ตอนที่ 320 บทภาพยนตร์ที่ทำให้คนตกหลุมพราง

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 320 บทภาพยนตร์ที่ทำให้คนตกหลุมพราง

หลังจากอ่านด้วยความเร็วแล้ว หลินเยวียนได้ปัดฝุ่นทบทวนบทเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูที่ระบบให้มาแล้ว หลังจากนั้นน้ำตาของเขาก็ไหลไปรวมกับน้ำมูก

หลินเยวียนเป็นคนที่บ่อน้ำตาตื้นมากคนหนึ่ง!

เขามักจะถูกคลิปวิดีโอสั้นที่ซึ้งกินใจทำให้บ่อน้ำตาแตกอยู่บ่อยๆ

แต่แน่นอน

ถ้าหากฉากซึ้งของภาพยนตร์แย่ แถมเพลงประกอบยังไร้จิตวิญญาณ งั้นต่อให้ฉากจะซึ้งแค่ไหนก็ไม่มีผลกับหลินเยวียน

ความช่างเลือกสรรด้านดนตรี สามารถเอาชนะความสามารถในการต้านทานฉากเรียกน้ำตาของเขาได้

“ฮึก”

หลินเยวียนปาดน้ำมูกและน้ำตา เริ่มลงมือเขียนบท

โดยปกติ นี่เป็นงานที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เขียนไปตามที่ระบบหามาให้ก็เป็นอันใช้ได้

ทว่าวันนี้หลินเยวียนทรมานมากทีเดียว

เพราะขณะที่หลินเยวียนเขียนไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าเริ่มแสบจมูก ขอบตาเริ่มร้อน รู้สึกประหนึ่งมีบางอย่างมาติดอยู่ที่ลำคอ

“ฉันอยากร้องไห้ แต่ร้องไห้ไม่ออก”

หลินเยวียนเอ่ยอย่างจนใจ แต่เขาก็เขียนบทจนเสร็จภายในคืนนั้น

บทนี้เรียกน้ำตาสุดๆ แต่ความยากในการถ่ายทำก็น้อยกว่าเรื่องชีวิตอัศจรรย์ของพายมากเช่นกัน!

หากจะถามว่าตรงไหนที่ถ่ายทำยากกว่า ก็เห็นจะอยู่ตรงที่ความร่วมมือของน้องหมา

ภาพยนตร์จำเป็นต้องใช้การร่วมมือกันระหว่างคนกับสุนัข ทว่าคนสามารถควบคุมได้ แต่สัตว์กลับควบคุมไม่ได้

ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถของหลินเยวียน

เพราะหลินเยียนมีไอเทมพิเศษที่ระบบมอบให้

หนึ่งในนั้นมีไอเทมหนึ่ง ชื่อว่า ‘ยาน้ำนักแสดง’ ปกติแล้วไอเทมนี้เตรียมมาสำหรับนักแสดง เพื่อสร้างสรรค์การแสดงระดับราชาภาพยนตร์ ตามรูปลักษณ์ของนักแสดงคนนั้น

แต่เมื่อหลินเยวียนอ่านคำแนะนำของไอเทมนี้แล้ว

ใช้กับสุนัขก็ได้ เพราะสุนัขเองก็เป็นนักแสดงในภาพยนตร์เช่นเดียวกัน

นี่เป็นหมายเหตุที่ระบบจงใจใส่เพิ่มขึ้นมา ก่อนหน้านี้หลินเยวียนสังเหตเห็นแล้ว ไม่ได้นับว่าแปลกอะไร เพราะอันที่จริงองค์ประกอบซึ่งเป็นสัตว์ในภาพยนตร์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ภาพยนตร์บางเรื่องมีน้องแมว บางเรื่องก็มีน้องหมา

ตัวอย่างเช่น ในเรื่องนักปรับเสียงเปียโนก็มีส่วนของแมว แต่เพราะส่วนนี้เรียบง่าย ชี้แนะเล็กน้อยก็สามารถถ่ายทำต่อได้

ดังนั้นหลินเยวียนจึงไม่อยากใช้ยาน้ำนักแสดง

สุนัขในครั้งนี้ ซึ่งก็คือปากง กลับมีบทบาทมากกว่านั้น จึงจำเป็นต้องใช้ยาน้ำนักแสดง ไม่เช่นนั้นจะทำให้การถ่ายทำล่าช้าได้

ส่วนที่ยากที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือความเข้ากันของคนกับสุนัขไม่ใช่หรอกหรือ?

