เจียงซื่อไม่นึกไม่ฝันว่าหญิงสาวที่นัดพบกับจูจื่ออวี้คือชุยหมิงเย่ว์ บุตรสาวคนโตของจวนแม่ทัพชุย
ชุยหมิงเย่ว์ เป็นบุตรีหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทัพใหญ่ชุยและองค์หญิงใหญ่หรงหยาง พี่ชายของนางคือชุยอี้ สหายเลวของหยางเซิ่งไฉในคดีลอบวางเพลิงบนนาวาใหญ่
บิดาของชุยหมิงเย่ว์เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียง ส่วนมารดาคือองค์หญิงใหญ่ ยายของนางคือไทเฮา สตรีที่มีภูมิหลังโดดเด่น อยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์แทบจะเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง เจียงซื่อไม่คิดว่านางจะกลายมาเป็นชู้รักของจูจื่ออวี้
หรือว่านางเข้าใจผิด ทั้งชุยหมิงเย่ว์และจูจื่ออวี้อาจมิได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น?
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าขัน เจียงซื่อก็เริ่มเคลือบแคลงในข้อสันนิษฐานของตัวเอง
“คุณหนู ข้าสะกดรอยตามนางนะขอรับ” อาเฟยเห็นว่าเจียงซื่อติดจะเหม่อลอยจึงเอ่ยบอกแผ่วเบา
เจียงซื่อออกปากห้ามไว้ก่อน “ไม่จำเป็นแล้ว”
ตอนนี้นางได้รู้ตัวตนของสตรีผู้นั้นแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้อาเฟยตามไปสืบ
เจียงซื่อสะกดรอยตามไปดูด้วยตัวเอง
ชุยหมิงเย่ว์เดินนำสาวรับใช้เตร็ดเตร่ไปตามถนน และทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในร้านลู่เซิงเซียง
เมื่อเห็นเหตุการณ์ช่างประจวบเหมาะปานฉะนี้ เจียงซื่อเองมิรู้ว่าตนควรรู้สึกอย่างไร นางจัดผ้าคลุมบางบนหมวกเหวยเม่าให้เข้าที่ก่อนจะก้าวเท้ายาวตามเข้าไป
ซิ่วเหนียงจื่อกำลังแนะนำเซียงลู่ตัวใหม่ให้แก่หญิงสาวนางหนึ่งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ครั้นตาชำเลืองไปเห็นเจียงซื่อเดินเข้ามาทางประตูร้านก็ผงะจนลืมบทพูดไปครู่หนึ่ง
พฤติกรรมของเจ้าของร้านนี่เดาได้ยากเสียจริง
“เจ้าของร้าน ข้าพูดกับเจ้าอยู่ หูหนวกหรืออย่างไร” สาวรับใช้ที่มากับชุยหมิงเย่ว์กล่าวท้วง
ซิ่วเหนียงจื่อได้สติจึงรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่พร้อมกับต้อนรับแขกผู้นั้นอย่างดี “มิทราบว่าท่านกำลังมองหาสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”
