ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 8 พานพบสหายเก่า (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ข้าเรียกฉางเอินขันทีผู้ดูแลเข้ามา กำกับให้เขาจัดแจงเรื่องงานศพของหานจาง และถือโอกาสหาแม่นมและหญิงรับใช้ที่มือเท้าคล่องแคล่วสักหลายคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้โหรวหลัน ก่อนหน้านั้นข้ามอบหมายให้หญิงรับใช้ดูแลโหรวหลันไปก่อน ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะต้องสอบสวนนักโทษทั้งสองที่ถูกจับตัวมาให้ได้ ในเมื่อเขาล่าสังหารหานจาง เช่นนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเป็นแน่ ถึงกับกล้ากระทำการกำเริบเสิบสานในนครฉางอันเช่นนี้ ข้าจะไม่สอบถามให้กระจ่างแจ้งได้อย่างไร

ในคุกใต้ดินมืดสลัวของจวนยงอ๋อง ข้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ปูด้วยหินหยาบซึ่งนำไปสู่คุกคุมขัง สองข้างทางเป็นประตูไม้หนาใหญ่ ประตูแต่ละบานมีช่องหน้าต่างเล็กๆ ช่องหนึ่งปรากฏอยู่ในตำแหน่งสูงเท่าตัวคนซึ่งถูกครอบด้วยซี่เหล็ก สุดปลายทางเป็นห้องทรมาน เมื่อเดินลงบันไดไปจะเห็นชายวัยฉกรรจ์สองคนที่แม้รูปร่างไม่สูงใหญ่แต่ก็มีร่างกายแข็งแกร่งยิ่งถูกพันธนาการติดกับกำแพงด้วยโซ่เหล็กและเอ็นวัว บนร่างไม่มีรอยแผลเป็นอันใด ดูคล้ายไม่มีใครทรมานเขามาก่อน

ข้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หากทรมานมั่วซั่ว กลับจะให้ผลน้อยลงเสียมากกว่า ดูแล้วจวนยงอ๋องรู้จักระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ข้ามองไปโดยรอบ พบว่ารอบห้องมีอุปกรณ์ทรมานวางเรียงรายอยู่หลายอย่าง แม้ไม่มากนักแต่ก็เต็มไปด้วยรอยเลือด ทำให้บรรยากาศของห้องทรมานคละคลุ้งไปด้วยความอึมครึมน่าหวาดหวั่น

ข้ามองชายฉกรรจ์สองคนนั้น เรื่องการทรมานเช่นนี้จะอย่างไรข้าก็เคยศึกษามาบ้าง ตอนแรกข้าศึกษาเพราะจะใช้รับมือกับเหลียงหวั่น ข้าเคยอ่านตำราทั้งหมดเท่าที่จะหาได้แล้ว ซึ่งก็ให้ผลลัพธ์ค่อนข้างคุ้มค่า ทำให้ข้ารู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทรมานก็คือการทำลายความมั่นใจของคนคนหนึ่ง จากนั้นจึงจะได้ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการ

ข้ามองไปยังผู้คุมสิบกว่าคนและบัณฑิตหนึ่งคนที่อยู่ในห้อง จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า พาเขามา

ข้าชี้ไปยังชายฉกรรจ์คนหนึ่ง ผู้คุมสองคนเดินเข้าไปคลายมัดนักโทษผู้นั้นอย่างเชี่ยวชาญ จากนั้นจึงจับมือของเขาไพล่หลังแล้วใช้เอ็นวัวมัดจนแน่น พวกเขากระทำการอย่างเชี่ยวชาญยิ่ง ทำให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้นไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถูกลากตัวมาเบื้องหน้าข้า จากนั้นผู้คุมคนหนึ่งก็กระชากศีรษะของเขาอย่างแรง บีบให้เงยหน้าขึ้น ทำให้ข้าเห็นลักษณะหน้าตาของเขาชัดเจน

คนผู้นี้นับว่ามีใบหน้าเรียบร้อย เพียงแต่สีหน้าเต็มไปกลิ่นอายของความเป็นศัตรูอย่างล้ำลึก เสี่ยวซุ่นจื่อโบกมือให้เหล่าผู้คุมยกเก้าอี้เข้ามาตัวหนึ่งเพื่อให้ข้านั่ง ข้ายิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าว พวกเจ้าเป็นโจรที่กระโจนเข้าใส่รถม้าของข้ากระมัง

