ซื้อโฟลาซินยี่ห้อไหนให้คุณ?”
“อ้ายเย่เวย”
ซูหยินตอบกลับอย่างไม่ลังเล “โย่วอี๋ซื้อยี่ห้อนี้ให้ฉันทุกครั้ง”
ส่วนฮันเอินจีที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคือยี่ห้อไหน ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นผู้บริสุทธิ์
ถ้าซูหยินลังเลแม้สักนิด เธอก็คงจะพูดได้ว่าซูหยินโกหก
แต่ซูหยินกลับตอบกลับมาได้อย่างไม่ติดขัด
ผู้คนจึงไม่มีใครเชื่อเลยว่าซูโย่วอี๋จะท้องก่อนแต่ง ต่างพากันแยกย้ายไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ฮันเจ๋อหยางพาฮันเอินจีออกไป ส่วนคุณนายฮันหันไปขอโทษผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรเลย
บนทางเดิน ฮันเจ๋อหยางมองไปยังฮันเอินจีโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
เพราะไม่เจอกันตั้งหลายวัน ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับเธอดี “เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ฮันเอินจีไม่ตอบ เธอมองผ่านไหล่ของฮันเจ๋อหยางไปทางด้านหลัง
ฮันเจ๋อเหยียนยืนมองเธอด้วยสายตาเย็นชาอยู่ตรงนั้น
“เจ๋อหยาง นายออกไปซะ พี่มีเรื่องจะคุยกับเอินจี”