ตอนที่ 445 ลูกศิษย์คนนี้ซับซ้อน ยากจะอธิบายสั้นๆ ได้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 445 ลูกศิษย์คนนี้ซับซ้อน ยากจะอธิบายสั้นๆ ได้

ได้ยินว่าเจ้าสำนักศึกษาถังอาการปวดหัวกำเริบ ฉินหลิวซีก็รีบลุกขึ้นทันที แต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เป็นโรคปวดหัว ฉินหลิวซียกนิ้วมือนับนิ้วคำนวณโดยไม่รู้ตัว พอคิดคำนวณเสร็จ นางก็เลิกคิ้ว มองไปยังคนสนิทของเจ้าสำนักศึกษา ปรากฏสายตาที่แฝงไปด้วยความหมาย

เด็กรับใช้หลบสายตา รู้สึกใจฝ่อ ฝืนยิ้มให้สองครั้ง กลัวจนมือทั้งสองข้างที่จับขากางเกงเหงื่อออกชุ่ม

เจ้าสำนักศึกษาไม่คิดว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้ามีความสามารถทำอะไรได้บ้าง ยังจะให้เหตุผลเช่นนั้น

ฉินหลิวซีไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ ที่จริงเจ้าสำนักศึกษาถังเป็นคนขี้หงุดหงิดและขาดความมั่นใจ แน่นอนว่าเขารู้ถึงความสามารถของฉินหลิวซี เขาย่อมหลอกนางไม่ได้อยู่แล้ว ไม่รู้ว่านางจะยอมมาหรือไม่ ที่สำคัญกว่านั้นคือนางไปไหนมาไหนลึกลับซับซ้อน ไม่รู้เลยว่าจะอยู่ที่ร้านหรือไม่

โชคดีที่เขากังวลเกินเหตุไปสักหน่อย

เมื่อรู้ว่าฉินหลิวซีมาแล้ว เจ้าสำนักศึกษาถังก็ดีใจจนหน้าแดง สายตาปิติยินดี

เหยียนฉีซานเห็นสถานการณ์ยิ่งอยากรู้ ความรู้สึกนี้ของสหายสนิทยากจะควบคุมไว้ได้ ดูออกว่ามีสาเหตุจากการมาของลูกศิษย์คนที่ว่า

เขารู้จักนิสัยสหายคนนี้ดี แต่วันนี้เห็นเขาเป็นแบบนี้ เหยียนฉีซานยิ่งรู้ว่าเพื่อนคนนี้ชอบศิษย์ผู้นั้นของเขาจริงๆ

เจียงเหวินหลิวที่ปรนนิบัติอาจารย์อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสนใจมาก ผู้มีความสามารถแบบไหนกันถึงทำให้เจ้าสำนักศึกษาถังเอ็นดูได้เพียงนี้

“มาแล้ว”

เจ้าสำนักศึกษาถังมองออกไป ดวงตาเป็นประกาย

ข้างนอกหิมะตกอีกแล้ว มีคนคนหนึ่งถือร่มไม้ไผ่เดินเข้ามาในสวนของบ้าน หิมะตกลงบนร่มไม่ขาดสาย นางถือร่มค่อนข้างต่ำ ทำให้ปิดบังใบหน้าของนางจนเพียงเห็นเสี้ยวหน้าที่น่ามอง

นางสวมเสื้อคลุมบางๆ สีเขียวยาวถึงขา บนเสื้อคลุมปักอักษรที่อ่านไม่ออก ที่เอวใช้ผ้าคาดเอวสีน้ำเงินเข้มรัดไว้ ทำให้เอวยิ่งดูเล็กบาง บนผ้าคาดเอวแขวนเครื่องประดับชิ้นใหญ่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นน้ำเต้าหยก อีกชิ้นเป็นเครื่องรางหยก

ด้านหลังนางมีเด็กสองคนติดตามมา เป็นเด็กชายหนึ่งเด็กหญิงหนึ่ง คนที่โตกว่านั้นมือข้างหนึ่งถือร่ม อีกข้างจูงมือคนที่เล็กกว่าเอาไว้

ทันใดนั้น คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ค่อยๆ หงายร่มที่ถือไว้ออก ปรากฏให้เห็นใบหน้าของนาง ผิวขาว เส้นผมที่อ่อนนุ่มสีดำสนิทถูกรวมไว้แล้วปักด้วยปิ่นไม้ ดวงตาคู่นั้นมองผ่านหน้าต่างเข้ามายังพวกเขา ริมฝีปากสีแดงสดยกขึ้นเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าที่เย็นชาแข็งกระด้างดูนุ่มนวลขึ้นหลายเท่า

“นี่ นี่เป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่” ชั่วขณะนั้นเหยียนฉีซานมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง

เจียงเหวินหลิวแปลกใจเล็กน้อย “เป็นนาง?”