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นดวงตาวาวโรจน์ ใต้เท้า ผู้น้อยมิได้กระโจนเข้าใส่รถม้าของท่านนะขอรับ เป็นองครักษ์ของท่านบังคับจับตัวผู้น้อยมา

ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สองพ่อลูกคู่นั้นถูกพวกเจ้าตามฆ่ากระมัง หากมิใช่เพราะพวกเจ้า จะมีคนกระโจนเข้าใส่รถม้าข้าได้อย่างไร บอกมาเถิดว่าพวกเจ้าเป็นใคร หากไม่ยอมพูดให้ชัดเจนก็อย่าคิดจะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่เลย แต่หากให้ความร่วมมือดีๆ ข้าจะส่งเจ้าไปรับโทษกับเจ้าเมือง

ชายฉกรรจ์ผู้นี้มีสีหน้าหวั่นไหวโดยพลัน หากไปถึงมือเจ้าเมือง แม้ตนจะทำร้ายและสังหารผู้อื่น แต่อย่างมากคงถูกตัดสินจำคุกเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสแหกคุก เมื่อคิดได้ดังนี้จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า ผู้น้อยสังหารคนเพื่อเงินจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะไปชนเข้ากับรถม้าของใต้เท้าได้

ข้ามิได้กล่าวว่าเชื่อและมิได้กล่าวว่าไม่เชื่อ ทำเพียงปลดปิ่นเล่มหนึ่งออกมาจากศีรษะ ปิ่นเล่มนี้เป็นของที่ได้มาจากตอนที่ข้าสั่งให้ค่ายลับไปกำจัดกลุ่มการค้าที่ทรยศข้า เป็นสมบัติที่พวกเฉินเจิ่นพบจากห้องลับของกลุ่มการค้านั้น แม้จะเป็นปิ่นเพียงเล่มเดียว แต่ก็ทำจากก้อนเหล็กนิลซึ่งเป็นหินอุกกาบาตที่ตกจากฟากฟ้า คมกริบไร้ที่เปรียบ กระทั่งก้อนโลหะอันแข็งแกร่งก็ยังแทงทะลุได้ แต่ปิ่นมีขนาดเล็กเกินไป ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดต่อยอดฝีมือในยุทธภพ แม้เสี่ยวซุ่นจื่อจะใช้เข็มเหล็กเป็นอาวุธได้ แต่ด้วยนิสัยของเขาที่มีความหยิ่งทะนงสูง จึงไม่ยินดีใช้อาวุธอื่นนอกจากมือทั้งสองของตนเอง สุดท้ายข้าจึงเก็บปิ่นนี้ไว้เอง มิแน่ว่าอาจได้ใช้ประโยชน์ก็เป็นได้ หรือไม่ข้าก็ยังใช้ปิ่นเล่มนี้เป็นเข็มสำหรับฝังเข็มก็ยังได้ เพียงแค่ดูหยาบกร้านไปบ้างเท่านั้น หรือจะใช้เป็นเครื่องทรมานก็ยังดียิ่ง

ข้ายิ้มตอบ เจ้ายอมรับแล้ว

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นพยักหน้าระรัว ข้าจึงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า แต่ไหนแต่ไรหากมิได้ทรมาน ข้าไม่เคยเชื่อคำสารภาพของผู้อื่นอยู่แล้ว

กล่าวจบข้าก็แทงปิ่นไปบนร่างของชายฉกรรจ์ผู้นั้นเบาๆ หลายครั้ง ชายฉกรรจ์ผู้นั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี ใบหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง ร่างกายสั่นกระตุกอย่างแรง หากไม่มีผู้คุมทั้งสองจับตัวไว้อย่างแน่นหนา เกรงว่าคงล้มลงกับพื้นไปนานแล้ว ที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือ เขาส่งเสียงใดไม่ออกแม้แต่น้อย บนหน้าผากมีเหงื่อผุดไหลออกมาดั่งหยาดพิรุณ

เขาเงยหน้าขึ้นมอง ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา ข้าก็มองเขาด้วยท่าทีสบายอุรา ท่าทางราวกับบัณฑิตอ่อนโยนผู้หนึ่ง ประหนึ่งว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ดิ้นรนกระทำอันใด วิธีการทรมานที่ดีย่อมต้องโจมตีที่หัวใจก่อน หากข้าปล่อยเขาไปง่ายๆ โดยไม่แสดงอำนาจใด เช่นนั้นไม่นานเขาก็จะกล้ากระทำการกำเริบเสิบสานอีก ข้าต้องการให้เขาได้รับการทรมานที่โหดเหี้ยม ให้เขารู้สึกถึงความหวาดกลัว และข้าก็เชื่อว่าข้าทำได้แน่

