นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 166 ทะเลาะ
นางหยิบไม้กวาดขึ้นมา ค้อมเอวตะคุ่มๆ เดินไป พอถึงปากประตูบ้านก็ง้างไม้กวาดขึ้น ฟาดลงไปอย่างแรง “เจ้าหัวขโมยมาจ้องบ้านเรา!”

อีกฝ่ายถูกฟาดร้องตกใจเจ็บ แต่กลับเป็นเสียงผู้หญิง

โจวกุ้ยหลานตกใจ ยกไม้กวาดขึ้น เห็นหลิวเซียงเอามือกุมศีรษะขดตัวนั่งอยู่กับพื้น

“เจ้ามาบ้านข้าทำไม?”

“ข้า…ข้า…”

หลิวเซียงยิ่งร้อนรนก็ยิ่งพูดไม่ออก

“รีบกลับบ้านเจ้าไปเสีย ตอนนี้แม่ข้ากำลังโมโหอยู่ ถ้าเจ้าโผล่ไปให้นางเห็น กลัวแต่เจ้าจะถูกตีเท่านั้น”

โจวกุ้ยหลานเอ่ย จากนั้นก็หมุนตัวกลับ

หลิวเซียงเห็นดังนั้นจึงรีบฉุดนาง เอ่ยด้วยความร้อนใจ “เออ เจ้าให้ข้าเข้าบ้านได้ไหม? ข้าไม่มีที่ไปแล้ว เจ้าทำบุญเถอะ ให้ข้าอยู่ด้วยนะ? ขอร้องล่ะ!”

“เจ้ายังกล้ามาอยู่บ้านข้า? เจ้าคิดว่าเจ้าทำเรื่องอย่างนั้นแล้วพวกเรายังกล้าให้เจ้าอยู่ด้วยหรือ?” โจวกุ้ยหลานถลึงตาถามกลับ

นางคนนี้ก็เสียจริง ต้องใจใหญ่ขนาดไหนถึงคิดว่าพวกเราตระกูลโจวพูดง่ายอย่างนั้น?

“ข้าทำงานได้! ข้าทำงานเก่งนะ ทำงานไร่ทำนาได้ อะไรก็ทำได้หมด ขอเพียงพวกเจ้าให้ข้ามีที่ให้หลบฝน ให้ของกินหน่อยก็พอ! ข้าไม่แต่งกับพี่ชายเจ้าแล้ว ข้าจะเป็นวัวเป็นม้าพวกเจ้า!”

ว่าแล้วหลิวเซียงก็คุกเข่ากับโจวกุ้ยหลาน โขกศีรษะไม่หยุด

โจวกุ้ยหลานเลิกคิ้ว นี่มันอะไรกัน!

“ไม่ต้องโขกแล้ว เจ้ารออยู่นี่ ข้าไปถามพวกเขาว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไร”

โจวกุ้ยหลานบอกแล้วเดินเข้าบ้านไป ไม่รอให้นางพูดอีก

คิดๆ ดู นางยังไม่ได้ปิดประตูบ้านเลย

ตอนนี้นางตระหนักเหตุผลหนึ่งแล้ว คนที่น่าสงสารย่อมมีจุดที่น่าแค้น ก็อย่างตอนนี้ นางโขกตัวเองไม่ใจอ่อนสักนิด มีแต่จะทำให้รู้สึกรำคาญ แต่ด้วยคุณธรรมแห่งมนุษย์ นางจะคล้องปิดประตูก็ไม่ได้

ดังนั้น พวกเรื่องซาบซึ้งตรึงใจในโทรทัศน์ล้วนไม่เป็นจริง คนพวกนี้มีแต่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ส่วนมากคงทำพวกเขารำคาญแล้วถึงช่วยกระมัง?

โจวกุ้ยหลานเบะปาก เข้าบ้าน แล้ววิ่งไปบอกเรื่องนี้กับเหล่าไท่ไท่

พอเหล่าไท่ไท่ได้ฟัง ก็เบิกตากว้าง “อะไรนะ? นางคิดจะทำอะไร? วิ่งมาคุกเข่าบ้านเราทำไมกัน?”

