ตอนที่ 461 ในภายภาคหน้ามาต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายด้วยกัน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 461 ในภายภาคหน้ามาต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายด้วยกัน

เพื่อให้เฟิงปั๋วเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของกระดูกพุทธะนี้ ฉินหลิวซีจึงได้เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผีสาวฝูเซิงได้รับกระดูกพุทธะนี้โดยบังเอิญ แม้แต่นางก็ยังถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ เห็นได้ว่าเมื่อห้าพันปีก่อนมันทรงพลังเพียงใด

“เพราะครอบครองกระดูกพุทธะจึงมีความผิด หนึ่งในกระดูกพุทธะอยู่กับท่าน วันหนึ่งท่านจะตกเป็นเป้าหมายของซื่อหลัว หากท่านสามารถควบคุมมันได้ ซ้ำยังมีกายเทพปกป้องร่าง หากซื่อหลัวต้องการเอากลับคืนมาก็ต้องใช้พลังอย่างมาก กระทั่งอาจเอาคืนไปไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “แต่หากท่านไม่สามารถควบคุมมันได้ ถูกล่อลวงให้เกิดความคิดเข่นฆ่าจนกลายเป็นเทพสังหาร สวรรค์จะลงโทษสังหารเทพเป็นคนแรก”

เฟิงปั๋วครุ่นคิด

“มารพุทธะก็เป็นพุทธะ ซื่อหลัวผู้นั้นเดิมทีก็เป็นชาวพุทธ เขาเพียงแค่ฝึกบำเพ็ญจนการเป็นมารเอ้อฝูเท่านั้น แต่ก็นับว่าเป็นพุทธะ เขาสามารถฝึกบำเพ็ญได้ แล้วเหตุใดท่านจะฝึกบำเพ็ญไม่ได้” ฉินหลิวซีชี้ไปยังขาขวา เอ่ยต่อว่า “ท่านมีกระดูกพุทธะนี้ การฝึกบำเพ็ญพุทธศาสนาคงไม่ใช่เรื่องยาก ช่างบังเอิญเสียจริง ท่านยังหัวโล้นอีกด้วย เป็นชาวพุทธแต่กำเนิด!”

หัวโล้น?

เฟิงปั๋วเอามือลูบศีรษะที่ว่างเปล่าของตัวเอง กล่าวว่า “ข้าเป็นครึ่งเทพแล้ว จะยังสามารถฝึกบำเพ็ญทางพุทธได้หรือ”

“ทำไมจะไม่ได้ การจะเป็นเทพก็ต้องฝึกบำเพ็ญ ดั่งคำกล่าวที่ว่าหากไม่ก้าวหน้าก็จะล่าถอย ท่านเป็นเพียงแค่ครึ่งเทพ หากฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นเทพโดยสมบูรณ์ พลังเทพก็จะมากมายมหาศาล การมีกายเทพยังสามารถปกป้องคนได้อีกมากมาย อย่างเช่นราษฎรในใต้หล้านี้ รวมถึงตระกูลเหยียนของท่านด้วย”

มีบางอย่างพลุ่งพล่านในใจเฟิงปั๋ว

“ความจริงแล้วแม้ว่าท่านจะไม่อยากฝึกบำเพ็ญก็ต้องฝึกบำเพ็ญ ข้ายังยืนยันคำเดิม การมีกระดูกพุทธะนั้นเป็นความผิด ที่ท่านประสบความสำเร็จเป็นครึ่งเทพคาดว่าเป็นเพราะมีมัน หากท่านเอามันออกไป บางทีพลังอาจจะกระจัดกระจาย ซ้ำยังมีโชคลาภของตระกูลเหยียนอีก ท่านก็ยังรู้จักปกปิดไว้ด้วยกลัวว่าหากคนอื่นมองออกถึงโชคลาภอันยิ่งใหญ่จะเป็นการนำภัยมาสู่ตระกูล เช่นนั้นหากท่านกลายเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง มีหรือจะปกป้องไม่ได้”

ต้องยอมรับว่าฉินหลิวซีรู้จักพูดจา เฟิงปั๋วคล้อยตามแล้ว

เขามองฉินหลิวซี กล่าวว่า “ชาวเสวียนเหมินอย่างเจ้าช่างรู้จักพูดจาเสียจริง หากทำกิจการ ต่อให้ซบเซาก็สามารถถูกเจ้าพยุงขึ้นมาได้”

ฉินหลิวซีใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจกลับคิดว่า ‘เหลวไหล หากไม่โน้มน้าวให้ท่านตั้งใจฝึกบำเพ็ญเป็นเทพอย่างแท้จริง ในภายภาคหน้าจะต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายด้วยกันได้อย่างไร’

เฟิงปั๋ว “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า แม้ว่าจะไม่ได้ทำเพื่อราษฎร แต่ก็เป็นการทำเพื่อตระกูลเหยียน เพื่อตัวของข้าเอง ข้าก็ต้องฝึกบำเพ็ญพุทธศาสนา ข้าไม่ได้อยากกลายเป็นเทพสังหาร”