ผ่านไปครู่หนึ่ง ข้าเห็นแววตาของเขาเริ่มขุ่นมัวจึงขยับมือเบาๆ แทงปิ่นลึกเข้าไปในร่าง ร่างกายของอีกฝ่ายค่อยๆ ผ่อนคลายลง มีเสียงครางเบาๆ ออกมาจากปาก แต่นี่จะตำหนิเขาไม่ได้ หลังจากอาการเจ็บปวดบรรเทาลงและร่างกายผ่อนคลายจนถึงขีดสุด เสียงที่ถูกกดข่มไว้เมื่อครู่จึงปะทุออกมา ข้าสั่งให้ผู้คุมยกน้ำเย็นเข้ามาบรรจงกรอกใส่ลำคอของชายฉกรรจ์อย่างพิถีพิถัน สติสัมปชัญญะของเขาพลันกระจ่างชัด รีบมองมาทางข้า ในดวงตาปรากฏความหวาดผวาอย่างมิอาจปกปิด

ข้าแย้มยิ้มเล็กน้อย เอาละ คำพูดของเจ้าตอนนี้คงเชื่อถือได้บ้างแล้วกระมัง เจ้ามีนามว่าอะไร ภูมิลำเนาอยู่ที่ใด เหตุใดจึงมาตามล่าสังหารสองพ่อลูกคู่นี้

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นกล่าวตอบ ผู้น้อยชิวสิง เดิมเป็นคนแคว้นสู่ หลังจากแคว้นสู่ล้มสลายดินแดนสู่จงก็ตกอยู่ในมือหนานฉู่ ลู่ซิ่นปกครองอย่างเผด็จการ ข้าจึงระหกระเหเร่ร่อนมายังต้ายง เนื่องจากไม่มีทรัพย์สินจึงต้องสังหารผู้อื่นเพื่อเงิน นี่คือความจริงของผู้น้อย ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยขอรับ

ข้ามองไปยังเสี่ยวซุ่นจื่อก่อนกล่าวเสียงเรียบ คำสารภาพของคนผู้นี้เชื่อถือได้หรือไม่

เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวตอบอย่างเรียบเฉย ข้าคิดว่าเชื่อถือไม่ได้

ข้าแย้มยิ้มพราย จะว่าอย่างไรดีเล่า ข้าว่าเขาดูจริงใจยิ่งนัก คงไม่อยากถูกทรมานอย่างน่าอนาถอีกแล้วกระมัง

เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอย่างนอบน้อมยิ่ง คุณชาย เสื้อผ้าอาภรณ์ของคนผู้นี้ล้วนเป็นของต้ายง ดูท่าทางคงอยู่ต้ายงมานานแล้วกระมัง ในตัวมีตั๋วเงินมากกว่าพันตำลึง หากอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวย่อมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ แต่ในตัวของสองพ่อลูกคู่นั้นกระทั่งเงินสิบตำลึงก็ยังไม่มี จะเรียกว่าสังหารผู้อื่นเพื่อเงินได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขายังกล้าลงมือสังหารผู้อื่นในต้ายงยามกลางวันแสกๆ นับว่ายโสโอหังยิ่ง หากกล่าวว่าเขาไม่มีที่พึ่ง ให้ตายบ่าวก็ไม่เชื่อ

ข้าแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นพลางใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจมองไปยังชายฉกรรจ์ผู้นั้น เอาละ หากเขายอมสารภาพโดยดี ข้ากลับคิดว่าไม่สนุกเอาเสียเลย

ทุกคนรวมไปถึงผู้คุมมองไปยังชายหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์หล่อเหลาสง่างาม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ ในใจต่างเกิดความคิดว่า ‘ที่แท้เขามีความคิดจะทรมานนี่เอง ไม่มีความคิดที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายสารภาพโดยดีอยู่แล้ว’

ปิ่นในมือข้าทิ่มแทงเข้าไปยังร่างกายของชิวสิงอีกครั้ง ร่างของชิวสิงเริ่มกระตุกขึ้นอีกครา คราวนี้ดูเหมือนผู้คุมทั้งสองจะควบคุมเขาไม่อยู่แล้ว ข้ามองดูครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า ไปชงชามาจอกหนึ่งเถิด

