ตอนที่ 326 อำลาวงการ

“มายาคือว่างเปล่า วางเปล่าคือมายา…” ก่วนฟางอี๋ที่ก้มหน้าอยู่พึมพำกับตัวเอง สีหน้าเศร้าหมอง เอ่ยทวนประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา

ประโยคนี้ก็ทำให้ลิ่งหูชิวและหงซิ่วแปลกใจเช่นกัน วลีแปลกใหม่นี้ก็ทำให้ทั้งสองต้องขบคิดทบทวนให้ดีเช่นกัน

พอหนิวโหย่วเต้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ แม้แต่หงซิ่วก็มองเขาด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม คล้ายจะชื่นชมเขาขึ้นมาเล็กน้อยทันที

หนิวโหย่วเต้าเก็บสัญญาขายตัวไว้ หันหลังไปกล่าวว่า “เรือนทางนั้นของพวกเราไม่มีใครคอยดูแล นับว่าเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง เช่นนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่นี่กันให้หมดเถอะ หงซิ่ว เจ้าไปบอกหงฝูกับเสิ่นชิวให้เก็บข้าวของย้ายมาที่นี่ ถือโอกาสปล่อยข่าวออกไปด้วยว่าหงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยพบคนที่เข้าใจนางอย่างแท้จริงแล้ว เป็นฝ่ายเสนอตัวรับใช้ข้าเอง!”

ยังไม่ทันข้ามคืนก็รีบร้อนปล่อยข่าวออกไปแล้ว นี่คิดจะฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน คิดจะหุงข้าวสารเป็นข้าวสุกชัดๆ!

ลิ่งหูชิวทอดถอนใจอยู่ภายในใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อย ทั้งพูดไม่ออกและรู้สึกฉงนใจอย่างยิ่ง แบบนี้ก็ได้หรือ?

หงซิ่วเหลือบดูท่าทีของเขาอย่างเงียบๆ พอเห็นเขาไม่คัดค้านอะไรก็น้อมกายเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ!”

นางหันหลังเดินออกไปจัดการตามที่สั่ง

“ฮือๆ…” ก่วนฟางอี๋ฟุบหน้าลงกับโต๊ะร่ำไห้ออกมา ชีวิตรุ่งโรจน์ในหลายปีมานี้ราวกับเป็นภาพลวงตา สุดท้ายก็มีเพียงความว่างเปล่า สุดท้ายกลับต้องมาขายตัวเองออกไปเช่นนี้

หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ใต้ชายคา ยกมือไพล่หลังเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟากฟ้าราตรี ฟังเสียงร่ำไห้ของนาง

ลิ่งหูชิววางสองมือแนบหน้าท้อง มองซ้ายทีขวาที

คนของสวนไม้เลื้อยต่างตกใจเพราะเสียงร่ำไห้ของก่วนฟางอี๋ ทยอยปรากฏตัวขึ้นในสวนฝั่งนี้ มองกันไปมองกันมา สีหน้าเหลอหลาทำตัวไม่ถูก

ไม่ทราบว่านางร้องไห้เพราะเหตุใด แล้วก็ไม่เห็นว่านางถูกใครทำอะไรด้วย ต่อให้ถูกคนเขาทุบตีก็คงไม่ถึงกับเป็นแบบนี้หรือเปล่า ไยถึงต้องร้องไห้เสียอกเสียใจขนาดนี้?

เหล่าคนงานยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น

“นายหญิง นายหญิงขอรับ ท่านเป็นอะไรขอรับ?” มีคนเดินเข้ามาหา ร้องเรียกอยู่หลายครา ทั้งยังลองดันไหล่นางเล็กน้อยด้วย

ก่วนฟางอี๋จมอยู่กับความเสียใจ เอาแต่ร้องไห้ลูกเดียว ไม่ตอบกลับเลย

สุดท้ายก่วนฟางอี๋ถูกพยุงกลับไปพักผ่อนด้วยคำสั่งของหนิวโหย่วเต้า

ภายในสวนปราศจากเสียงร้องไห้แล้ว บรรยากาศเงียบสงัด ดวงจันทร์บนนภาส่องแสง มีเสียงหรีดริ่งเรไรแว่วมาจากมุมกำแพงเป็นครั้งคราว

ลิ่งหูชิวเหลือบมองอุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะที่ยังไม่ถูกเก็บไป เดินเข้าไปหยุดข้างกายหนิวโหย่วเต้า ชี้มือไปรอบๆ พลางเอ่ยว่า “นับจากวันนี้ไป สวนไม้เลื้อยแห่งนี้ก็เป็นของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “คงใช่กระมัง!”

