บทที่ 287 ก่อเรื่อง
บทที่ 287 ก่อเรื่อง
หลังจากที่ฝูลี่พาอาจื้อกลับมา นางก็ถอยออกไปอย่างรู้งานทันที หมายให้พื้นที่แก่ครอบครัวของพวกเขา
เด็กชายตัวน้อยยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเหยาซูในวันนี้ แค่ดีใจที่ผู้เป็นแม่พาน้องชายและน้องสาวกลับมา จึงพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านแม่! ประเดี๋ยวท่านลองชิมลูกชิ้นทอดในจวนของปู่เซี่ยนะขอรับ มันทั้งสดใหม่และอร่อยมากเชียวละ!”
เหยาซูยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับลูบศีรษะของลูกชาย ก่อนจะพยักหน้าพลางพูดว่า “เยี่ยม ประเดี๋ยวแม่จะชิม”
อาจื้อเงยหน้าขึ้นมองหลินเหรา แล้วค่อยมองเหยาซูอีกครั้ง ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก
คืนนี้เซี่ยเชียนยังไม่กลับจวน เหยาซูจึงทำได้แค่ต้องยกเลิกความคิดที่จะไปทักทายเขา
คนรับใช้ในจวนเซี่ยยกอาหารเข้ามาในลานขนาดเล็กแห่งนี้ เหยาเฉาเองก็ตามหลินเหราและคนอื่นมากินข้าวด้วยกัน มีเพียงแต่อาซือและซานเป่ายังคงหลับใหล
อาจื้อไม่เข้าใจ “น้องชายกับน้องสาวเป็นอะไรไปหรือ? ไม่ต้องเรียกเอ้อเป่ามากินข้าวหน่อยหรือขอรับ?”
เหล่าผู้ใหญ่คิดจะปิดบังเขา เหยาซูจึงพูดแค่ว่า “วันนี้น้องชายและน้องสาวของเจ้าเหนื่อยมาก ให้พวกเขานอนหลับเสียหน่อยเถอะ”
หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเสร็จแล้ว ก็พูดคุยถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ของกันและกันอยู่ในลานบ้าน รอกระทั่งดวงจันทร์ไต่ระดับขึ้นเหนือยอดหลิว เหยาเฉาจึงกลับห้องรับรองของตัวเอง
ไม่มีใครพูดสิ่งใดตลอดทั้งคืน
เช้าตรู่วันต่อมา เหยาซูยังคงนึกถึงเรื่องเมื่อวาน หลังจากที่เด็ก ๆ ตื่นนอนกันแล้ว นางได้ปรึกษากับหลินเหราว่าจะไปจวนตรวจการเมืองหลวงสักครั้ง
อาซือไม่รู้เรื่องกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คิดแค่ว่าตัวเองคงเหนื่อยเกินไป ดังนั้นจึงหลับไปนาน ตอนนี้นางกำลังเย้าหยอกน้องชายกับอาจื้ออยู่ในลานบ้านอย่างมีความสุข
เหยาซูเห็นพวกเด็ก ๆ ไร้ความกังวลใด ๆ จึงพูดเสียงต่ำกับหลินเหราว่า “เรื่องเมื่อวาน คิด ๆ ตอนนี้ ข้าก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ ถ้าเอ้อเป่าและซานเป่าเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ ละก็…”
นางไม่พูดสิ่งใดต่อจากนั้น
หลินเหราแตะศีรษะของเหยาซูเพื่อปลอบโยน พลางพูดกับนางว่า “ไม่มีทาง อาซู เจ้าทำดีที่สุดแล้ว เจ้าปกป้องลูกของเรา”
เหยาซูรู้สึกปลอดภัยมากยามที่มีหลินเหราอยู่ข้างกาย แต่เรื่องเมื่อวานจนถึงตอนนี้นางยังคงพะว้าพะวงกับมือมืดที่บงการอยู่เบื้องหลัง
“ได้ยินว่าเมื่อวานพี่รองไปจวนตรวจการเมืองหลวงมาแล้วหนึ่งรอบ? เขาได้อะไรบ้าง?”