ใบหน้านี้ เขาเคยพบเห็นเมื่อวานที่ด้านนอกของจวนติง ในตอนนั้นเขานั่งอยู่ในรถม้าฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกอยู่ แม้ไม่ได้ลงจากรถแต่ได้ยินเสียงของฉินหลิวซี เขาจึงอดใจไม่ได้แอบมองผ่านหน้าต่างรถม้า มองพวกนางสองคนแม่ลูกเล่นละคร

“ฉยงจัง เจ้ารู้จักหรือ” เหยียนฉีซานมองลูกศิษย์ตัวเองอย่างประหลาดใจ

เจียงเหวินหลิวส่ายหน้า “ไม่กี่วันก่อนสหายบัณฑิตทำความรู้จักกันที่สถานศึกษาลี่ว์เฟิง อย่างที่ท่านอาจารย์ทราบ เมื่อวานข้าได้รับเชิญจากเจ้าเมืองติงให้ไปชมหิมะที่จวนของเขา”

เหยียนฉีซานพยักหน้า เขารู้เรื่องนี้จึงเอ่ยต่อ “เจ้าไปถึงแล้วรีบกลับมาไม่ใช่หรือ

“ท่านอาจารย์ยังไม่รู้เหตุผลที่ข้ารีบกลับ ตอนที่ไปถึงจวนติง ยังไม่ทันได้เข้าจวนก็เห็นนางกับมารดาแสดงละครอยู่ที่หน้าประตูจวน” เจียงเหวินหลิวเอ่ย

“ท่านอาจารย์ ท่านถัง ศิษย์ท่านผู้นี้ นางเป็นผู้หญิง นางคงจะเป็นหลานสาวของนักโทษฉินหยวนซาน” เจียงเหวินหลิวอธิบาย

เหยียนฉีซานท่าทางประหลาดใจ เขามองไปยังเจ้าสำนักศึกษาถัง “?”

ถึงแม้เขาจะพาลูกศิษย์ท่องเที่ยวเสาะแสวงหาความรู้ แต่ไม่พลาดข่าวคราวของราชสำนัก เขารู้ได้ทันทีว่าเป็นเรื่องที่บันทึกอยู่ในสำนักกวงลู่ เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมาขุนนางฉินหยวนซานกระทำความผิด ในตอนนั้นเขายังเคยถกกันกับเจียงเหวินหลิวครั้งหนึ่ง

ใช่แล้ว บ้านเดิมของฉินหยวนซานอยู่ที่เมืองหลี มณฑลหนิงโจว ครอบครัวของเขาถูกส่งกลับบ้านเกิด ดังนั้นไม่แปลกที่แม่นางผู้นี้จะเป็นหลานสาวของเขา เพียงแต่สหายสนิทรับหลานสาวของนักโทษเป็นลูกศิษย์งั้นหรือ

เจ้าสำนักศึกษาถังเอ่ย “ต้องโทษหรือไม่ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าถูกชะตากับแม่หนูผู้นี้ นางไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไป นางจากบ้านตั้งแต่ยังเล็กไปเป็นนักพรตหญิงอยู่ที่อารามเต๋า”

เหยียนฉีซาน “…”

ไม่ถูก เจ้าว่านางเป็นศิษย์ของเจ้า แต่กลับบอกว่านางเข้าลัทธิเต๋า หรือว่าเจ้าก็ออกบวชเป็นนักพรตอารามเต๋า?

เจ้าสำนักศึกษาถังกระแอมหนหนึ่ง เอ่ยว่า “เรื่องมันยาว ไว้ค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง” เขาไม่สามารถเอ่ยในตอนนี้ได้ ที่จริงพวกเขาทั้งสองคนไม่ถือว่าเป็นศิษย์อาจารย์กันอย่างแท้จริง นี่เป็นสิ่งที่เขากล่าวออกมาเองไม่ใช่หรือ

เจ้าสำนักศึกษาถังแม้จะอยากรู้ว่านางกับมารดาไปเล่นละครอะไรกันที่จวนตระกูลติง แต่กลับไม่มีโอกาสถามเพราะนางเดินเข้ามาแล้ว

ฉินหลิวซีเดินผ่านเข้าประตูมา มองไปทางคนแปลกหน้าทั้งสองก่อน นางเห็นเจียงเหวินหลิว ตัวเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังมงคล ช่างบังเอิญนัก

นางก้าวมาด้านหน้าคารวะเจ้าสำนักศึกษาถัง

เจ้าสำนักศึกษาถังรับการคารวะด้วยเสียงหัวเราะ แล้วแนะนำเหยียนฉีซานและเจียงเหวินหลิวให้นางรู้จัก

ต่างคนต่างแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน เจ้าสำนักศึกษาถังมองไปยังเถิงเจาและเด็กหญิงด้วยความสนใจ “ได้ยินจากหมิงฉุนว่าเจ้ารับศิษย์สองคน เป็นพวกเขางั้นหรือ”