ชุยหมิงเย่ว์ไม่แม้แต่จะปริปากพูด กลับเป็นสาวรับใช้ที่ตอบคำถามนั้น “ได้ยินมาว่าเซียงลู่ของที่ร้านเจ้าใช้ดี เจ้าช่วยเอาทุกกลิ่นที่เจ้ามีมาให้คุณหนูของข้าลองก็แล้วกัน”
ซิ่วเหนียงจื่อตอบรับ ทว่าไม่กล้าหันไปมองทางเจียงซื่อเป็นครั้งที่สอง รีบเดินไปหยิบเซียงลู่จากชั้นวางลงมา
“นี่คือกลิ่นมะลิเจ้าค่ะ นี่คือกลิ่นดอกพุดซ้อน ส่วนนี่…”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากซิ่วเหนียงจื่อแล้ว สาวรับใช้นางนั้นจึงเอ่ยว่า “คุณหนูอยากลองกลิ่นใดเจ้าคะ”
“กลิ่นกุหลาบก็แล้วกัน” ชุยหมิงเย่ว์เอ่ยขึ้นขณะที่มือลูบคางและสายตากวาดไปตามชั้นวางที่เป็นประกายวิบวับ
ซิ่วเหนียงจื่อหยิบขวดเซียงลู่สีชมพูอ่อนขึ้นมา เปิดฝาและหยดลงบนข้อมือของสาวรับใช้ที่ยื่นออกมารอไว้อยู่แล้ว
สาวรับใช้ยกมือขึ้นสูดดม แล้วยื่นมือไปตรงหน้าชุยหมิงเย่ว์ประหนึ่งถวายเครื่องบรรณาการ “คุณหนู กลิ่นนี้หอมเสียยิ่งกว่ากลิ่นที่ใช้อยู่ประจำอีกเจ้าค่ะ”
ชุยหมิงเย่ว์กวาดตามองใบหน้าสาวรับใช้ ขมวดคิ้วพลางยื่นหน้าเข้าไปดม
เซียงลู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำเป็นเครื่องบรรณาการที่ชนต่างชาตินำมาถวาย เป็นของหายาก เซียงลู่จากร้านค้าเล็กๆ แห่งนี้จะเทียบเทียมกับเครื่องบรรณาการล้ำค่าเช่นนั้นได้อย่างไร
ครั้นได้กลิ่นหอมจางๆ ทว่าสดชื่น นัยน์ตาของชุยหมิงเย่ว์ก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแช่มช้า
สาวรับใช้ถามซิ่วเหนียงจื่อ “มีเซียงลู่กลิ่นกุหลาบชั้นดีกว่านี้อีกหรือไม่”
ของที่วางจำหน่ายอยู่ยังมิใช่รุ่นที่ดีที่สุด แม้ว่าเซียงลู่จากร้านเล็กๆ แห่งนี้จะหอมหวนเพียงใด แต่คุณหนูของนางก็ไม่อาจใช้เซียงลู่กลิ่นที่มีคนใช้เกลื่อนทั่วเมืองเช่นนั้น
“กรุณารอสักครู่เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นซิ่วเหนียงจื่อหายเข้าไปหยิบเซียงลู่กุหลาบชั้นเลิศ สาวรับใช้นางนั้นก็เข้าไปกระซิบข้างหูชุยหมิงเย่ว์ “คุณหนู คุณหนูใช้เซียงลู่กลิ่นหอมหวนเยี่ยงนี้ คนๆ นั้นไม่หลงใหลแย่หรือเจ้าคะ…”
เจียงซื่อยืนฟังอยู่ด้านหลังชุยหมิงเย่ว์อย่างเปิดเผยจึงได้ยินคำตอบของชุยหมิงเย่ว์ชัดเจน “คนอย่างเขา!”
