ตอนที่ 283 หญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 283 หญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า
สตรีสูงศักดิ์ที่รายล้อมอยู่บริเวณนั้นยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นกว่าเดิม “จวิ้นจู่ยังไม่ได้แต่งงานก็ปกป้องเขาเช่นนี้แล้วหรือเจ้าคะ!”

หลิ่วรั่วฟูถูกหยอกจนใบหูแดงก่ำ ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “หากพวกเจ้ายังกล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้อีก ข้าจะไม่สนใจพวกเจ้าแล้ว!”

“เอาล่ะๆ หยุดกล่าวเรื่องนี้กันได้แล้ว ระวังองค์ชายสี่ได้ยินแล้วเข้าใจผิดว่าพวกเรารังแกจวิ้นจู่ พระองค์อาจคาดโทษพวกเราได้…” หลู่เป่าหวาปิดปากหัวเราะ

แม้จะถูกล้อเลียน ทว่า หลิ่วรั่วฟูกลับรู้สึกดีใจ

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าองค์ชายสี่แห่งต้าเหลียงคุกเข่าขอแต่งงานเมื่อวาน อีกทั้งยังสาบานอีกว่าต่อไปจะไม่รับอนุ หลิ่วรั่วฟูรู้สึกใจสั่นจริงๆ

วันนี้เมื่อได้เห็นว่าองค์ชายสี่รูปงามถึงเพียงนี้ ในใจยิ่งรู้สึกเห็นด้วยกับคำกล่าวของเสด็จพ่อ…นี่เป็นการแต่งงานที่ดีจริงๆ

“เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มาแล้ว…”

“เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มาแล้ว!”

ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อเดินอยู่ข้างกายของต่งซื่อ เจินเจ๋อผิงที่กำลังสนทนาอยู่กับสหายมองเห็นไป๋ชิงเหยียนจึงรีบเรียกภรรยาและบุตรสาวลุกขึ้นไปต้อนรับ “ฮูหยิน! เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่! เกาอี้เซี่ยนจู่!”

ต่งซื่อย่อกายทำความเคารพกลับยิ้มๆ ภรรยาของเจินเจ๋อผิงมองไป๋ชิงเหยียนด้วยสายตาชื่นชมนับถือ จูงแขนของบุตรสาวให้เข้าไปทักทายไป๋ชิงเหยียน

ได้ยินเสียงซุบซิบของบรรดาสตรี หลิ่วรั่วฟูจึงหันไปมองทางประตูทางเข้าท้องพระโรง เห็นเหล่าแม่ทัพและครอบครัวของเขากำลังห้อมล้อมทักทายไป๋ชิงเหยียนอยู่ตรงหน้าประตู พวกเขาบดบังสายตาของหลิ่วรั่วฟูพอดี หญิงสาวจึงมองไม่เห็นใบหน้าของไป๋ชิงเหยียน

เมื่อขันทีตะโกนว่าองค์รัชทายาทและพระชายาเสด็จมาถึงแล้ว

เหล่าแม่ทัพและครอบครัวของพวกเขาที่กำลังสนทนาอยู่กับต่งซื่อ ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อจึงถอยหลังไปสองสามก้าว ทำความเคารพองค์รัชทายาทที่เดินเข้าประตูมา

เมื่อคืน องค์รัชทายาทให้คนส่งจดหมายไปยังจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ แจ้งให้ไป๋ชิงเหยียนทราบว่า…หลี่จือเจี๋ยมีเพียงแหวนวงนั้นจริงๆ เดิมทีหลี่จือเจี๋ยเพียงต้องการยุแยงให้เกิดความบาดหมางระหว่างองค์รัชทายาทและขุนนางของแคว้นต้าจิ้นเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าไป๋ชิงเหยียนจะรายงานเรื่องนี้ให้องค์รัชทายาททราบอย่างซื่อสัตย์ แผนของหลี่จือเจี๋ยจึงพังไม่เป็นท่า

องค์รัชทายาทสั่งให้คนบอกว่าให้นางทำใจ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังส่งของกำนัลปลอบขวัญมาให้อีกมากมาย

ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้น มองเห็นเซียวหรงเหยี่ยนเดินอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท หญิงสาวนึกถึงถ้อยคำมีเลศนัยของเซียวหรงเหยี่ยนบนเรือเมื่อวานจึงรีบเบนสายตาหนีเซียวหรงเหยี่ยนทันที