ฉินหลิวซีพยักหน้าตอบ แล้วให้พวกเขาก้าวมาข้างหน้าคารวะผู้ใหญ่สองสามคนในห้อง

เจ้าสำนักศึกษาถังไม่ได้เตรียมของขวัญแรกพบเอาไว้ แต่ที่นี่เป็นที่พักอาศัยของเขา จึงให้หยกแขวนประดับกับแท่นหมึกคนละชิ้นแก่เด็กทั้งสอง

เหยียนฉีซานยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมาเลย ได้แต่ปลดหยกแขวนที่ติดตัวกับแหวนหยกวงใหญ่สำหรับสวมนิ้วหัวแม่มือ เขามีของประดับติดตัวไม่มาก รู้สึกเก้อเขิน

“ให้ถุงผ้าเล็กๆ ก็ได้เจ้าค่ะ” ฉินหลิวซียิ้ม

เหยียนฉีซาน “…”

เขายังเอาถุงผ้าใส่เศษเงินที่พกติดตัวส่งให้ ฉินหลิวซีรับมาอย่างไม่เกรงใจนางเป็นคนติดดินนี่

เจียงเหวินหลิวขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่านางไม่ใช่คนเห็นแก่เงินทอง หรือว่าตัวเองจะมองผิดไป?

เหยียนฉีซานมองไปทางเถิงเจา พอสังเกตดูให้ดีเขาตกตะลึงไปชั่วขณะ “เด็กคนนี้ ดูคุ้นหน้าคุ้นตา เหล่าถัง เจ้าดูสิ”

เจ้าสำนักศึกษาถังได้ฟังก็เข้าไปมองใกล้ๆ “เถิงเทียนฮั่นน้อย?”

“เป็นเขา ดูคล้ายเถิงอวิ๋นหยามากใช่หรือไม่” เหยียนฉีซานตบเข่าดังฉาด ร้องว่าลูกชายเถิงเทียนฮั่น

เจียงเหวินหลิวมองแล้วมองอีก เป็นคนตระกูลเถิงงั้นหรือ

“สาวน้อย เด็กคนนี้หรือว่าจะเป็น?” เจ้าสำนักศึกษาถังมองไปยังฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีพยักหน้า “ใช่ ข้าลักพาเขาจากใต้เท้าเถิงมาเป็นศิษย์เอก”

ทุกคนในที่นั้น “…”

ลักพามาหรือ เหยียนฉีซานมองไปทางสหายสนิท ลูกศิษย์ที่เจ้าว่าช่างซับซ้อนจริงๆ

เขาคิดถึงเถิงเทียนฮั่นขึ้นมา จึงถาม “ข้าจำได้ว่า เถิงอวิ๋นหยามีลูกชายคนนี้คนเดียว นางหักใจยอมให้ลูกชายเป็นนักพรตได้อย่างไร”

เถิงเทียนฮั่น พูดไม่ได้ พอพูดแล้วน้ำตาจะไหลออกมาจากตาทั้งสองข้าง

ฉินหลิวซีเอ่ยตอบอย่างภูมิใจ “แน่นอนว่าอาศัยวาจาเฉียบคมดังเครื่องดนตรีของข้าล่อลวงเขามา ไม่ถูกสิ เพราะความสามารถที่เหนือชั้นของข้าเจ้าค่ะ”

เจียงเหวินหลิวมองนางอย่างลึกซึ้ง วาจาเฉียบคมดังเครื่องดนตรี นางเอ่ยอย่างกับว่าเป็นคำพูดที่เหมาะสม แต่นางพูดจาเฉียบคมดังว่า เมื่อวานเขาได้เห็นมากับตาแล้ว

“ยิ่งกว่านั้น ใต้เท้าเถิงไม่ได้มีบุตรชายเพียงคนเดียว ในช่วงปีใหม่เขาแต่งงานใหม่หลังจากภรรยาตายไป อีกไม่นานจะมีสมาชิกครอบครัวเพิ่ม” ฉินหลิวซีเอ่ย “หากพวกท่านกลับถึงเมืองหลวงเร็วสักหน่อย บางทีอาจจะทันได้ดื่มเหล้าฉลอง”

เรื่องนี้ นางไม่ได้เอ่ยส่งเดช แต่มองหน้าเจาเจาก็ดูออก ดวงชะตาเขา ตำแหน่งบิดามารดากลับมามีความอุดมสมบูรณ์เปล่งปลั่ง เป็นหลักฐานว่าตำแหน่งมารดาที่ว่างอยู่นั้นมีคนมาแทนที่แล้ว แม่เลี้ยงอย่างไรก็เป็นมารดา

เอ่ยต่อหน้าลูกศิษย์ว่าบิดาของเขาจะแต่งงานใหม่เช่นนั้นจะดีหรือ

แต่ว่าเถิงเจานั้นมีสายตานิ่งสงบ จิตใจไม่วอกแวก ค่อยๆ ท่องบทสวดมนต์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่เรียนมาใหม่ ดูเหมือนว่าใครก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาไม่ให้เข้าสู่เส้นทางเต๋าได้