“คงเพราะอาสะใภ้ชุ่ยฮวาไม่ให้นางอยู่ด้วยนั่นแหละ หรือไม่ก็เพราะพวกเขาคิดวิธีใหม่ มาทำตัวน่าสงสารกับพวกเรา” โจวกุ้ยหลานเอ่ย

จะว่านางใจไม้ไส้ระกำก็ดี ว่านางเห็นคนตายไม่ช่วยก็ช่าง นางรู้สึกเอือมกับทุกอย่างที่หลิวเซียงทำ รำคาญด้วย

“ให้นางรีบกลับบ้าน มาคุกเข่าบ้านเราทำไม? จะมาอยู่บ้านเราหรือ?” เหล่าไท่ไท่เอ่ย จากนั้นก็หยิบที่คีบไปไล่คน

โจวกุ้ยหลานรีบตามออกไป แต่พอเดินไปถึงห้องโถงก็เห็นโจวต้าไห่กำลังขวางเหล่าไท่ไท่อยู่ตรงกลางห้อง

“เจ้าว่าอะไรนะ?” เหล่าไท่ไท่สงสัยว่าหูตัวเองมีปัญหา

ดูโจวต้าไห่คล้ายจะตัดสินใจแล้ว เอ่ย “ท่านแม่ ท่านให้นางเข้าบ้านเถอะ ตอนนี้ก็มืดแล้ว จะให้นางไปที่ไหนได้อีก?”

“เจ้าลูกคนนี้จะให้ข้าโมโหตายใช่ไหม? หา? นางเข้าบ้านก็ไม่ไปแล้ว เจ้าต้องแต่งกับนางเป็นเมีย! เจ้าจะแต่งเอาสะใภ้อย่างนี้กลับมาใช่ไหม?”

เหล่าไท่ไท่โมโหจนฟาดที่คีบกับขาโจวต้าไห่

โจวกุ้ยหลานเบือนหน้าไม่มองพวกเขา มือสวีฉางหลินที่กำลังถือตะกร้าสานชะงัก เจ้าก้อนน้อยเบิกตาโพลงมองเรื่องทั้งหมด มึนๆ งงๆ

“กลับห้อง” สวีฉางหลินหันไปสั่งกับเจ้าก้อนน้อย

เจ้าก้อนน้อยลุกขึ้น แล้วหันกลับเข้าห้องไป

โจวกุ้ยหลานคิด จากนั้นก็เดินไปอยู่ข้าวสวีฉางหลิน นั่งตรงม้านั่งของเขา มองนิ้วมือที่สานตะกร้าด้วยว่องไว

“เจ้าระวังหน่อย ตอกไม้ไผ่นี่บาดมือง่าย” โจวกุ้ยหลานเตือนสวีฉางหลิน

สวีฉางหลินสีหน้าเป็นปกติ “ข้าหนังหนา”

โจวกุ้ยหลานรู้สึกขัน มองการเคลื่อนไหวของเขา

นับวันนางยิ่งรู้สึกว่าสวีฉางหลินทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ตะกร้าก็สานเป็น แถมยังไม่ต้องให้นางเป็นห่วงอีก อื่ม เป็นผู้ชายที่ไม่เลวเลยจริงๆ

สำหรับเรื่องของเหล่าไท่ไท่กับโจวต้าไห่…นางคร้านจะสนใจ

“สวีฉางหลิน ห้าวันให้หลังพวกเราเริ่มสร้างบ้านใหม่เถอะ? สองสามวันนี้ข้าจะวาดภาพออกมา” โจวกุ้ยหลานคึกคักเอ่ย

สวีฉางหลินมองนางแวบหนึ่ง “ได้”

“ถึงตอนนั้นพวกเราก็หาคนที่สร้างบ้านโดยเฉพาะ เรื่องนี้ให้เขาเหมาทำเถอะ ไม่อย่างนั้นเราทำกันเองลำบากเกินไป เหนื่อยด้วย พวกเราเร่งทำงานของพวกเรา แล้วคุมว่าทำอย่างไรก็พอแล้ว”

โจวกุ้ยหลานเสนออีกครั้ง

สร้างบ้านครั้งที่แล้วนางหวิดจะเหนื่อยตาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวีฉางหลินกับโจวต้าไห่ ยังเป็นชาติก่อนที่ดี มีคนเหมางาน

มือสวีฉางหลินหยุดชะงัก “เหมาอย่างไร?”