เหยาเฉากลับมาถึงในตอนเช้าตรู่ เหยียบย่ำอยู่บนน้ำค้างยามรุ่งสาง เขาพูดคุยกับหลินเหราครู่หนึ่ง เพียงแต่ตอนนั้นเหยาซูและเด็ก ๆ กำลังหลับไหลจึงไม่ได้ยินสิ่งใด
หลินเหราชำเลืองมองเหยาซูแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “คนที่ตายผู้นั้นได้รับการตรวจสอบแล้ว เป็นปลาที่ติดร่างแหของหน่วยคุ้มกันฉางเฟิง”
เหยาซูยิ้มเย็นเยือก คิดในใจว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับตู้เหิงอย่างดิ้นไม่หลุดแน่
เพียงแต่นางไม่สามารถบอกหลินเหราได้ว่าตัวเองรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตู้เหิงและหน่วยคุ้มกันฉางเฟิง ทำได้แค่ชี้แนะให้เขา “ก่อนหน้านั้นแม่นางตู้เคยเกิดเรื่องเสี่ยงตายในเมืองชิงถงมาแล้ว อาจจะมีความสัมพันธ์กับหน่วยคุ้มกันนี้ก็เป็นได้?”
หลินเหราพยักหน้า โดยไม่พูดสิ่งใด
เหยาซูมองไปทางเขาแวบหนึ่ง และเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป? จู่ ๆ ก็เงียบเสียอย่างนั้น”
คิ้วรูปดาบที่ขับให้ดูหล่อเหลาของชายหนุ่มได้ขมวดเข้าหากัน เหมือนกับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรก็มิปาน สุดท้ายก็พูดอย่างลังเลว่า “อาซู เมื่อวานเจ้าเพิ่งพูดไม่ใช่หรือ ว่าไม่ให้ข้าไปมาหาสู่กับนาง…”
เหยาซูไม่ตอบ ตรงกันข้ามกลับถามว่า “ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางจริง ๆ ท่านจะทำอย่างไร?”
หลินเหราพูดน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “ต้องสร้างปัญหาให้นางแน่นอน”
เหยาซูยิ้มพลางพูดว่า “แค่นั้นก็จบแล้วหรือ? ข้าไม่ให้ท่านติดต่อเป็นการส่วนตัวกับนาง แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ท่านมีความแค้นกับนาง!”
หลินเหรามองเหยาซูด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของนาง
เป็นศัตรูกับแม่นางตู้ได้ แต่เป็นสหายไม่ได้? ความหึงหวงของอาซูช่างน่าสนใจยิ่งนัก
ชายหนุ่มพยักหน้าพลางพูดว่า “พี่รองเฝ้าอยู่ในจวนตรวจการตลอดเช้าวันนี้ เขาได้ส่งคนไปยังจวนตู้แล้ว ถึงตอนนั้นก็อาจจะได้ข้อสรุป”
พี่รองให้คนไปเรียกตัวตู้เหิงออกมาแล้วจริง ๆ หรือ?
เหยาซูตื่นเต้นในใจ จากนั้นก็โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ พลางพูดว่า “ข้าก็อยากไปด้วย”
ความจริงแล้วหลินเหราไม่อยากให้เหยาซูไป
เหยาซูเข้าใจความคิดของเขา จึงยืนกรานว่า “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ๆ ข้าจะต้องสืบหาความจริงมาให้จงได้”
หลินเหราไม่ได้เซ้าซี้ต่อ และทำได้แต่พยักหน้า
ทั้งสองคนเล่นเป็นเพื่อนพวกเด็ก ๆ ครู่หนึ่ง รอจนเหยาเฉาส่งคนมาเรียก จึงออกไปด้วยกัน
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนตรวจการ เหยาเฉาเห็นเหยาซูเป็นคนแรก หัวคิ้วจึงขมวดเข้าหากัน พลางพูดกับหลินเหราเสียงต่ำว่า “เจ้ามาได้นะ เหตุใดต้องพาอาซูมาด้วย?”
