บทที่ 419 ความน่ากลัวของตระกูลฉู่

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 419 ความน่ากลัวของตระกูลฉู่

บทที่ 419 ความน่ากลัวของตระกูลฉู่

ทางด้านสองผู้เฒ่าฉู่ เมื่อพวกเขาได้รับแหวนมิติกับถุงล้ำค่าที่ฉู่เหินมอบให้ก็พากันออกเดินทางทันที! ฉู่เหินมองแผ่นหลังของผู้เฒ่าสามและผู้เฒ่าห้าด้วยจิตใจว้าวุ่น

“ผู้เฒ่าหก ผู้เฒ่าแปด ผู้เฒ่าสิบ พวกคุณ 3 คนนำยอดฝีมือ 500 คน ออกไปหลังจากนี้อีกครึ่งชั่วโมง ตามหลังผู้เฒ่าสามและผู้เฒ่าห้าไป! ผมมีถุงล้ำค่าหนึ่งอันกับแหวนมิติหนึ่งอัน พวกคุณมาหยิบไปได้เลยครับ! หลังจากออกไปแล้วค่อยเปิดถุงล้ำค่าทำตามแผนที่วางไว้!”

ฉู่เหินออกคำสั่งทิ้งไว้ก่อนจะออกไป หลังจากเขาจัดการตามแผนที่วางไว้เสร็จสิ้น ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา ฉู่ฉุนที่อยู่ด้านล่างเมื่อเห็นรอยยิ้มบนหน้าของผู้เป็นพี่ก็พลันรู้สึกคลายความกังวลลง เขารู้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายตัวเองยิ้มแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าแผนการเป็นไปตามที่หวังไว้และทุกอย่างจะสำเร็จอย่างแน่นอน

ผู้เฒ่าสามและผู้เฒ่าห้าเดินทางอย่างรวดเร็วราวสายลม ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูของนิกายกระบี่ ในตอนนี้ทั่วทั้งนิกายกระบี่ได้สร้างค่ายกลป้องกันเอาไว้หมดแล้ว ราวกับรอต้อนรับทัพใหญ่ นิกายกระบี่รู้ชัดถึงนิสัยกัดไม่ปล่อยของตระกูลฉู่ดี อย่างไรพวกเขาก็ไม่คิดที่จะรออีกฝ่ายเฉย ๆ แน่

ตอนที่ในใจพวกเขากำลังกังวลอยู่นั้น คนจากนิกายกระบี่ก็เห็นว่าด้านนอกของนิกายตัวเองจู่ ๆ ก็มีเงาปรากฏขึ้นสองร่าง! เงาร่างนี้เป็นคนที่พวกเขารู้จักเป็นอย่างดี นั่นก็คือผู้เฒ่าสามและผู้เฒ่าห้า เฒ่าชราทั้งสองคนนี้เป็นศูนย์กลางของตระกูลฉู่ อย่างไรก็ตามจู่ ๆ พวกเขาก็มาปรากฏตัวที่นี่วันนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่!

แต่พูดจริง ๆ ตอนนี้นิกายกระบี่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวพวกเขาเท่าไร แม้ว่ายอดฝีมือของกลุ่มอำนาจทั้งสองจะบาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย แต่คนที่เหลือเมื่อรวมกันแล้ว พวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง อีกทั้งพวกเขายังมีค่ายกลสนับสนุนอีกด้วย ต่อให้ทั้งตระกูลฉู่เคลื่อนทัพมาก็ไม่สามารถทำอะไรค่ายกลตรงหน้านี้ได้!

ทว่าที่ทำให้พวกเขาแปลกใจก็คือ ในเมื่อผู้เฒ่าสามและผู้เฒ่าห้าแห่งตระกูลฉู่มาที่นี่ ทำไมถึงไม่มีกองทัพตระกูลฉู่กันล่ะ แม้ว่าในใจจะสงสัย แต่ก็ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าในพริบตาสิ่งที่คุ้มกันภูเขาอยู่จะถูกพัดไปในท้ายที่สุด

หลังจากผู้เฒ่าสามและผู้เฒ่าห้ามาถึงที่นี่ ชายชราทั้งสองก็ไม่ได้เลือกที่จะโจมตี พวกเขากลับยื่นมือที่มีแหวนมิติมาเปิดออก หลังจากนั้นกระจกแปดเหลี่ยมเล็ก ๆ ก็ปรากฏอยู่ในมือ! เจ้ากระจกแปดเหลี่ยมนี้เป็นของวิเศษที่ฉู่เหินใช้เวลาหลอมมาตลอด 1 วันเต็ม

กระจกแปดเหลี่ยมนี้ไม่ได้สวยงามประณีตเท่าไร และก็ไม่ได้คุณภาพดีอะไรขนาดนั้นเช่นกัน ถ้าคนที่มองผ่าน ๆ ก็จะนึกว่ามันเป็นกระจกแปดเหลี่ยมธรรมดา คงไม่มีใครคาดถึงว่ามันสามารถปล่อยอะไรออกมาหรือมีพลังอำนาจยังไง

หลังจากผู้เฒ่าสามเอากระจกแปดเหลี่ยมออกมา ผู้เฒ่าห้าก็หยิบที่สื่อสารออกมาอันหนึ่ง ต่อมาชายชราก็ส่งข้อความออกไป หลังจากข้อความนี้ถูกส่งออกไปแล้ว เห็นเพียงผู้เฒ่าสามและผู้เฒ่าห้าสบตากัน ก่อนที่พวกเขาจะโยนกระจกแปดเหลี่ยมนั้นออกไปทางนิกายกระบี่!