เซียวหรงเหยี่ยนยิ้มออกมาบางๆ โค้งกายคำนับต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนอย่างนอบน้อม

พระชายาขององค์รัชทายาทมองไปทางไป๋ชิงเหยียน จากนั้นสายตาหยุดอยู่ที่เซียวหรงเหยี่ยนซึ่งยืนอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท ใช้ผ้าเช็ดหน้าบังรอยยิ้มที่มุมปาก “ฮูหยิน เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่และเกาอี้เซี่ยนจู่รีบนั่งลงเถิด เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ใกล้มาถึงแล้ว”

“เพคะ!” ต่งซื่อพยักหน้ารับคำ พาไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อเดินตามหลังพระชายาขององค์รัชทายาทไปยังที่นั่งซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของตน

สตรีที่ไม่เคยเห็นเซียวหรงเหยี่ยนมาก่อนต่างพากันซุบซิบ คาดเดาฐานะของเซียวหรงเหยี่ยน

เซียวหรงเหยี่ยนอยู่ในชุดคลุมยาวสีขาว แขวนป้ายหยกไว้ที่เอว เขาแต่งกายอย่างเรียบง่ายที่สุด ทว่า กลับซ่อนรัศมีความสูงส่งสง่างามเอาไว้ไม่ได้ ชายหนุ่มมีใบหน้าที่รูปงาม จมูกโด่งคมสัน ดวงตากลมโตและล้ำลึก ยิ่งทำให้เขาดูนิ่งขรึม ทว่า รอยยิ้มที่มุมปากกลับทำให้เขาดูเหมือนบัณฑิตผู้สุขุม ช่างดูน่ามองยิ่งนัก

หลิ่วรั่วฟูถูกบุรุษข้างกายขององค์รัชทายาทดึงดูดสายตา เมื่อนางได้สติ เว่ยฉี่เหิงที่เดิมทีนั่งอยู่ตรงที่นั่งของตัวเองผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ขาของเขากระแทกกับโต๊ะสามขาที่ใช้วางธูปหอมรูปสัตว์มงคลจนเกิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย

เว่ยฉี่เหิงจับโต๊ะไม่ให้ล้ม ลุกขึ้นยืนพลางถลาเข้าไปหาไป๋ชิงเหยียนอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ชายหนุ่มเข้าไปขวางหน้าไป๋ชิงเหยียนเอาไว้ ทำความเคารพ “จวิ้นจู่…”

หลิ่วรั่วฟูมองตามร่างของเว่ยฉี่เหิง สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวตะลึงงัน ลืมหายใจไปชั่วขณะ แทบจะขยำผ้าเช็ดหน้าในมือจนขาดวิ่น

นางคิดว่าไป๋ชิงเหยียนหน้าตาพอดูได้เท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสตรีที่งดงามน่าตราตรึงถึงเพียงนี้ ท่ามกลางแสงจากโคมไฟในท้องพระโรง ผิวของสตรีผู้นั้นเนียนละเอียดราวกับโปร่งแสงได้ ไม่เหมือนคนที่นำทัพออกรบเลยสักนิด ใบหน้าและลำคอเรียวระหงงดงามสมบูรณ์แบบ กิริยาท่าทางดูอ่อนแอขี้โรคไม่เหมือนผู้ที่ฝึกวิทยายุทธเลยสักนิด มีเพียงดวงตาสีดำล้ำลึกคู่นั้นที่ดูสงบนิ่ง ทำให้คนรู้สึกว่านางเป็นคนที่หนักแน่นในการฝึกฝนวิชา ดูแข็งแรงและสงบนิ่ง

งดงามและแข็งแกร่งรวมอยู่ในตัวของคนเพียงคนเดียว งามอย่างสูงส่งและน่านับถือ

หลิ่วรั่วฟูเริ่มหายใจติดขัด ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของเหล่าสตรีตระกูลสูงศักดิ์ซึ่งจับใจความไม่เข้าค่อยได้ดังอยู่ข้างหู ยิ่งเมื่อได้ยินผู้อื่นกล่าวชมว่าไป๋ชิงเหยียนงามกว่านาง หลิ่วรั่วฟูยิ่งรู้สึกแย่

“เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่งดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย บรรดาคุณชายเจ้าสำราญเหล่านั้นไม่ได้โกหกจริงๆ ด้วย งามจนเรียกว่าหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้เลยกระมัง!”

