ตอนที่ 288 หนีกันเถิด
หลีชิงให้พวกเขาไปวิ่งรอบหมู่บ้านครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็สอนท่าต่อสู้ขั้นพื้นฐานสองสามท่าแล้วให้พวกเขาฝึกฝนกันเอง ส่วนตนก็ออกไปช่วยส่งสินค้าให้ตระกูลหลิน !
หมู่บ้านฉือหลี่โกวตั้งอยู่ในหุบเขา ถนนที่เข้าสู่เขตเริ่นอันจึงรกร้างและห่างไกลมาก ทำให้เกิดเหตุจลาจลได้ง่าย ขากลับของวันที่ห้า หลีชิงยังได้เจอกับพวกมันจริง ๆ กลุ่มโจรมีด้วยกัน 50-60 คน แถมส่วนใหญ่ยังเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป สุดท้ายก็สู้หลีชิงคนเดียวไม่ได้
ชาวบ้านฉือหลี่โกวที่ตามไปด้วยยังไม่ทันได้ออกแรง อีกฝ่ายก็ลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว…นี่อาจเป็นกลุ่มโจรน่าอนาถมากที่สุด ใครใช้ให้พวกมันดวงซวยมาเจอกับเทพสังหารหลีชิง ?
เมื่อกลับไปแล้ว ชาวบ้านนับสิบที่ตามไปด้วยก็เล่าเรื่องนี้ออกมา ชาวฉือหลี่โกวจึงอยากเรียนการต่อสู้ยิ่งกว่าเดิม สำหรับโลกภายนอกแล้ว หลีชิงผู้ที่อ้างตนว่าเป็นหลานชายของนางหวงจึงเล่าว่าเคยเป็นผู้คุ้มกันในสำนักคุ้มกันภัยมาก่อน ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถอธิบายถึงที่มาที่ไปของวรยุทธได้
หลังจากว่างงานแล้วไม่มีสิ่งใดทำ หลินเว่ยเว่ยก็ตามมาฝึกด้วย อาจเพราะมีพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิด นางจึงเรียนรู้ได้เร็วเป็นพิเศษ คนอื่นฝึกท่าหนึ่งแปดรอบสิบรอบก็ยังจับทางไม่ถูก แต่นางแค่มองสองสามรอบก็สามารถวาดลวดลายได้อย่างดุดันแล้ว
หลีชิงจำใจต้องยอมรับ “เจ้าเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธ ! ถ้าเจอกันเร็วกว่านี้สักสองสามปี ข้าคง…ให้อาจารย์รับเจ้าเป็นศิษย์ไปแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยเก็บสายตาข่มขู่ “ก็ไม่เลว ข้าเข้าใจผิดว่าเจ้าจะเป็นอาจารย์แล้วเอาเปรียบข้าเสียแทน ! ทว่าถ้าพบกันเร็วกว่านี้เจ้าก็รับข้าไม่ไหวหรอก…เพราะตอนนั้นข้ายังสติไม่ดี กินข้าวก็ต้องมีคนป้อนอยู่เลย ! ”
ขณะที่หลีชิงสอนกระบวนท่าออกหมัดให้นั้น หลินเว่ยเว่ยก็ฮำเพลงไปพลางฝึกไปด้วย หลีชิงเบิกบานเพราะเห็นหัวใจนักสู้จึงเข้าไปปะทะกับนาง หลังปะทะกันได้สองสามกระบวนท่า เขาก็ต้องถอยออกมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าอะไร ! สตรีนางนี้มีพละกำลังมหาศาล กอปรกับกระบวนท่าในการออกหมัดทำให้หมัดธรรมดามีพละกำลังเพิ่มกว่าสิบสองเท่าหรืออาจมากกว่านั้น
ต่อจากนั้นเขาก็หยิบกิ่งไม้ขึ้นมา เมื่อลองชั่งน้ำหนักในมือแล้วเขาก็พูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “มา มาทดสอบวิชากระบองของเจ้า ดูว่าช่วงนี้เจ้าแอบอู้หรือไม่ ? ”
ตัวหลินเว่ยเว่ยก็เข้าไปหยิบกระบองเหล็กหนาเท่าข้อมือเด็กออกมาจากในบ้าน พอวาดลวยลายในมือแล้วนางก็ฟาดลงพื้น ทันใดนั้นแผ่นหินก็แตกเป็นเสี่ยง
หลีชิงตกตะลึงทันใด…ลาก่อน !