ลิ่งหูชิวหัวเราะฮ่าๆ กล่าวไปว่า “เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนเลย!”

“ธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนหรือ?” หนิวโหย่วเต้าหันไปมองเขาเล็กน้อย

ลิ่งหูชิวเอ่ยหยอกว่า “ถ้าหากนางไม่ยอมตกลง ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทำอย่างไร”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ท่านคิดว่าข้ากำลังหลอกนางหรือ?”

ลิ่งหูชิวถามกลับ “หรือว่าไม่ใช่เล่า?”

หนิวโหย่วเต้าเพียงยิ้มให้แต่ไม่อธิบาย

อันที่จริงหลังจากปู้สวินมาหา เขาก็ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองหลวงที่ทางสำนักเบญจคีรีรวบรวมมาให้อีกครั้ง

ได้ร่วมมือกับผู้ดูแลหลวงแห่งแคว้นฉีผู้สูงศักดิ์ทั้งที มีผู้หนุนหลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากไม่ฉวยโอกาสนี้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แบบนั้นไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?

หลังจากตรวจสอบข้อมูลซ้ำไปซ้ำมา ไม่ว่าจะคนของสำนักบำเพ็ญเพียรหรือว่าคนในราชสำนักล้วนไม่สะดวกจะลงมือทั้งสิ้น สิ่งสำคัญคือฐานอำนาจของเขายังไม่แข็งแกร่งพอ จึงต้องเลือกเป้าหมายที่มีอิทธิพลอ่อนด้อยสักหน่อย ผู้บำเพ็ญไร้สำนักธรรมดาๆ มีประโยชน์ไม่มากพอ ดูไปดูมาก็มีเพียงหงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยที่เข้าตาเขา ถูกเขาจับตามองเป็นเป้าหมาย

เดิมทีเขาเตรียมจะมาลองหยั่งเชิงหงเหนียงก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที หากว่านางเหมาะสม เขาก็จะไปขอตัวนางกับปู้สวิน เขาคิดว่าน่าจะหาทางทำให้ปู้สวินยอมตอบตกลงได้ไม่ยาก และขอเพียงปู้สวินเห็นด้วย คนอย่างหงเหนียงก็ไม่มีทางเลือกอีก อย่าว่าแต่หงเหนียงเลย ในเมืองหลวงแห่งนี้เกรงว่าคงมีคนที่กล้าต่อต้านปู้สวินอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ผู้ใดจะไปคิดถึงว่าสถานการณ์กลับค่อนข้างเหนือไปจากความคาดหมายของเขา ไม่จำเป็นต้องไปหาปู้สวินแล้ว อาศัยเพียงความสามารถของเขาก็สามารถสยบหงเหนียงได้แล้ว!

ดังนั้นหากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว เขาไม่ได้หลอกลวงหงเหนียงเลย เพราะเขาสามารถทำให้สวนไม้เลื้อยหายไปจากเมืองหลวงอย่างถาวรได้จริงๆ ขอแค่บอกปู้สวินเพียงประโยคเดียวเท่านั้น!

หากมิใช่เพราะเหตุนี้ เขาก็ไม่มีทางตรงมายังสวนไม้เลื้อย

“ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าห้องรับรองที่ท่านสนทนากับเว่ยฉูตั้งอยู่ที่ใด?” หนิวโหย่วเต้าถาม

ลิ่งหูชิวขมวดคิ้วแล้วพยักหน้ารับ “จำได้! แต่ในเมื่อนางยอมสยบต่อเจ้าแล้ว เรื่องนี้ยังสำคัญอีกหรือ? ข้าไม่เห็นว่าสตรีคนนี้จะมีอะไรดีเลย ก่อเรื่องวุ่นวายนัก เก็บคนเช่นนี้ไว้ข้างกายเจ้าจะวางใจได้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “สตรีตัวคนเดียว อยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งเช่นนี้ ทว่าข้างกายนางก็ยังมีคนมากมายติดตามนางอย่างเหนียวแน่นมาเป็นเวลาหลายปีขนาดนี้ แปลว่าคนผู้นี้ยังคงมีข้อดีอยู่”