เมื่อเห็นข้าเอ่ยปากเช่นนี้ ชายฉกรรจ์ที่เดิมทียังเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังพลันเกิดประกายสิ้นหวังในดวงตา เสี่ยวซุ่นจื่อมองเขาครู่หนึ่ง อารมณ์บนใบหน้าราวกับเจือไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ หลังลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นว่า คุณชายขอรับ ชาบรรณาการที่องค์ชายประทานให้ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะต้มเสร็จ คราวนี้ชิวสิงผู้เต็มไปด้วยความคาดหวังถึงกับสลบไปเลยทีเดียว

ปิ่นของข้าทิ่มแทงเข้าไปยังร่างกายของชิวสิงอีกครั้ง เมื่อชิวสิงถูกจับกรอกน้ำเย็นจนฟื้นสติก็มองข้าด้วยแววตาฉงนงงงวย ข้าได้แต่กล่าวไปอย่างเรียบเฉย ไม่เป็นไร เจ้าไปนำเครื่องชามาเถิด มาก่อไฟชงชาที่นี่ ก่อนเจ้าชงเสร็จ ข้าจะลองทดสอบวิธีฝังเข็มแบบใหม่ดูไปพลางๆ

ชิวสิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกับกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก่อนพุ่งตัวมาทางเก้าอี้ที่ข้านั่งอยู่ ผู้คุมทั้งสองจับเขาไว้แน่น เขาตวาดลั่นว่า ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วย ผู้น้อยยอมสารภาพแล้ว ผู้น้อยเป็นมือสังหารของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วย ผู้น้อยยอมสารภาพทุกอย่างแล้วขอรับ

ข้ามองไปที่เขาด้วยแววตานิ่งเรียบพลางกล่าวอย่างไม่พอใจว่า เจ้ายอมสารภาพทุกอย่างเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย

ชิวสิงถึงกับน้ำตาไหล ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วย ผู้น้อยยอมสารภาพแล้ว ใต้เท้าอย่าทรมานผู้น้อยอีกเลย

ข้าส่ายศีรษะอย่างเบื่อหน่าย เจ้าพาเขาไปที่ห้องด้านข้างเสีย ให้เขาสารภาพมาให้หมด หากมีสิ่งใดปิดบังก็ส่งเขากลับมา ใครก็ได้นำตัวอีกคนเข้ามาที

เมื่อเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของข้า ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งที่ถูกเหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปนานแล้วก็รีบตะโกนขึ้นทันควัน ผู้น้อยซั่งเหว่ย ยอมสารภาพแล้วขอรับ

ข้าส่ายหน้าตอบ ไม่ได้ หากเจ้าไม่ได้รับโทษทัณฑ์ทรมานคงไม่ยุติธรรม

ยามนี้เอง เสียงของเสี่ยวซุ่นจื่อดังแว่วเข้ามาในหูข้าว่า คุณชาย ท่านทำเกินไปแล้ว ท่านไม่เห็นแววตาของผู้คุมเหล่านั้นหรือ แทบจะเห็นท่านเป็นปีศาจบ้าอำนาจอยู่แล้ว

ข้าหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวคลุมเครือ ไม่เป็นไร ขณะรอคำสารภาพ ข้าจะทดสอบความอดทนของเจ้าเสียหน่อย หากเจ้าเชื่อฟัง อย่างมากข้าก็ลงมือน้อยไปหลายเข็ม เอาเช่นนี้แล้วกัน อีกครู่หากเขาสารภาพมาแล้ว ข้าจะมาถามเจ้าอีกครั้ง หากเจ้าหาช่องโหว่ในคำสารภาพของเขาพบ ข้าจะปล่อยเจ้าไป หากหาไม่พบข้าจะทรมานเจ้าต่อ ตอนนี้มาเรียกน้ำย่อยกันก่อนเถิด กล่าวจบข้าก็แทงปิ่นเข้าไปในร่างของซั่งเหว่ย

สองชั่วยามต่อมา ข้าเดินออกมาจากห้องทรมานด้วยความพึงพอใจที่อัดแน่น เหลือไว้เพียงผู้คุมกลุ่มใหญ่ผู้มีความเลื่อมใสและหวาดกลัวอัดแน่นเต็มดวงตา และมือสังหารสองคนแห่งกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วที่เหลือเพียงลมหายใจรวยระริน

ตอนต่อไป