“เตรียมตัว ! ” หลังวาดลวดลายเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็กวาดกระบองเหล็กใส่เขาทันที
หลีชิงใช้วิชาตัวเบาหลบได้อย่างว่องไว เขาสัมผัสได้ถึงสายลมที่โดนกระบองพาดผ่านข้างแก้มและซัดชายเสื้อของตน…เจ้าตัวแสบ ถ้าตัวเขาเผลอไปโดนเข้า กระดูกได้หักเป็นท่อนแน่นอน !
ขณะที่เขากำลังเหม่อลอย กระบองเหล็กก็พุ่งเข้ามาที่ใบหน้า หลีชิงจึงรีบเดินลมปราณแล้วใช้กิ่งไม้ในมือสกัดไว้ ‘กึก’ กิ่งไม้หักเป็นสองท่อน ส่วนตัวเขาก็กลิ้งไปกับพื้น ในที่สุดก็ออกจากวิถีของกระบองเหล็กได้
“หยุด หยุด ! เจ้าคิดจะฆ่ากันหรือ ? กระบองเหล็กพุ่งเข้ามาเช่นนี้ ถ้าข้าหลบไม่ทัน ศีรษะจะไม่แหลกหรอกหรือ ! ” หลีชิงโยนกิ่งไม้สองท่อนในมือทิ้งและหยุดต่อสู้กับคนประหลาด ไม่อย่างนั้นเขาได้ตายจริง ๆ แน่ !
หลินเว่ยเว่ยเค้นเสียงดัง ฮึ “ข้าจะใช้กระบอกเหล็กนี้ทำอันใดได้เล่า…”
เมื่อเก็บกระบองเหล็กแล้วนางก็ถอนหายใจออกมา “ไร้ศัตรู…น่าเบื่อจะตาย…”
“พอแล้ว ! วรยุทธแบบแมวสามขาของเจ้ายังด้อยกว่าพวกศัตรูมาก ! แม้จะมีพละกำลังมหาศาล ทว่าอ่อนก็เอาชนะแข็งได้ หากพบศัตรูที่มีความว่องไวเป็นเลิศ เจ้าเพิ่งฟาดกระบองออกไป อีกฝ่ายก็สามารถอ้อมมาด้านหลังแล้วควบคุมตัวเจ้าได้แล้ว ! ” หลีชิงแสดงให้นางเห็นถึงกระบวนท่าแสนร้ายกาจของตน
หลินเว่ยเว่ยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ย่างก้าวเมฆาของเจ้าไม่เลว สอนข้า สอนข้าด้วย ! ”
“เจ้าไปฟังจากที่ใดว่าเรียกย่างก้าวเมฆา ? นี่เรียกว่าย่างก้าวดารานพเก้าต่างหาก ! สืบทอดกันในตระกูลเท่านั้น ! ” หลีชิงเผยท่าทางภาคภูมิใจ
“เมฆา ดารา ก็อยู่บนฟ้าทั้งนั้น มันก็เหมือนกันหมด ! สอนข้าได้หรือไม่ ข้าเลี้ยงหม้อไฟเจ้าเลย ! ”
“สองมื้อ ! ” หลีชิงต่อรอง
“ตกลง ! ” หลินเว่ยเว่ยตกปากรับคำ เฮอะ ไม่มีสิ่งใดที่หม้อไฟจะแก้ไขไม่ได้ !
…
ในยามค่ำคืน ราวกับน้ำหมึกปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า บนท้องฟ้าไม่ปรากฏดวงจันทร์และมองไม่เห็นประกายแสงดาวแม้แต่ดวงเดียว มืดสนิทราวกับปิศาจร้ายได้กลืนกินฉือหลี่โกว และภูเขาต้าชิงเอาไว้…
ดึกดื่นเที่ยงคืน คนทั้งหมู่บ้านหลับกันหมดแล้ว แต่จู่ ๆ เจียงโม่หานก็ตื่นขึ้นมา เขารีบกระโดดลงจากเตียงอุ่น แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่สวมทับแล้วรีบนอนหมอบกับพื้นพลางเอาหูแนบลงไป
แย่แล้ว ! เจียงโม่หานรู้สึกได้ถึงแผ่นดินไหว เขาจึงรีบวิ่งออกจากบ้านแล้วออกแรงทุบประตูบ้านตระกูลหลิน หลินเว่ยเว่ยได้ยินเสียงจึงใส่เสื้อขนกระต่ายแล้ววิ่งออกมาเปิดประตูให้เขา
หลังเห็นบัณฑิตน้อยสวมแค่เสื้อผ้าเนื้อบางออกมา นางก็รีบดึงตัวเขาเข้ามาแล้วแบ่งเสื้อคลุมให้เขาครึ่งหนึ่ง เสื้อคลุมหลวม ๆ ห่อหุ้มทั้งสองคนเข้าหากัน ความอบอุ่นในตัวหลินเว่ยเว่ยจึงทำให้ร่างอันเย็นยะเยือกของเจียงโม่หานอุ่นขึ้น