“ตรงนั้นมีหญิงสาวอันดับหนึ่งของต้าจิ้นนั่งอยู่…เมื่อครู่นางยังกล่าวเป็นนัยอยู่เลยว่าหลู่หยวนเผิงกล่าวชมเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เกินจริงเพราะนับถือท่านเป็นทุนเดิม ตอนนี้เห็นเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่แล้ว เหตุใดนางไม่กล่าวอันใดออกมาบ้าง”

“นั่นสิ คิดว่าตัวเองเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของต้าจิ้น ชอบทำตัววางมาด กล่าวติเตียนการแต่งตัวของผู้อื่น ดูเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เสียก่อน…แต่งกายด้วยชุดราบเรียบ ไม่มีเครื่องประทินโฉมใดๆ อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่างามล่มเมือง”

สตรีตระกูลสูงศักดิ์ใจกล้าบางคนถึงขนาดมองมาที่นางด้วยสายตาเยาะเย้ย ใบหูของหลิ่วรั่วฟูแดงเถือก

“ไม่ต้องไปสนใจคนพวกนั้น!” หลู่เป่าหวาถลึงตาใส่คนปากมากผู้นั้นแวบหนึ่ง “ไม่ว่าอย่างไร ผู้อื่นก็ล้วนอิจฉาการแต่งงานของเจ้า บุรุษก็เป็นเช่นนี้ พวกเขามักชื่นชมแม่ทัพผู้เกรียงไกร แสดงให้เห็นว่าองค์ชายสี่ไม่ได้ดูถูกสตรี ถือเป็นเรื่องที่ดี!”

ได้ยินหลู่เป่าหวากล่าวเช่นนี้ หลิ่วรั่วฟูจึงรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย หญิงสาวยกยิ้มมุมปาก แค่นหัวเราะออกมาอย่างโมโห “นั่นสินะ บุรุษต่างนับถือแม่ทัพผู้มีความสามารถกันทั้งนั้น ทว่า ในกองทัพล้วนมีแต่บุรุษ คงไม่มีบุรุษคนใดกล้าแต่งงานกับสตรีที่วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่ในกองทัพหรอก อ้อ…ยกเว้นฉินหล่างไว้สักคน!”

หลู่เป่าหวาไม่ค่อยเห็นด้วยกับถ้อยคำประโยคสุดท้ายของหลิ่วรั่วฟู แต่ก็รู้ดีว่าหลิ่วรั่วฟูกำลังไม่พอใจ นางจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ ไม่กล่าวสิ่งใดอีก

“ข้าว่านะ เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่คงไม่ได้ชนะในสนามรบหรอก ใบหน้าเช่นนี้เมื่ออยู่ในสนามรบ ทหารคนใดจะกล้าทำร้ายนางกัน แค่ปรายตามองพวกนั้นก็เข่าอ่อนแล้ว! ถูกอย่างที่จวิ้นจู่กล่าว ในกองทัพมีแต่บุรุษ ผู้ใดจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง หากขอสตรีที่เอาแต่ขลุกอยู่ในกองทัพแต่งงาน เกรงว่าต่อไปคงเดือดร้อนไปทั้งตระกูลอย่างแน่นอน”

สตรีสูงศักดิ์ที่สนิทสนมกับหลิ่วรั่วฟูหัวเราะออกมาเบาๆ พลางเอ่ยสำทับ “พวกเจ้าดู ตระกูลฉินโชคร้ายแต่งไป๋จิ่นซิ่วเข้าตระกูล ดูสิว่าตอนนี้ตระกูลฉินโชคร้ายมากเพียงใด เจียงซื่อฮูหยินถูกส่งไปอยู่วัด จงหย่งโหวเสียชีวิต ตระกูลฉินไร้สิ้นบรรดาศักดิ์!”

หลิ่วรั่วฟูใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบังรอยยิ้ม รู้สึกสะใจไม่น้อย “ที่กล่าวมาก็ดูสมเหตุสมผลอยู่”

ไป๋ชิงเหยียนมองดูดวงตาเป็นประกายของเว่ยฉี่เหิงอย่างไม่เข้าใจ ย่อกายทำความเคารพเว่ยฉี่เหิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นเดินตามหลังต่งซื่อไปยังที่นั่งของตัวเอง

เว่ยฉี่เหิงโดนสตรีเมินเป็นครั้งแรก เขามองตามหลังไป๋ชิงเหยียนไปด้วยแววตาที่เป็นประกายหลงใหล