“ก็หาคนที่เชื่อถือได้ ให้เงินเขาตามงาน ให้เขาทำอย่างเดียว แล้วพวกเราออกเงิน” โจวกุ้ยหลานตอบ

สวีฉางหลินหยุดมือ สายตาที่มองโจวกุ้ยหลานพลันเปลี่ยน

“เจ้าคิดวิธีนี้ได้อย่างไร?” นี่มีแต่พวกคนรวยถึงทำอย่างนี้

โจวกุ้ยหลานไม่ยี่หระ “ก็ไม่อยากเหนื่อยเกินไปนี่”

“แล้วเจ้ามีคนที่เชื่อถือได้หรือ?” สวีฉางหลินทำงานต่อ ถาม

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า นางเพิ่งมาโลกนี้ไม่นาน กอปรกับไม่ค่อยออกจากบ้าน ดังนั้นจึงรู้จักเพียงไม่กี่คน

“ข้าก็ไม่รู้จัก” สวีฉางหลินเอ่ย

“เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าจะแต่งกับนาง? นางวางแผนกับเจ้าอย่างนั้นแล้ว เจ้ายังจะคิดจะแต่งเข้ามา?” เสียงของเหล่าไท่ไท่ดังขึ้นอีกหลายส่วน ดังมาถึงหูพวกเขาสองคน

โจวกุ้ยหลานมองพวกเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ “อย่างนั้นพวกเราก็ได้แต่ทำกันเองแล้ว?”

“คงต้องอย่างนั้น เจ้าไม่ใช่ว่าอยากเอาเงินพวกนั้นทำบ้านหมดหรือ? อย่างนี้จะยิ่งทำให้คนอื่นรู้ แล้วจะไม่ยิ่งนินทาหรืออย่างไร?” สวีฉางหลินเอ่ยต่อ

โจวกุ้ยหลานคิด เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น

เฮ้อ ดูท่านางคงอู้ไม่ได้แล้ว

“แต่ก็นะ มีเงินแต่จะซ่อนจะเก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าดูพี่เราสิ ยังไม่ชัดอีกหรือ?”

โจวกุ้ยหลานบุ้ยปากไปทางโจวต้าไห่ บอกให้สวีฉางหลินดู

ตอนบ่ายนางยังครุ่นคิดอยู่ว่าจะสร้างบ้านตรงปากทางลมหรือไม่ แต่หลังจากรู้เรื่องโจวต้าไห่แล้ว นางก็ตัดสินใจว่าจะต้องสร้างบ้าน! ถ้าไม่ทำบ้านแล้วเกิดมีคนมาวางแผนอะไรกับครอบครัวนางอีกล่ะ? ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เช่นนั้นนางก็จะไม่ให้ตัวเองต้องลำบาก

สวีฉางหลินมองตามภรรยาของตน เห็นเหล่าไท่ไท่ใช้ที่คีบตีต้นขาโจวต้าไห่อีก จากนั้นจึงก้มหน้า สานตะกร้าของตัวเองต่อ “อื่อ”

“ท่านแม่ ต่อให้นางวางแผนกับข้า แต่ข้าก็นอนกับนางแล้ว ถ้าข้าไม่แต่งกับนาง ชาตินี้นางคงแต่งไม่ออก อย่างไรท่านก็อยากได้สะใภ้ ข้าแต่งกับนางก็จะได้รับผิดชอบนางด้วย” โจวต้าไห่ดื้อดึงขึ้นมา

“เจ้าว่าพี่ใหญ่จะได้แต่งกับหลิวเซียงไหม?” โจวกุ้ยหลานใช้ศอกกระทุ้งสวีฉางหลิน ถาม