ลิ่งหูชิวถาม “แค่นี้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แค่นี้ยังไม่เพียงพอหรือ? วุ่นวายหรือไม่วุ่นวาย ดีหรือไม่ดี ชั่วหรือไม่ชั่ว ล้วนไม่เกี่ยวข้องกันเลย สำหรับข้าแล้วบนโลกนี้ไม่มีคนดีอย่างสมบูรณ์และไม่มีคนชั่วอย่างสมบูรณ์เช่นกัน ข้าคิดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ทุกคนต่างมองว่าข้าเป็นคนชั่ว ข้าจะไปแย้งกับผู้ใดได้เล่า ลูกตาของพวกเราขาวดำแบ่งแยกกันชัดเจน แต่สุดท้ายตาขาวและตาดำก็ยังรวมอยู่ในเบ้าตาเดียวกัน ท่านสามารถควักเพียงตาขาวหรือว่าควักเพียงตาดำทิ้งไปได้หรือ? ดังนั้นไยต้องมาถกเถียงเรื่องถูกผิดอันใดด้วย หากใส่ใจมากไป คนที่จะว้าวุ่นก็คือตัวเอง ข้าติดต่อคบค้ากับคนวุ่นวายเจ้าปัญหาเหล่านี้จนเคยชินไปเสียแล้ว แต่ข้ากลับสบายใจที่ได้คบค้ากับคนประเภทนี้ อย่างน้อยๆ ข้าก็รู้ว่าข้อเสียของนางอยู่ตรงไหน คนดีที่จู่ๆ ก็เผยความชั่วต่างหากที่ป้องกันได้ยากกว่า”

ลิ่งหูชิวหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “เหตุผลนี้ของเจ้าแปลกใหม่นัก”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากว่าเหตุผลนี้ยังไม่เพียงพอ เช่นนั้นข้าก็เปลี่ยนเหตุผลให้ได้ ข้างกายท่านมีหงซิ่วกับหงฝู ข้าคิดๆ ดูแล้วคิดว่าข้าเองก็สมควรหาสัก ‘หง’ มาติดตามข้างกายเช่นกัน”

“…..” เหตุผลนี้ดูเหมือนจะทำให้ลิ่งหูชิวพูดไม่ออก

ภายในเรือนที่งามวิจิตร ก่วนฟางอี๋หยุดร้องไห้แล้ว นางเดินออกมาจากห้อง ยืนบนบันไดใต้ชายคา สีหน้าดูหม่นหมองหดหู่ กำลังชี้แจ้งกับลูกน้องกลุ่มหนึ่งที่ติดตามนางมาหลายปี บอกเล่าต้นสายปลายเหตุให้ทราบว่าตนร้องไห้ด้วยเหตุใด มิเช่นนั้นทุกคนคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่

พอทราบว่านายหญิงยอมลดตัวไปเป็นทาส ทุกคนต่างตกตะลึง

แต่ไม่ว่าทุกคนจะถามอย่างไร ก่วนฟางอี๋ก็ไม่ยอมบอกเล่าเหตุผลอย่างละเอียดให้พวกเขารู้ ความจริงของเรื่องบางอย่างก็ไม่สะดวกจะให้ทุกคนรู้

“ข้าไม่มีทางเลือก แต่ทุกคนยังมีสิทธิ์เลือก จะอยู่หรือไปก็ตัดสินใจเอาเองเถิด…”

….

เสิ่นชิวเป็นคนแรกที่มาถึงสวนไม้เลื้อย ส่วนหงซิ่วและหงฝูยังต้องไปช่วยปล่อยข่าวให้หนิวโหย่วเต้าอยู่

กว่าหงซิ่วและหงฝูจะกลับมาถึงสวนไม้เลื้อย ท้องฟ้าก็สว่างรำไรแล้ว

ลำพังทางสวนไม้เลื้อยเองก็วุ่นวายพอแล้ว ก่วนฟางอี๋เองก็ยังไม่ได้ตระหนักรู้ในสถานะทาสรับใช้ของตัวเอง ตอนนี้จึงไม่มีใครมาจัดการดูแลทางหนิวโหย่วเต้าเลย

ทั้งห้าคนจึงเสาะหาห้องพักที่เหมาะสมเอง

ภายในห้องพักห้องหนึ่ง หงซิ่วและหงฝูรีบจัดการเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว

ลิ่งหูชิวที่ผลักเปิดบานหน้าต่างมองท้องนภายามรุ่งอรุณถอนหายใจเอ่ยว่า “ไม่ต้องเก็บกวาดแล้ว ฟ้าสว่างแล้ว”

สตรีทั้งสองสบตากัน หยุดมือทันที เดินเข้ามาขนาบข้างกายเขา หงซิ่วเอ่ยถาม “นายท่าน ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดหงเหนียงถึงยอมขายตัวเป็นทาสง่ายๆ ละเจ้าคะ?”

