ตอนที่ 286 โดนแกล้งคืน

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 286 โดนแกล้งคืน

เจียงโม่หานก้มหน้ามองแอปเปิลในมือ จากนั้นก็เหลือบมองผลที่อยู่ในมือนาง ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน ! ทันใดนั้นเด็กน้อยก็เอื้อมมาจับข้อมือของเขาแล้วดึงให้เข้าไปข้างริมฝีปากนาง จากนั้นนางก็กัดแอปเปิลที่โดนเขากัดแล้วคำใหญ่ ทั้งยังทำท่าทางเหมือนจิ้งจอกน้อยแอบขโมยองุ่น นางฉีกยิ้มอย่างได้ใจและเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ “เป็นอย่างที่คิดว่าแอปเปิลของบัณฑิตน้อยอร่อยกว่าจริง ๆ ! ”

เจียงโม่หานมองรอยกัดแอปเปิลในมือ ใบหน้าหล่อเหลายังไม่แสดงความรู้สึกแต่อย่างใด ทว่าถ้ามองให้ดีแล้วใบหูของเขากำลังมีสีแดงระเรื่อ ต่อจากนั้นเขาก็ยกแอปเปิลขึ้นกัด เมื่อเคี้ยวเสร็จแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย “อืม อร่อยมากจริง ๆ ! ”

เดิมทีหลินเว่ยเว่ยคิดจะกลั่นแกล้งบัณฑิตน้อย คาดไม่ถึงว่าตนจะโดนแกล้งคืน…บัณฑิตน้อยโดนนางกลั่นแกล้งจนตอบโต้ได้เก่งขึ้นทุกวัน !

นางยกยิ้มมุมปากแล้วพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย จากนั้นก็จับแขนของเขาเอาไว้แล้วกัดแอปเปิลในมือเขาอีกครั้ง “ของดี ต้องแบ่งให้คู่หมั้น…อื้อ อร่อย ! ”

ตอนที่นางเฝิงเดินเข้ามาก็เห็นเด็กสองคนนี้กำลังแบ่งกันกินแอปเปิล แต่แล้วก็เกิดฉากเด็ดที่ทั้งสองต้องแย่งชิงคำสุดท้ายกันเกิดขึ้น

“แอปเปิลในห้องใต้ดินมีมากมาย อยากกินอีกก็เอามาล้างใหม่สิ ! หานเอ๋อร์ เจ้าก็ยอมให้เสี่ยวเว่ยหน่อย นางเป็นผู้หญิง…” ถ้อยคำของนางเฝิงหยุดลงกะทันหันเพราะเห็นหลินเว่ยเว่ยชิงกัดกินแอปเปิลคำสุดท้ายได้ ที่แท้ไม่ใช่เพราะขาดแคลนแอปเปิล แต่เพราะแย่งกินมักอร่อยกว่า…ปิดประเด็น !

เจียงโม่หานยอมให้คู่หมั้นกินแอปเปิลคำสุดท้ายในมือ แล้วเขาก็เอาแอปเปิลของหลินเว่ยเว่ยมาถือไว้เพื่อเริ่มกัดกินจนหมด ก่อนจะหันหลังออกไปเพื่อตรวจบทความของหลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยน

หลินเว่ยเว่ยแอบหัวเราะลับหลังเขา…บัณฑิตน้อยมีสองบุคลิก ตอนอยู่ด้วยกันสองคน เขากล้ากลั่นแกล้งนางจนหน้าแดงหูแดง แต่พออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่แล้วก็กลับไปสวมภาพลักษณ์ของบัณฑิตจอมเย็นชา…ช่าง…น่ารักเกินไปแล้ว !

ในตอนเย็น ลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดมาตลอดทั้งคืน อากาศที่เคยอบอุ่นลดลงอีกครั้ง หลังจากโดนปลุกให้ตื่นเพราะความหนาวเหน็บ หลินเว่ยเว่ยก็รีบสวมเสื้อกันหนาวแล้วออกมาที่ลานบ้าน ทันใดนั้นนางก็เห็นตะเกียงในบ้านหลักถูกจุด นางเข้าไปช่วยพี่สาวก่อไฟแล้วยังไปเคาะประตูห้องหลินจื่อเหยียนเพื่อเรียกให้มาช่วยกันก่อไฟ