“เป็นอันใด ? ฝันร้ายอย่างนั้นหรือ ? ” ความจริงแล้วหลินเว่ยเว่ยอยากหยอกเย้าเขาว่าคิดถึงนางใช่หรือไม่ จึงลอบมาเจอในยามค่ำคืนเช่นนี้ แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้ว นางก็เก็บความคิดล้อเลียนเอาไว้
“รีบไปบอกผู้ใหญ่บ้านว่าพวกโจรกำลังจะเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว ! ” เจียงโม่หานเห็นบ้านตระกูลหลินตื่นกันทุกคน จึงบอกกับพวกเขาว่า “รีบเก็บทรัพย์สินมีค่า ส่วนของอย่างอื่นสิ่งใดทิ้งได้ก็ทิ้ง สำคัญที่สุดคือรักษาชีวิต ! ”
หลังกล่าวจบ เขาก็หันหลังวิ่งกลับเข้าบ้านตนเอง แล้วปลุกนางเฝิงและเผิงหยูเหยี่ยนให้ตื่นขึ้นมา จากนั้นก็ใส่เสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายที่ทั้งอุ่นและนุ่มสบายแล้วเก็บตั๋วเงิน หลังจากครุ่นคิดแล้ว…เขายังนำข้าวสารอีก 3-5 ชั่งใส่ลงในไห !
หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าบัณฑิตน้อยมีความสามารถในการฟังเหนือผู้ใด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับชีวิตคน นางจึงไม่กล้ารอช้า ‘ก๊อกก๊อกก๊อก’ เสียงเคาะประตูบ้านผู้ใหญ่วังดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีถ้อยคำยาวเป็นหางว่าวตามมาติด ๆ “ผู้ใหญ่บ้าน ประเดี๋ยวโจรจะเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว รีบบอกให้พวกชาวบ้านมารวมตัวกันที่ลานหมู่บ้าน ไม่เกิน 1 เค่อ ข้าจะพาทุกคนไปซ่อนบนภูเขา ! ”
ผู้ใหญ่บ้านรีบบอกให้บุตรชายคนโตเก็บข้าวของ ส่วนคนอื่นไปบอกลูกบ้านทั้งหมดโดยกำชับว่าให้เอาแต่ของมีค่าน้ำหนักเบาไปเท่านั้น ส่วนของอย่างอื่นไม่ต้องเอาไป !
สำหรับโจรที่หลินเว่ยเว่ยกล่าวถึง เขาไม่สงสัยแม้แต่น้อย เพราะสำหรับความเชื่อมั่นที่ชาวฉือหลี่โกวมีต่อนาง มันถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนในตัวของผู้ใด !
บุตรชาย ลูกสะใภ้และหลานชายที่โตหน่อยของผู้ใหญ่บ้านจึงรีบใส่เสื้อผ้าแล้ววิ่งออกไปข้างนอกทันที พวกเขาเคาะประตูปลุกบ้านแล้วบ้านเล่าและแจ้งข่าวร้ายนี้ต่อทุกคน ในช่วงเวลานั้นหมู่บ้านฉือหลี่โกวจึงเกิดความโกลาหลทันที เสียงปลุกบุตรหลาน เสียงเก็บข้าวของและเสียงด่าทอ…
แน่นอนว่าต้องมีคนที่สงสัยอยู่ด้วย พวกเขามองไปยังหน้าหมู่บ้านและไม่พบความผิดปกติอันใด…นางหนูรองรู้ได้อย่างไรว่าอีกประเดี๋ยวโจรจะเข้ามาในหมู่บ้าน ?
บุตรชายคนรองของผู้ใหญ่บ้านเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “นางหนูรองเคยหลอกเราตั้งแต่เมื่อไร ? นางได้ประโยชน์อันใดจากการหลอกพวกเรา ? ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็อยู่ที่นี่ต่อไป ! ” หลังกล่าวจบ เขาก็วิ่งไปหาอีกบ้านทันที !
หลินเว่ยเว่ยก็ไม่ได้กลับบ้านของตน แต่นางวิ่งไปแจ้งครอบครัวสองสามหลังที่อยู่ค่อนข้างไกลแทน อย่างเช่นบ้านท่านหมอเหลียงที่รักความสะอาดจึงไปตั้งอยู่ตรงเชิงเขาอันห่างไกลจากหมู่บ้าน