ลิ่งหูชิวหัวเราะพลางส่ายหน้า เอ่ยไปว่า “ขายเขยอันใดกัน ไม่มีทางเลือกต่างหากล่ะ”

หงซิ่วถามต่อ “เหตุใดถึงไม่มีทางเลือกล่ะเจ้าคะ? หรือหนิวโหย่วเต้าจะกล้าใช้กำลังในเมืองหลวงเจ้าคะ?”

ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “เจ้าลืมคำถามก่อนหน้านี้ของน้องสามไปแล้วหรือ? ก่วนฟางอี๋ชักช้าไม่ยอมกลับมา จึงสะกิดต่อมสงสัยของน้องสามเข้า ก็เป็นอย่างที่น้องสามพูดไปก่อนหน้านี้ ที่ก่วนฟางอี๋ชักช้าหลบเลี่ยงไม่ยอมกลับมา ไม่ใช่เพราะข้า แต่เป็นเพราะน้องสาม”

“ทั้งสองไม่เคยพบกันมาก่อน ซ้ำยังไร้ซึ่งความแค้นบาดหมาง อีกทั้งสวนไม้เลื้อยเป็นถิ่นของก่วนฟางอี๋ แล้วนางกลัวอะไรถึงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาพบด้วยล่ะ? พฤติกรรมนี้ของก่วนฟางอี๋ไปกระตุ้นความระแวงในตัวน้องสามทันที เมื่อเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวในปัจจุบัน การตอบสนองของน้องสามว่องไวนัก เขาถามข้าทันทีว่าก่วนฟางอี๋ทราบเนื้อหาที่ข้าสนทนากับเว่ยฉูหรือไม่”

“การที่เขาสงสัยเช่นนี้มันก็เข้าใจได้ไม่ยาก นอกจากเรื่องนี้แล้วยังจะมีเรื่องใดที่ทำให้ก่วนฟางอี๋กริ่งเกรงเขาได้อีกเล่า? น้องสามสงสัยว่าก่วนฟางอี๋จะรู้เรื่องแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงยื่นคำขาดข่มขู่นางว่าให้มาภายในหนึ่งชั่วยามเพื่อลองหยั่งเชิงนาง ซึ่งเหตุผลมันก็เข้าใจได้ไม่ยาก หากก่วนฟางอี๋รู้เรื่องจริงๆ หากนางทราบว่าปู้สวินเป็นฝ่ายมาหาน้องสามด้วยตัวเอง อีกทั้งน้องสามยังกล้าข่มขู่ด้วยถ้อยคำรุนแรงว่าจะทำให้สวนไม้เลื้อยหายไปจากเมืองหลวงอย่างสมบูรณ์เช่นนี้อีก หากก่วนฟางอี๋ทราบเรื่องจริงๆ นางจะไม่กลัวได้หรือ?”

“แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ก่วนฟางอี๋ที่หลบเลี่ยงไม่ยอมมาพบตลอดวันกลับรีบบึ่งกลับมาทันที กลับมาภายในหนึ่งชั่วยามอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อนางกลับมา ปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่ว่านางทราบเรื่องเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่มันยังแสดงให้เห็นว่านางหวาดกลัวเพราะมีความผิดติดตัว แสดงให้เห็นว่านางใช้เล่ห์กลเพื่อให้ทราบเนื้อหาในบทสนทนา มิใช่เพราะทางปู้สวินบอกต่อนาง แล้วก็มิใช่เพราะทางจวนจินอ๋องบอกต่อนาง เพราะหากว่ามีทั้งสองฝ่ายนั้นคอยหนุนหลังนางอยู่ นางก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเลย และการข่มขู่ของน้องสามก็จะไม่มีผลต่อนาง ห้องที่ข้ากับเว่ยฉูเคยสนทนากันน่าจะมีปัญหา!”

“เรื่องราวหลังจากนั้นเจ้าเองก็เห็นหมดแล้ว น้องสามลงมือเด็ดขาด เขียนสัญญาขายตัวให้นาง ใช้อำนาจบังคับกดดันไม่ให้นางมีทางถอย จัดการนางได้อยู่หมัดในทันทีทันใด จากนั้นก็ให้พวกเจ้ารีบออกไปปล่อยข่าวทันที พอมีคนมาตรวจสอบ แล้วก่วนฟางอี๋ที่ตกอยู่ในความสับสนงงงวยยอมรับไป ข้าวสารมันก็จะกลายเป็นข้าวสุก ตัวนางยอมรับออกมาเองแล้ว ทุกคนรู้กันหมดแล้ว นางกลายเป็นทาสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อให้หลังจากนี้นางจะเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา หึๆ…น้องสามคนนี้ร้ายจริงๆ ก่วนฟางอี๋หนอก่วนฟางอี๋ ฉลาดเกินไปสุดท้ายก็แพ้ภัยตัวเอง หากว่านางไม่หลบเลี่ยงทำตัวลับๆ ล่อๆ บางทีน้องสามอาจจะจัดการนางไม่ได้ง่ายแบบนี้!”