ทันทีที่กระจกแปดเหลี่ยมถูกโยนออกไป ของที่ธรรมดาไม่ได้แปลกประหลาดอะไรจู่ ๆ ก็เกิดแสงสว่างเป็นวงกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน หลังจากนั้นตรงกลางของกระจกแปดเหลี่ยมก็ปล่อยแสงสว่างสีฟ้าออกมา ระยะของแสงสว่างที่เกิดขึ้นส่องออกไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับว่าปกคลุมไปทั่วในรัศมี 10 ตารางเมตร

หลังจากมันหยุดปล่อยแสง เจ้ากระจกแปดเหลี่ยมก็ลอยอยู่เหนือนิกายกระบี่ ก่อนที่มันจะเริ่มโคจรอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่มันโคจร คล้ายกับว่าพลังความแข็งแกร่งของมันจะเพิ่มหลายเท่า! แต่ตั้งแต่เริ่มจนตอนนี้นอกจากมันจะปล่อยสงสว่างออกมาแล้วก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นอีก

ในเกาะตระกูลฉู่ ฉู่เหินและเหล่าผู้เฒ่าคนอื่น ๆ ของตระกูลฉู่ต่างมารวมตัวกันอยู่ในห้องลับ ระหว่างที่เหล่าผู้เฒ่ากำลังล้อมกันอยู่นั้น ค่ายกลจูเซียนเจินตรงหน้าของพวกเขาก็พลันเปล่งแสงขนาดใหญ่ออกมา แต่ที่ทำให้ทุกคนแปลกใจก็คือแสงที่ปล่อยจากค่ายกลจูเซียนเจินปกคลุมนั้นอยู่ที่ด้านนอก!

อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตจริง ๆ แล้วล่ะก็ จะพบว่าที่ใจกลางของตระกูลฉู่นั้นมีพลังความเร็วของแสงจาง ๆ อยู่ลำหนึ่ง มันเป็นพลังที่เชื่อมต่อไปยังด้านนอก!

พลังที่ว่าทั้งหมดเข้าไปสู่กระจกแปดเหลี่ยมที่ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อมันหมุนอย่างต่อเนื่อง ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ พลังที่ว่าก็ดูถ้าจะทวีคูณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

ทันทีที่พลังดังกล่าวเข้าไปในกระจกแปดเหลี่ยม มันก็ทำให้ผู้คนกลัวจนลนลาน ตอนนี้พวกเขาพอเดาได้แล้วว่านี่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับค่ายกลจูเซียนเจิน!

ในตอนที่ฉู่เหินกักตนครั้งนี้ มันไม่ได้เป็นการกระทำที่สิ้นเปลื้องโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเขาได้ค้นพบเกี่ยวกับความลับของค่ายกลจูเซียนเจินมาไม่น้อย แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ฉู่เหินรู้สึกว่าตัวเองรู้จักวงเวทย์ค่ายกลจูเซียนเจินแค่ 1-2 ของความลับทั้งหมดพันอย่างเท่านั้น

การกระตุ้นวงเวทย์นั้นมีเพียงอย่างเดียวคือต้องใช้พลังธาตุถึงจะทำได้! แต่หลังจากกระตุ้นวงเวทย์ค่ายกลจูเซียนเจินด้วยพลังธาตุแล้ว จำเป็นต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ซึ่งถ้าพลังธาตุยิ่งวิวัฒนาการเยอะเท่าไร มันก็จะเชื่อมต่อกับพลังธาตุที่อยู่ภายในวงเวทย์ค่ายกลจูเซียนเจินมากขึ้นเท่านั้น

ทั้งยังจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง ในตอนที่ฉู่เหินทำการคาดเดาเขาก็สามารถคาดเดาได้เพียงสามขั้นเท่านั้น วงเวทย์ค่ายกลจูเซียนเจินกระตุ้นด้วยพลังธาตุทอง หลังจากนั้นก็จะวิวัฒนาการกลายมาเป็นธาตุดิน ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถดึงความสามารถภายในของค่ายกลจูเซียนเจินออกมาได้! ต่อมาธาตุทองและธาตุดินก็จะเปลี่ยนเป็นพลังธาตุสายฟ้า!