ไม่ทันรอให้หลินเหราเอ่ยปาก เหยาซูก็พูดว่า “พี่รอง ข้าต้องมาอยู่แล้ว”
ใบหน้าของเหยาเฉาดูละมุนละไมราวกับหยก เวลานี้ได้แสดงสีหน้าที่ไม่พอใจเพราะเหยาซูตามมาด้วย จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “เหลวไหล! หญิงสาวเข้าออกจวนตรวจการ มันจะมีชื่อเสียงที่ดีได้อย่างไร?”
เหยาซูยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้าและพูดว่า “พี่รอง พี่ก็รู้ ข้าเคยชินกับการไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ในเมื่อคดีความนี้เกี่ยวกับเอ้อเป่าและซานเป่า ข้าก็ต้องเข้ามาแทรกแซงอยู่แล้ว”
ครั้นเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของน้องสาว เหยาเฉาก็รู้ทันทีว่าตัวเองไม่มีทางโน้มน้าวให้นางกลับไปได้ จึงทำได้แค่เบิกตากว้างมองน้องเขย
เขาพาทั้งสองเข้าไปในจวนตรวจการ
เหยาเฉาเดินไปพลางพูดกับหลินเหราและเหยาซูไปพลาง “เมื่อครู่ข้าเรียกแม่นางตู้มาแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่กับข้าหลวง ถึงอย่างไรนางก็เป็นคุณหนูของเจ้ากรมอาลักษณ์ เอาแต่ใจไม่น้อย ประเดี๋ยวเข้าไปก็อย่าพูดมั่วซั่วแล้วกัน”
เหยาซูรู้ว่าเขาตั้งใจเตือนตัวเอง จึงพูดว่า “พี่รองวางใจเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว”
นางไม่ใช่คนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ต่อให้ในใจจะระแวดระวังตู้เหิงมากเพียงใด แต่สีหน้าก็ยังอ่อนโยนเช่นเดิม
นางเชื่อว่าตู้เหิงยังคงเป็นเช่นนี้
เมื่อเข้ามาในห้องโถงกลาง ก็เห็นข้าหลวงในจวนตรวจการแต่งกายด้วยชุดว่าราชการเต็มยศ นั่งตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะแปดเซียน กำลังพูดคุยอยู่กับตู้เหิง
วันนี้ใบหน้าของนางไม่ได้ปกปิดด้วยผ้าคลุมแต่อย่างใด การพูดการจากลับน้อยลง สีหน้างดงามอ่อนโยนดูเย็นเยือกเล็กน้อย
ครั้นเห็นสามีภรรยาหลินเหรา ตู้เหิงก็ทำได้แค่พยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้คลี่ยิ้มดังเช่นทุกคราว
กลับเป็นข้าหลวงที่ยืนขึ้น และกล่าวต้อนรับ “ใต้เท้าเหยา ท่านนี้คือใต้เท้าหลินใช่หรือไม่? แล้วก็ฮูหยินหลิน?”
หลินเหราและเหยาซูทำความเคารพอย่างสุภาพ เหยาเฉาจึงยิ้มพลางพูดว่า “ใต้เท้าอาจจะไม่ทราบ ข้าและอาเหรานอกจากจะเป็นพี่น้องทหารกันแล้ว ยังเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันจากการแต่งงานด้วย นี่คือน้องสาวคนเล็ก”
เหยาซูยิ้มพลางพยักหน้าให้แก่ข้าหลวง
เขาเป็นขุนนางที่มีรายได้สูงในศาลาว่าการเมืองหลวง ดำรงตำแหน่งมานานหลายปีแล้ว ข้าหลวงจึงมีประสบการณ์ในการอ่านสายตาคน
เขาชำเลืองมองท่าทางใจกว้างของเหยาซู จึงได้แต่พยักหน้าเงียบ ๆ ในใจ
ช่างไม่เหมือนกับที่แม่นางตู้กล่าวไว้เมื่อครู่เลย?