เมื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว การถ่ายปากง สุนัขยอดกตัญญูก็ไม่ใช่เรื่องยาก

หลังจากนั้นก็เป็นความยากจุดที่สอง

ภาพยนตร์เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู จำเป็นต้องมีนักแสดงนำชายซึ่งมีฝีมือการแสดงโดดเด่นพอ และมีบุคลิกของผู้คงแก่เรียนหรือผู้ที่ได้รับการบ่มเพาะด้านวรรณกรรม

ปากงเป็นสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าของที่มันพบเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

อาจารย์มหาวิทยาลัย ย่อมต้องมีกลิ่นอายของผู้ทรงภูมิ ต้องมีรูปลักษณ์สุภาพ ทำให้ดูดีในสายตาผู้คน

หลินเยวียนไม่ได้เลือกนักแสดงตามต้นฉบับ

แต่ละคนต่างก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน

บลูสตาร์มีความชอบของตัวเอง ซึ่งค่อนไปทางดั้งเดิม อ่อนโยนและสง่างามดุจหยกอะไรทำนองนั้น คนนอกยากที่จะเข้าใจ

โชคดีที่ความยากจุดนี้ หลินเยวียนเองก็แก้ปัญหาได้

เพราะในครั้งนี้ หลินเยวียนมีตัวเลือกนักแสดงชายที่เหมาะสมอยู่ในใจ เขาตัดสินใจได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครแนะนำด้วยซ้ำ

นั่นก็คือนักแสดงชายซึ่งมีชื่อว่าจางซิ่วหมิง

คนคนนี้เป็นราชาภาพยนตร์ของสตาร์ไลท์ นับว่าเป็นตัวท็อปอย่างแท้จริง

ถึงแม้หลินเยวียนไม่อยากร่วมงานกับนักแสดงเบอร์ใหญ่ เพราะค่าตัวของพวกเขาสูงเหลือเกิน

แต่ถ้าหากอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้นักแสดงเบอร์ใหญ่จริงๆ หลินเยวียนก็ไม่ต่อต้าน

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่านักแสดงแถวหน้าจะรับค่าตัวไปส่วนหนึ่ง แต่รายได้อีกส่วนหนึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เขาและบริษัทแบกรับร่วมกัน

ครั้งนี้หลินเยวียนคิดว่าจะลงทุนกับบริษัทคนละครึ่ง

ส่วนเหตุผลว่าทำไมหลินเยวียนถึงรู้จักจางซิ่วหมิงน่ะหรือ…

ก็เพราะเจ้าของร่างชื่นชอบจางซิ่วหมิงมาก

จางซิ่วหมิงเล่นเป็นฮ่องเต้ได้ เล่นเป็นวณิพกก็ได้

เขาเป็นคนดีสุภาพอ่อนโยน หรือจะเป็นคนโฉดชั่วก็ได้เช่นกัน

สิ่งที่เรียกว่าตีบทแตก เขาทำได้อย่างดีเยี่ยม

หากถามว่าเหมือนกับใครละก็ หลินเยวียนคิดว่าจางซิ่วหมิงคล้ายกับนักแสดงชื่อดังของจีนสักคนหนึ่ง

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตา ตรงนี้ประเมินจากปัจจัยอย่างฝีมือการแสดง บุคลิก และสไตล์ บลูสตาร์ไม่มีทางมีนักแสดงจากโลกได้หรอก

……

เขาไม่ได้ไปหาเหล่าโจว เพราะเงินทุนของภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่ได้สูงมากนัก

ถ้าหากสามารถลดค่าตัวของนักแสดงนำได้ จะถึงขั้นจัดว่าเป็นภาพยนตร์ต้นทุนระดับกลางถึงต่ำได้เลย

เพราะฉะนั้นหลินเยวียนจึงติดต่อจางซิ่วหมิงไปโดยตรง

อยู่ในบริษัทเดียวกัน ด้วยสถานะของหลินเยวียนแล้ว หากจะติดต่อศิลปินดาราในบริษัทสักคน ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

เขาเพียงบอกเล่าให้ผู้ช่วยกู้ตงฟังไม่กี่ประโยค ดังนั้นบทของเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู จึงมาอยู่ในมือจางซิ่วหมิง

“คุณหมายถึง เซี่ยนอวี๋อยากร่วมงานกับผม…”

จางซิ่วหมิงเงยหน้ามองผู้จัดการ

ผู้จัดการยิ้มเอ่ย “ใช่ครับ บทนี้เขาเพิ่งให้ผู้ช่วยส่งมา ให้คุณเป็นนักแสดงนำ ยังไงก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะถึงยังไงคุณก็รับซีรีส์ของอาจารย์หลงมาแล้ว แต่เพื่อไม่ให้เป็นการล่วงเกินคนเขา เรามาลองอ่านกันก่อนสักหน่อย”

ต่างจากหลิ่วเจิ้งเหวิน

จางซิ่วหมิงเป็นนักแสดงระดับราชาภาพยนตร์ ย่อมมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย ดังนั้นเขาจึงมีตัวเลือกมากมาย