ในเวลานี้นางได้ยินเสียงตีฆ้องดังขึ้นจากในหมู่บ้านและเหมือนจะตามมาด้วยเสียงของวังต้าจู้บุตรชายคนโตของผู้ใหญ่บ้าน เขาตะโกนให้แต่ละบ้านลุกขึ้นมาก่อไฟ ในปีก่อนคนแก่และผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอจำนวนมากต้องแข็งตายเพราะลมหวานที่พัดเข้ามาโดยกะทันหัน

หลินเว่ยเว่ยมองกำแพงของบ้านหลังข้าง ๆ ปราดหนึ่งแล้วย้ายบันไดมาปีนขึ้นกำแพง แต่ทันใดนั้นนางก็ได้สบตากับเจียงโม่หานที่อยู่ตรงลานบ้านพอดี บัณฑิตหนุ่มกำลังใส่เสื้อคลุมขนจิ้งจอก ริมฝีปากอมชมพูอ่อน เสื้อคลุมพัดไปตามแรงลมทำให้เกิดความงามแสนเปราะบางราวกับเซียนตกสวรรค์…

“ลมแรงเช่นนี้เจ้ามัวยืนตกตะลึงอันใดอยู่ตรงกำแพง ? ก่อไฟแล้วหรือยัง ? ” เจียงโม่หานมองศีรษะน้อย ๆ เหนือกำแพง…เด็กโง่ !

หลินเว่ยเว่ยกะพริบตาพร้อมฉีกยิ้ม จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุข “ท่านแม่กับต้าฮว๋าก่อไฟในบ้านแล้ว…เจ้าอยากให้ข้าช่วยหรือไม่ ? ”

“ข้าไม่ได้อ่อนแอจนก่อไฟไม่เป็นเสียหน่อย…” เสียงของเขาเพิ่งเงียบลง ทางห้องปีกตะวันตกก็มีเสียงไอดังขึ้นพร้อมควันที่พวยพุ่งออกมาทางประตู

“ฮ่าฮ่า ! ยังมีคนที่จุดไฟไม่เป็นอยู่อีกหนึ่ง ! ” หลินเว่ยเว่ยหัวเราะจนตัวงอ เจียงโม่หานกลัวนางจะพลาดตกจากบันไดจริง ๆ ต่อจากนั้นนางก็พูดกับเผิงหยูเหยี่ยนว่า “พี่เขย ท่านคิดจะเผาบ้านด้วยหรือ ? ”

ใบหน้าดำคล้ำของเผิงหยูเหยี่ยนเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง “ก็ข้าเห็นบ่าวรับใช้ก่อเช่นนี้…”

เจียงโม่หานหันมาพูดกับหลินเว่ยเว่ย “ข้าจะไปช่วยเขา ส่วนเจ้ารีบกลับเข้าห้องได้แล้ว ลมแรงเช่นนี้ไม่รู้จักใส่เสื้อผ้าให้หนาเสียบ้าง ! ”

“พี่รอง ท่านแม่บอกว่าเตียงในห้องกว้างขวาง ให้ท่านอย่าฝืนอยู่คนเดียว คืนนี้มานอนกับพวกเรา…” เสียงของเจ้าหนูน้อยที่ดังออกมาจากหน้าต่างบ้านหลักถูกลมพัดขาดเป็นช่วง

หลินเว่ยเว่ยจึงขานรับแล้วหันมาถามเจียงโม่หานอีกครั้ง “เจ้าสองคนทำได้จริงหรือ ? ”

“อืม…” เจียงโม่หานพยักหน้า “ข้าจะไปช่วยศิษย์พี่เผิงก่อไฟ เจ้าเข้าไปเถิด เดี๋ยวจะไม่สบาย ! ”

หลินเว่ยเว่ยส่งจูบให้เขา จากนั้นก็เดินลงบันได ส่วนเจียงโม่หานคลี่ยิ้ม ผ่านไปไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงอันทรงพลังของเด็กน้อยดังมาจากข้างบ้านอีกรอบ “น้องสี่ เจ้าคงไม่ทำน้ำท่วมภูเขาในคืนนี้ใช่หรือไม่ ? ”

ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงของเจ้าหนูน้อยเถียงกลับ “ข้าไม่ได้ฉี่รดที่นอนตั้งแต่อายุสามขวบแล้ว ! ถ้าไม่เชื่อ ท่านก็ถามท่านแม่สิ ! ”

หลินเว่ยเว่ยทำเสียงดังขึ้นมา “ไอหยา ! น้องสี่ ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน เจ้าดูท่านแม่ พี่ใหญ่และข้าก็ล้วนเป็นผู้หญิงกันหมด เด็กผู้ชายอย่างเจ้ามานอนร่วมเตียงเดียวกับพวกข้า มันดูไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง ? ”