มิฉะนั้นการยืนหยัดของเขาที่จะไม่หาตัวตายตัวแทนจะมีความหมายอะไร

“ท่านทำเพื่อราษฎร เพื่อตระกูล เพื่อตัวท่านเอง แล้วไถชิงล่ะ จะปล่อยไปเช่นนี้หรือ” ฉินหลิวซีถามเขา

ในมือของเฟิงปั๋วถือกำไลข้อมือที่แตกหักอยู่ตลอด เมื่อได้ยินดังนั้นมือก็แข็งทื่อ เอ่ย “เจ้าไม่ได้บอกว่าข้านิสัยไม่ดีหรอกหรือ”

“เมื่อครู่มีเพียงข้าและไถชิงที่เป็นสตรี ที่เหลือล้วนเป็นบุรุษ แล้วใครจะยืนอยู่ข้างนาง” ฉินหลิวซีเริ่มปั้นรูปปั้นอีกครั้ง ถอนหายใจพลางเอ่ย “ข้าย่อมรู้ว่าเป็นโชคชะตาเล่นตลก พวกท่านพลาดกันไปร้อยปี เทพและผีมีเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่การรอมาเป็นร้อยปีเพื่อคำสัญญาคำเดียว ยึดติดวิญญาณไว้กับกู่ฉินมาตลอด ไปไหนไม่ได้ คำขอโทษของท่านคำเดียวจะสามารถคลายความขับค้องใจนี้ได้หรือ”

“ท่านรู้หรือไม่ว่าอะไรคือความสิ้นหวัง เมื่อมีความหวังก็จะกลายเป็นความสิ้นหวังในพริบตา เช่นนั้นจึงเจ็บปวด ไม่สู้ให้นางคิดว่าท่านไปเกิดใหม่ตั้งนานแล้วเสียแต่แรก แทนที่จะเป็นเช่นนี้ นางรีบมาตามหาท่านอย่างกระตือรือร้น แต่เพียงคำว่าขอโทษคำเดียวก็ได้ทำลายความรักทั้งหมดไป สิ่งที่ไถชิงต้องการไม่ใช่คำขอโทษที่ล่าช้าของท่าน ความขุ่นเคืองของนางมีเพียงคำสัญญานั้น คำขอโทษของท่านนี้ทำให้นางรู้สึกว่าความรักและความขุ่นเคืองนั้นล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ความรักของชายหญิงในโลกใบนี้อย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยวางได้ โดยเฉพาะสตรี แต่ข้าเห็นว่าไถชิงนั้นมีความเย่อหยิ่ง ความรักนี้หมดไปแล้ว ใช่ว่านางจะไม่สามารถปล่อยวางได้ แต่ที่นางโกรธเป็นเพราะท่านใช้คำขอโทษแค่คำเดียวทำลายความรักนับร้อยปี ร้อยปีเชียวนะ ไม่ใช่หนึ่งปีสิบปี ท่านไม่คิดว่ามันยาวนานหรือ พบกันด้วยดี จากกันด้วยดี ความรักไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่เพื่อความรักที่พวกท่านเคยมีต่อกัน ไม่ควรพูดคุยกันสักหน่อยหรือ”

เฟิงปั๋วจ้องนาง

ฉินหลิวซี “?”

“เจ้าไม่ใช่ชาวเสวียนเหมินหรือ เหตุใดจึงได้เข้าใจเรื่องความรักเช่นนี้ เจ้าไปหลงรักใครเข้า จะแต่งงานแล้วหรือ”

ฉินหลิวซีมีอารมณ์โกรธอยู่บ้าง “ไม่เคยกินเนื้อหมูก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยเห็นหมู ข้าเป็นสตรีก็เลยสงสารนาง!”

เฟิงปั๋วหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ข้าล้อเจ้าเล่น เจ้าปั้นไปก่อน ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับมา”

เขาหายไปในพริบตา

ฉินหลิวซีก้มลงมองรูปปั้นเทพที่มีใบหน้าแล้ว เมื่อนึกถึงกระดูกพุทธะชิ้นที่สองก็ถอนหายใจ นี่เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ ในเมื่อเฟิงปั๋วได้สละทางโลกแล้ว หวังว่าเขาจะพยายามอย่างหนัก ฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นเทพอย่างแท้จริง ในภายภาคหน้าเมื่อต้องต่อสู้กับปีศาจจะได้มีผู้ช่วย!