หลังจากปรากฏพลังธาตุสายฟ้าออกมา พลังของสายฟ้าจากฟ้าดินก็จากรวมตัวกันและระเบิดด้วยอานุภาพมากกว่าเดิมนับร้อยเท่า! อย่างไรก็ตามการวิวัฒนาการขั้นต่อไปยังต้องอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างพลังธาตุลมด้วย ซึ่งฉู่เหินก็ยังค่อนข้างไม่แน่ใจเสียเท่าไหร่

ถ้าจะให้พลังธาตุตัวเองวิวัฒนาการ ฉู่เหินก็ยังทำไม่ได้อย่างใจคิด แต่ถ้าใช้ประโยชน์จากค่ายกลจูเซียนเจินมาเชื่อมโยงถึงกัน การวิวัฒนาการก็จะสะดวกยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ล่ะก็ เขาคงทำไม่ได้แน่ ๆ

สำหรับกระจกแปดเหลี่ยมอันนั้น ที่จริงมันเปรียบเสมือนสื่อกลางอย่างหนึ่ง ตอนที่กระตุ้นค่ายกลจูเซียนเจินจะต้องผ่านตัวกลางไม่งั้นจะไม่สามารถปล่อยพลังออกมาได้! ด้วยวิธีนี้ค่ายกลจูเซียนเจินจึงไม่สามารถอยู่ในพื้นที่จำกัดได้ เพียงต้องทำความเข้าใจกับวงเวทย์แบบนี้ก่อนเขาถึงจำสามารถรู้ว่าที่นั้นคือที่ไหนในโลกใบนี้!

แน่นอนว่าระยะทางของทั้งสองไกลกันจนไม่รู้แน่ชัด ซึ่งเขาจำเป็นต้องค่อย ๆ ศึกษา!

ในตอนนี้เอง จู่ ๆ นิกายกระบี่ก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย พวกเขาพบว่าเกราะป้องกันของตัวเองไม่มีความหมายกับแสงสว่างนี้เลยสักนิด เพราะเมื่อภูเขาของนิกายกระบี่ถูกแสงสว่างนี้ปกคลุม แสงสว่างที่ว่านั่นก็พลันทำให้เกราะป้องกันเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง!

ลูกศิษย์ทุกคนพบว่าที่อยู่หรือบ้านของพวกเขาจู่ ๆ ก็หายไปไม่เห็นอีกแล้ว! และทันใดนั้นพายุทรายก็ปกคลุมเต็มท้องฟ้า พายุทรายอันบ้าคลั่งก็เข้าปกคลุมพวกเขาเอาไว้ทั้งหมด

ราวกับทรายเหล่านี้ก่อเป็นรูปร่างของมนุษย์ขึ้นมา มันมาพร้อมกับดาบอันแหลมคมแทงไปทางนิกายกระบี่! ทันทีที่ทรายปรากฏก็เกิดลมแรงสายหนึ่งพัดมา ลมแรงนั้นหมุนพัดทำให้ทรายทั้งหมดกลายร่างเป็นมนุษย์จำนวนมาก!

ในตอนนี้ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์นิกายกระบี่เท่านั้นที่งุนงง ผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เหล่านั้นต่างก็หวาดกลัวไปตาม ๆ กัน อย่างไรก็ตามท่ามกลางความเป็นความตาย พวกเขาจำเป็นต้องออกมายืนสู้กับมนุษย์ทราย! มนุษย์ทรายนี้คล้ายจะไม่รู้จักเจ็บ พอถูกตัดแขนเขาข้างหนึ่ง มันก็จะมีแขนยื่นออกมาใหม่ในทันที

ต่อให้ตัดหัวมัน มันก็จะมีหัวใหม่งอกออกมาได้อีก เมื่อเป็นแบบนี้นั้นก็เปรียบเสมือนกับว่าพวกมันเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักตายชนิดหนึ่ง ตัวประหลาดถูกวางไว้ที่นี่ ทำให้คนในนิกายกระบี่รู้สึกทั้งหวาดกลัวทั้งเหนื่อยจนเกือบหมดแรง!

พวกเขาต่างถูกมนุษย์ทรายไล่ฆ่า จะส่วนกลับก็ไม่มีประโยชน์เพราะพวกมันไม่มีวันตาย เมื่อเป็นแบบนี้เลยมีแต่เสียงของนิกายกระบี่ที่ร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน ตอนนี้นิกายกระบี่ได้รู้แล้วว่าพวกเขาประเมินตระกูลฉู่ต่ำไปมากแค่ไหน! ตอนนี้ตระกูลฉู่ยังไม่ได้ส่งทหารออกมาเลย ใช้เพียงค่ายกลอันเดียวก็สามารถทำให้นิกายกระบี่ของพวกเขาย่ำแย่ขนาดนี้แล้ว!

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่จิตใจของพวกเขากำลังสั่นเท่าด้วยไม่รู้ว่าควรทำยังไง จู่ ๆ ในค่ายกลก็มีเสียงของผู้เฒ่าสามและผู้เฒ่าห้าส่งเสียงออกมา!