คำสั้นๆ เพียงสามพยางค์นั้นทั้งเย็นชาและไร้ความปรานี เห็นได้ชัดว่านางไม่ดูดำดูดีชายที่สาวรับใช้เอ่ยถึงเลยสักนิด
เมื่อนึกถึงชุยหมิงเย่ว์ที่ลอบนัดพบกับจูจื่ออวี้เมื่อครู่ เจียงซื่อก็เดาได้ไม่ยากว่า ‘คนๆ นั้น’ ที่ทั้งคู่หมายถึงคือจูจื่ออวี้
แต่นั่นยิ่งทำให้นางยิ่งคิดหนัก
ชุยหมิงเย่ว์เพิ่งจะนัดพบกับจูจื่ออวี้ แต่ไฉนท่าทีของนางถึงได้แสดงออกมาในลักษณะนี้
ยิ่งนึกถึงท่าทางสบายอกสบายใจของจูจื่ออวี้ขณะที่ออกจากโรงน้ำชาเทียนเซียงแล้ว เจียงซื่อก็ยิ่งคิดว่าเรื่องนี้พิลึกสิ้นดี
“เอาเถอะ ยามอยู่ข้างนอกอย่าพูดมาก!” ชุยหมิงเย่ว์ออกปากตำหนิ
รอจนกระทั่งนายหญิงและสาวรับใช้จากไปแล้ว เจียงซื่อก็ไม่ได้ยินข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติมอีก
นางยืนพิงชั้นวางพลางครุ่นคิดเรื่องพิลึกนี้
หากยอมรับทฤษฎีที่ว่าคนรักของจูจื่ออวี้คือชุยหมิงเย่ว์ การที่จูจื่ออวี้พยายามฆ่าพี่สาวคนโตของนางก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที
เขาต้องการให้พี่สาวคนโตสละตำแหน่งนั้นให้แก่ชุยหมิงเย่ว์ อีกทั้งวิธีการที่ใช้จำต้องใสสะอาดเสียด้วย!
นี่มันเรื่องไร้สาระสิ้นดี จากสถานะของชุยหมิงเย่ว์แล้วไม่อาจเป็นภรรยาแต่งของบุรุษม่ายเมียตายซึ่งเป็นเพียงบุตรชายของขุนนางขั้นสี่โดยเด็ดขาด
แต่ทว่า… เจียงซื่อหัวเราะเยาะในใจ
หากทั้งคู่ยังเป็นคนรักของกันและกันได้ จะมีเรื่องใดเป็นไปไม่ได้อีกเล่า?
เมื่อย้อนกลับไปในตอนที่มารดาของนางและแม่ทัพชุยยังเด็ก ทั้งคู่ต่างก็ชอบพอกันถึงขั้นหมั้นหมายเอาไว้ ในตอนนั้นองค์หญิงใหญ่หรงหยาง มารดาของชุยหมิงเย่ว์ยังกล้ายื่นคมมีดเข้ามาตัดความสัมพันธ์ของทั้งคู่
ในเมื่อองค์หญิงใหญ่หรงหยางกล้าทำเรื่องที่ขัดต่อวิถีชาวโลก กล้าแย่งคนรักของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง การที่บุตรของนางยอมเป็นภรรยาของบุรุษม่ายเพื่อรักแท้ก็มิใช่เรื่องแปลก
ทันใดนั้นเจียงซื่อก็ตะลึงงันขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา ไม่แน่ว่าจูจื่ออวี้อาจคิดเช่นเดียวกัน!
จริงสิ ในเมื่อจูจื่ออวี้เป็นคนประเภทนั้น หากไม่เห็นกระต่ายก็คงไม่กล้าปล่อยเหยี่ยวออกมา เพราะหากเขาไม่มีความมั่นใจว่าชุยหมิงเย่ว์จะเข้ามาครองตำแหน่งนี้แทนพี่ใหญ่ เขาก็คงไม่เทหมดหน้าตักเพื่อจะปล่อยมือภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา
แล้วชุยหมิงเย่ว์ล่ะ?