หลังจากหงซิ่วได้ฟังก็กระจ่างขึ้นมา ลองนึกทบทวนเหตุการณ์ในตอนนั้นอีกครั้ง เอ่ยด้วยความรู้สึกขนลุกว่า “คนผู้นี้น่ากลัวจริงๆ หรือว่าเรื่องที่ถูกฮ่องเต้แคว้นฉีกดดันจนหมดหนทางก่อนหน้านี้ก็เป็นแผนของเขาเจ้าคะ?”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เฮ่าอวิ๋นถูสามารถจัดการเขาได้ ทว่าเขาไม่สามารถจัดการเฮ่าอวิ๋นถูได้ พอเฮ่าอวิ๋นถูลงมือเรื่องราวก็อยู่เหนือการควบคุมของเขาแล้ว เป็นคู่ต่อสู้ที่อยู่กันคนละชั้นอย่างสิ้นเชิง เขามีแต่จะเสียเปรียบตกเป็นรอง กว่าจะรอดมาได้ไม่นับว่าง่ายเลย”

ลิ่งหูชิวกล่าวพลางมองไปรอบๆ อีกครั้ง “เจ้านี่ค่อนข้างอันตรายจริงๆ พวกเจ้าลองคิดทบทวนดูดีๆ ซิ ตลอดทางมานี้พวกเราคงไม่ได้เผยพิรุธอันใดออกไปใช่ไหม?”

สตรีทั้งสองสบตากันเล็กน้อย หงฝูตอบเสียงเรียบ “น่าจะไม่มีอะไรนะเจ้าคะ หากว่ามีเกรงว่าเขาคงหาทางสลัดนายท่านออกไปแต่เนิ่นๆ แล้ว ไหนเลยจะยอมเสี่ยงเก็บอันตรายไว้ข้างกายมาโดยตลอด ยิ่งไม่มีทางปล่อยให้นายท่านมีส่วนร่วมในเรื่องลับเช่นนี้ด้วยเลยเจ้าค่ะ”

ลิ่งหูชิวถอนหายใจเบาๆ กล่าวไปว่า “ต่อไปพวกเจ้าสองคนจะทำการใดจงระวังไว้ ต้องรอบคอบถี่ถ้วน!”

….

ภายในวังหลวง หลังจากเฮ่าอวิ๋นถูออกว่าราชการในช่วงเช้าเสร็จเรียบร้อยก็กลับมาที่ห้องหนังสือ ถอดชุดว่าราชการออก

เมื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อย ขันทีทั้งหลายออกไปแล้ว ปู้สวินก็แย้มยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “เช้านี้นอกวังเกิดเรื่องน่าสนใจบางอย่างขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูที่เดินไปถึงข้างโต๊ะทำงานเอ่ยถาม “เรื่องใดกันที่ทำให้เจ้าบอกว่าน่าสนใจได้?”

ปู้สวินตอบว่า “เช้านี้หงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยปฏิเสธแขกที่ไปหา ประกาศอำลาวงการอย่างเป็นทางการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูเงียบไปครู่หนึ่ง สมัยที่เขายังหนุ่ม เป็นช่วงที่ความงามของก่วนฟางอี๋เป็นที่เลื่องลือพอดี เขาเคยแฝงตัวไปแอบชื่นชมอยู่ห่างๆ เช่นกัน นับเป็นโฉมงามที่ไม่มีใครเทียบได้คนหนึ่งจริงๆ เขาเองก็เคยคิดจะสานสัมพันธ์กับก่วนฟางอี๋เช่นกัน ทว่าด้วยความกริ่งเกรงในบางเรื่อง ทำให้เขาต้องระงับความปรารถนาของตนไว้

ตอนนี้พอนึกขึ้นมาย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย หลังจากนั่งลงก็ยื่นมือไปยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา เอ่ยถามว่า “เลิกทำแล้ว หรือว่าจะมีที่พึ่งใหม่ที่ดีกว่าแล้ว?”

ปู้สวินค้อมกายตอบไปว่า “ไปติดตามหนิวโหย่วเต้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“พรู่ด…” เฮ่าอวิ๋นถูพ่นน้ำชาที่เพิ่งดื่มออกมา ไอโขลกๆ อยู่ตรงนั้น สำลักน้ำชาเสียแล้ว

………………………………………………………