เดิมทีฮูหยินของหลินเหราจากคำกล่าวก่อนหน้านี้เป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป บัดนี้ยามได้ยืนอยู่กับหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ของเมืองหลวง กลับไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน
เขายิ้มพลางกล่าวชื่นชม “เรื่องที่เกิดขึ้นในศาลเจ้าหลักเมืองนั้นอันตรายมาก ฮูหยินหลินเป็นผู้กล้าในหมู่สตรียิ่งนัก ข้าน้อยก็ยังอดชื่นชมไม่ได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหยาซูนั้นดูใจกว้างและอบอุ่น นางเอ่ยตอบอย่างอบอุ่นว่า “ข้าหลวงก็ชมเกินไป”
ข้าหลวงสวีนั้นฉลาดหลักแหลมไม่น้อย ยามที่พูดคุยกับตู้เหิง เขาได้สังเกตเห็นความเป็นศัตรูต่อฮูหยินของหลินเหราแฝงอยู่ในคำพูดของนาง
เขายิ้มตาหยีพลางกล่าวทักทายตู้เหิง “แม่นางตู้ ในเมื่อรู้จักกันแล้ว ข้าคงไม่ต้องแนะนำแล้วกระมัง?”
ตู้เหิงเผยอปากพูดเล็กน้อย “ไม่จำเป็น”
ถ้าเป็นในอดีต ตามหลักมารยาทแล้วเหยาซูก็คงต้องกล่าวทักทายตู้เหิง
เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในศาลเจ้าหลักเมืองทำให้นางยังนึกรังเกียจตู้เหิงอย่างสุดหัวใจ กระทั่งมองก็ยังไม่อยากมองแม้แต่เสี้ยวครู่เดียว
ในใจของหลินเหรายังคงเป็นห่วงเหยาซูตั้งแต่ตอนนั้นจวบจนตอนนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของนาง
ชายหนุ่มยิงประเด็น ด้วยการพูดกับข้าหลวงว่า “ใต้เท้าสวี ไม่ทราบว่าคดีความนี้มีความคืบหน้าบ้างหรือไม่?”
ข้าหลวงสวีมองไปทางเหยาเฉาแวบหนึ่ง แล้วยิ้มเล็กน้อย “ใต้เท้าเหยาให้ข้าน้อยส่งคนไปเชิญแม่นางตู้ บัดนี้ได้เชิญมาถึงที่แล้ว ส่วนความคืบหน้านั้น…ต้องให้ใต้เท้าทั้งสองคนช่วยกันดูอีกแรง”
เขากล่าวทักทายอีกครั้ง “เชิญทุกท่านนั่งลงเถิด นั่งลงแล้วค่อยคุยกัน”
เหยาซูนั่งข้างกายหลินเหรา ยามที่ปรายตามองก็สบเข้ากับสายตาที่ตู้เหิงมองมาพอดี
ความเย็นชาเผยออกมาอย่างไม่ปิดบังในดวงตาคู่นั้น
เหยาซูเลิกคิ้วสูงอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่น
ในที่สุดก็ไม่เสแสร้งทำตัวเป็นคนดีแล้วสินะ? นางละอยากจะกระชากหน้ากากของตู้เหิงให้รู้แล้วรู้รอดเสียจริง!
…………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
รุมกระชากหนังหน้านังตู้ออกมาเลยค่ะ หมั่นไส้ ทำตัวเป็นดอกบัวขาว ที่แท้ก็ดอกบัวผุด
ไหหม่า(海馬)