เจ้าหนูน้อยทำเสียงอึกอักอยู่นานกว่าจะกล่าวว่า “ชายหญิงอายุเจ็ดขวบแล้วถึงเว้นระยะห่าง ข้าเพิ่งอายุหกขวบ ยังเป็นเด็กน้อยอยู่ ! ”

“ไอหยา เด็กน้อย ยังกินนมอยู่หรือไม่ ? มาสิเด็กน้อย ให้พี่สาวอุ้มหน่อย…” เสียงหยอกล้อของหลินเว่ยเว่ยทำให้เจียงโม่หานอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า เด็กทะเล้น แกล้งคนอื่นเก่งยิ่งนัก !

เจ้าหนูน้อยเริ่มเขินอายทันที เขารีบวิ่งเข้าไปซ่อนข้างกายนางหวง “ท่านแม่ขอรับ ท่านดูพี่รองสิ ! ท่านจะไม่สั่งสอนนางบ้างหรือ ! ”

นางหวงยิ้มให้พวกเด็กๆ อย่างอ่อนโยน จากนั้นก็นำตัวเจ้าหนูน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “พอแล้ว เลิกแกล้งกันได้แล้ว ! ระวังพรุ่งนี้จะกลายเป็นแพนด้า ! ”

แพนด้าคือสัตว์ชนิดใด แม้ว่านางหวงจะไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าตอนที่บุตรสาวคนรองวาดให้บุตรชายคนเล็กดู นางแอบมองครู่หนึ่ง…ตัวอวบอ้วน ท่าทางไร้เดียงสา แต่ที่ดูสะดุดตาที่สุดคือดวงตาสีดำคู่นั้น บุตรสาวคนรองเคยใช้ตาแพนด้าแกล้งคนอื่น นางจึงสามารถจดจำได้

หลังก่อไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแล้วร่างกายยังถูกคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนา หลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกสบายจนกลิ้งไปมาบนเตียง นางและพี่สาวใช้ผ้าห่มผืนเดียวกัน พอกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วผ้าห่มจึงไปพันอยู่ที่ตัวเองคนเดียว

บุตรสาวคนโตพยายามแย่งคืนพร้อมกล่าวด้วยความหงุดหงิด “เจ้าจะนอนหรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยพลิกตัว ทันใดนั้นต้นขาก็ไปอยู่บนตัวพี่สาว “นอนสิ…ง่วงจะตายอยู่แล้ว ! ”

“ออกไป ! เหมือนหมูไม่มีผิด หนักจะตายอยู่แล้ว ! ” บุตรสาวคนโตพยายามผลักตัวอีกฝ่ายออก แต่เพราะเรี่ยวแรงแตกต่างกันมากเกินไป จึงทำให้นางต้องเสียแรงเปล่า

ขณะที่พี่สาวกำลังหอบหายใจจนทั่วตัวแทบจะระเบิดออกมา หลินเว่ยเว่ยก็บิดเอวด้วยความเกียจคร้านแล้วชักขากลับไป “เจ้าเห็นหมูมีขาเรียวยาวเช่นนี้หรือ ? หมูบ้านใครจะขายาวถึงเพียงนี้ ? ”

บุตรสาวคนโตเหลือบมอง “เมื่อก่อนไม่เคยเห็น แต่ตอนนี้ก็ได้เห็นแล้วไม่ใช่หรือ ? ” หลังกล่าวจบ นางก็หันหลังให้คล้ายว่าพอเห็นหน้าน้องสาวแล้วจะฝันร้าย

หลินเว่ยเว่ยเค้นเสียง ชิ “เก่งแล้วสิท่า ! ถึงขั้นกล้ามีเรื่องกับข้า ! ”

ขณะฟังเสียงลมที่พัดไปมาด้านนอก บุตรสาวคนโตตระกูลหลินก็นอนพลิกตัวไปมา ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ หลินเว่ยเว่ยหาวแล้วถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าไปกินยากระตุ้นมาหรือ ? กลางคืนไม่หลับไม่นอนจะทำตัวเป็นแป้งทอดบนเตียงหรือไร ? ”

ทันใดนั้นบุตรสาวคนโตก็ลุกขึ้นนั่งพลางมองไปทางเนินเขาด้านหลังด้วยสีหน้าเป็นกังวล “อากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ ต้นโอ๊กที่พวกเราเพิ่งย้ายมาคงจะไม่หนาวตายใช่หรือไม่ ? ”