ไถชิงกระดกไหสุราไปหลายอึก มองดูน้ำในทะเลสาบอันสงบนิ่ง น้ำตาเลือดของนางไหลออกมาจนเหือดแห้งแล้ว

“สุรานี้ให้ข้าดื่มสักจอกได้หรือไม่”

ไถชิงตัวแข็งทื่อ

เฟิงปั๋วนั่งลงถัดจากนางไม่ไกลมาก เป็นระยะที่สองคนสามารถคุยกันได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางได้รับบาดเจ็บ

ไถชิงสังเกตเห็นระยะห่างนี้ ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มอันขมขื่น ใช่แล้ว ตอนนี้เขาเป็นครึ่งเทพ แต่นางเป็นเพียงแค่ผีตนหนึ่ง ทั้งสองคนได้กลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปตั้งนานแล้ว แม้แต่เข้าใกล้ก็ยังไม่ได้เลย แล้วยังจะพูดถึงเรื่องสานต่อความสัมพันธ์อะไรอีก

น่าขันที่ก่อนหน้านี้นางเคยคิดที่อยากจะอยู่เคียงข้างกายเขา เป็นผู้อยู่ภายใต้การดูแล

เฟิงปั๋วนั่งลง ไม่ได้สนใจว่านางจะเมิน ตั้งแต่ตอนที่เขาช่วยชีวิตคนจนตายกลายเป็นผี เฝ้าทะเลสาบลวี่หูแห่งนี้ปีแล้วปีเล่าจนเป็นเวลาร้อยปี

เดิมทีเสียงของเขานั้นไพเราะมากอยู่แล้ว ตอนนี้อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมก็ยิ่งมีเสน่ห์

หัวใจที่เดิมทีมีความโกรธแค้นของไถชิงค่อยๆ สงบลง

“…ร้อยปีที่ผ่านมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ข้าได้เห็นการพบและการจากลามากมาย เกิดแก่เจ็บตาย สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ฝุ่นผง เมื่อเริ่มต้นใหม่ หัวใจของข้าก็ค่อยๆ โดดเดี่ยว อาชิง ข้ากลายเป็นครึ่งเทพแล้ว ได้รับการเคารพบูชาและความศรัทธา ก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง ข้ารู้ว่าสักวันก็ต้องสลายไปในที่สุด แต่ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อใด แต่เจ้ามีโอกาสที่จะกลับชาติไปเกิดใหม่ได้ สัมผัสโลกนี้ด้วยเจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนา เหตุใดจึงไม่ทำ”

เฟิงปั๋วลูบกำไลข้อมือที่แตกหัก เอ่ยต่อไปว่า “เจ้าอาจจะบอกว่าข้าไม่เข้าใจสถานการณ์ความเป็นจริง แต่ในฐานะผีที่กลายเป็นเทพ ท้ายที่สุดก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่สู้ใช้ชีวิตเป็นอิสระอย่างมีความสุข ร้อยปีมานี้ คิดว่าเจ้าก็คงรู้สึกแล้ว!”

เขาหันไปมองไถชิง เอ่ยต่ออย่างจริงจังอีกว่า “อาชิง ตอนนั้นข้าอยากจะสู่ขอเจ้าเป็นภรรยาจริงๆ ต้องการดูแลเจ้าไปตลอดชีวิต ข้าได้รับอนุญาตจากท่านพ่อและท่านแม่แล้ว เพียงแต่โชคชะตาเล่นตลก ชะตากรรมของเจ้าและข้าช่างประหลาด ไม่มีวาสนาได้พบกันอีก อาชิง ข้ามาสายแล้ว”

ไถชิงกอดเข่าร้องไห้

เฟิงปั๋วไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพียงแต่ใช้พลังเทพตบไหล่นางเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ

ไถชิงร้องไห้หนักกว่าเดิม ตะโกนไปยังทะเลสาบ “เหยียนฉงเฮ่อ เจ้านี่มัน…!”

เมื่อฉินหลิวซีได้ยินเสียงผีร้องไห้อย่างน่าสงสารก็อดส่ายหน้าไม่ได้ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อธิบายแล้วก็ดี จะไปเกิดใหม่ก็ดี จะอยู่ต่อในโลกมนุษย์ก็ได้ เมื่อนางกำจัดความขุ่นเคืองไปแล้วจะจัดการอะไรก็ง่ายขึ้น

นางนำรูปปั้นที่ปั้นเสร็จแล้ววางกลับเข้าไปในศาลขนาดเล็ก รอให้เฟิงปั๋วกลับมาเติมพลังเทพ ก็จะเปล่งประกายแล้ว

หลายคนที่หลบลมอยู่มุมกำแพงตัวสั่นเทา

เหยียนฉีซานเอ่ย “ท่านทวดของข้า เกรงว่าจะปลอบใจสตรีไม่เป็น ทางที่ดีอย่าทำให้ผีแม่นางไถขุ่นเคืองจะดีกว่า”

เมื่อรู้ว่าทั้งสองคนไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว เหยียนฉีซานจึงไม่กล้าหน้าหนาไปเรียกนางว่าท่านย่าให้เสียชื่อเสียงของนางอีก เกรงว่าจะถูกนางตีเอา

และ ณ ลานอันเงียบสงบแห่งหนึ่งในต้าเฟิง ชายหนุ่มรูปงามลืมตาขึ้นจากการฝึกบำเพ็ญโดยที่ศีรษะของเขาปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะ เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ดวงตาทั้งสองข้างมีแสงสีแดงอยู่ครู่หนึ่ง ลูบกระดูกนิ้วของตัวเอง เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ปรากฏขึ้นอีกแล้ว”