คำพูดว่า ‘คนอย่างเขา’ ดังก้องในหูของนางอีกครั้ง ทำให้นางหวนระลึกถึงเรื่องราวเมื่อชาติที่แล้ว
ในตอนนั้นสุดท้ายจูจื่ออวี้มิได้แต่งงานกับชุยหมิงเย่ว์ อีกทั้งหลังจากที่พี่ใหญ่เสียชีวิตไปแล้ว เขายังรอถึงสามปีกว่าจะแต่งงานกับลูกสาวของขุนนางธรรมดา
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในตอนนั้นไม่มีข่าวคราวระหว่างจูจื่ออวี้และชุยหมิงเย่ว์หลุดลอดออกมาเลย ในสายตาคนอื่นๆ ดูเหมือนว่าทั้งคู่มิได้มีความเกี่ยวข้องกัน
จูจื่ออวี้ยังคงเป็นบุรุษอนาคตไกล ส่วนชุยหมิงเย่ว์ก็เป็นสตรีสูงศักดิ์ดังเดิม
คงมีคนจับทั้งคู่แยกกัน หรือว่า…
คำพูดว่า ‘คนอย่างเขา’ ทำให้เจียงซื่อเริ่มได้ข้อสันนิษฐานใหม่ เรื่องทั้งหมดอาจเกิดจากการที่ชุยหมิงเย่ว์ต้องการหยอกเย้าจูจื่ออวี้เท่านั้น หรือการได้เห็นชายที่มีเจ้าของแล้วก้มอยู่ใต้กระโปรงสีทับทิมของตนจะทำให้นางรู้สึกอิ่มเอมใจ หรือว่า…
แววตาของเจียงซื่อพลันเปลี่ยนเป็นความเย็นชาที่แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หรือว่านางเพียงต้องการให้พี่ใหญ่พบกับความยากลำบากเท่านั้นเอง!
เจียงซื่อรู้ดีว่าชุยหมิงเย่ว์มีทัศนคติต่อคนตระกูลเจียงเช่นไร
เมื่อชาติภพที่แล้ว หลังจากนางเข้าไปอยู่ในจวนอันกั๋วกง นางได้มีโอกาสเข้าไปคลุกคลีอยู่กับแวดวงชั้นสูง นางได้พบกับชุยหมิงเย่ว์บ่อยครั้ง และนั่นทำให้นางได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นไร
หากลองคิดในมุมของชุยหมิงเย่ว์แล้ว หากผู้เป็นมารดาทำให้แม่ทัพชุยรู้สึกฝังใจเช่นนี้ นางก็สมควรตาย และคนที่เป็นบุตรของนางก็สมควรตายด้วยเช่นกัน
หลังจากผ่านสิ่งเลวร้ายเมื่อชาติก่อน เจียงซื่อมักจะคาดคะเนเรื่องชั่วช้าที่สุดที่อาจเกิดขึ้นไว้ก่อน
“คุณหนู นายท่านรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” อาเฉี่ยวรีบเข้ามาเตือน
เจียงซื่อตบเข้าที่หน้าผากตัวเอง
แย่แล้ว ลืมท่านพ่อไปเสียสนิท
นางรีบกลับไปที่หน้าโรงน้ำชา ทันทีที่ไปถึงนางก็เห็นแววตาสุกใสของผู้เป็นบิดา เจียงซื่อส่งยิ้มพลางกล่าวขอโทษ “ลูกทำให้ท่านพ่อต้องรอนาน”
“ไม่นานหรอก ลูกซื้อของครอบแล้วหรือ”
เจียงซื่อชี้ไปที่กล่องผ้าไหมในมืออาเฉี่ยวพลางส่งยิ้ม “ซื้อครบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ พวกเรากลับจวนกันเถิดเจ้าค่ะ”
นางจะกลับไปลับมีดเพื่อมาจัดการกับชายหญิงชั่วช้าคู่นั้น!
“ไปสิ” เจียงอันเฉิงก้าวเชื่องช้าออกจากโรงน้ำชา แต่แล้วจู่ๆ ใบหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนสี ฝีเท้าเดินช้าลงเรื่อยๆ
เจียงซื่อสัมผัสได้ถึงอาการที่ผิดแปลกไปจึงหยุดเดินพลางถาม “ท่านพ่อเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
เจียงอันเฉิงดึงมุมปากเล็กน้อย “ปะ เปล่าหรอก…”
แม่เจ้า ตอนอยู่ที่จวนกินเนื้อย่างมันย่องเข้าไป แล้วเมื่อกี้ก็ดื่มชาเข้าไปอีก ดูเหมือนว่าท้องไส้จะเริ่มประท้วงเสียแล้ว!