มิหนำซ้ำช่วงนี้ จางซิ่วหมิงก็รับงานซีรีส์เรื่องหนึ่งมาแล้ว

นักเขียนบทของซีรีส์เรื่องนั้นมีชื่อว่าหลงหยาง นับว่าเป็นตัวแทนของระบบซึ่งมีนักเขียนเป็นแกนหลัก เชี่ยวชาญการเขียนบทเพื่อคว้ารางวัล เป็นนักเขียนบทที่มีหน้ามีตาในวงการมาก

ก่อนหน้านี้จางซิ่วหมิงเคยร่วมงานกับหลงหยางมาก่อน ครั้งนี้ย่อมรับซีรีส์เรื่องใหม่ของหลงหยาง ถึงแม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ ทว่าก็อยู่ในสถานะที่ยืนยันแล้ว

“ผมขออ่านหน่อยแล้วกัน”

จางซิ่วหมิงเอ่ยเสียงเบา

ถ้าหากเป็นเซี่ยนอวี๋ที่เคยถ่ายทำเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ เขาคงไม่ขบคิดถึงขนาดนี้

ไม่ใช่เพราะเขาดูถูกแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะเขารู้ว่าสไตล์การแสดงของเขาแตกต่างจากเส้นทางการแสดงซีรีส์

ทว่าก่อนหน้านี้เขาได้ดูเรื่องนักปรับเสียงเปียโน

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้จางซิ่วหมิงประหลาดใจเหลือเกิน

เพราะฉะนั้นจางซิ่วหมิงจึงดีใจมากเมื่อรู้ว่าเซี่ยนอวี๋สนใจให้ตนแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องใหม่

ถึงอย่างไรเขาก็ชื่นชอบเรื่องนักปรับเสียงเปียโนมาก และเมื่อได้รับการยอมรับจากนักเขียนบท เรื่องนี้ย่อมกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดี

ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมต้องอ่านบทเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูด้วยความตั้งใจ

ต่อให้ไม่รับงาน แต่อ่านสักหน่อยจะเป็นไรไป ใช่ไหมล่ะ?

ไม่ร่วมงานกันตอนนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้จะร่วมงานกันไม่ได้

นี่คือความคิดของจางซิ่วหมิงขณะที่เปิดอ่านบท

เขาตัดสินใจรับซีรีส์ของนักเขียนบทหลงหยางแล้ว เพราะเขาชอบบทนั้นมากจริงๆ

ใช่แล้ว

ครั้นจางซิ่วหมิงเริ่มอ่านปากง สุนัขยอดกตัญญู เขาก็ยังคงยืนกรานที่จะร่วมงานกับนักเขียนบทหลงหยาง

มีหลายเรื่อง ที่เริ่มต้นมาเป็นเช่นนี้

คนเรามักจะคิดว่าบางอย่างที่ตนเลือกจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

เช่นเดียวกับจางซิ่วหมิงในตอนนี้

ทว่าบ่อยครั้งที่สิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ขณะที่คนเราคิดว่าจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

ความไม่คาดฝันนั้นเรียกว่า ‘ความหอม[1]’

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง

ผู้จัดการของจางซิ่วหมิงก็ได้เห็นเรื่องไม่คาดฝันนี้กับตา

พูดให้ชัดก็คือ ไม่ใช่เรื่องไม่คาดฝัน แต่เป็นเรื่องชวนตะลึงต่างหากล่ะ

ผู้จัดการของจางซิ่วหมิงตกตะลึงไปแล้ว!

เขาเห็นจางซิ่วหมิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน น้ำตารินไหล อารมณ์ของเขาคล้ายกับพังทลายลง ทั้งยังเอ่ยอย่างหนักแน่น

“ผมจะเล่นหนังของเซี่ยนอวี๋”

แล้วหลงหยางล่ะ?

เอาเถอะ

ผู้จัดการรูดซิปปากอย่างรู้งาน

เขารู้ว่าเมื่อนักแสดงสักคนหนึ่งซาบซึ้งกับบทภาพยนตร์สักเรื่องหนึ่งถึงเพียงนี้ อันที่จริงก็ตีความได้ว่า นักแสดงคนนี้ได้ตกหลุมพรางเป็นที่เรียบร้อย

………………………………………………..

[1] ความหอม อันที่จริงเป็นคำแสลงอินเทอร์เน็ต มาจากเมื่อคนได้กลิ่นหอมของอาหาร ก็จะต้านทานไม่ไหว เปรียบเปรยถึงการยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดกลับทำลงไป บางครั้งอาจเป็นเพราะทนต่อสิ่งเร้าไม่ไหว