ตอนที่ 349 ความตายทำให้ได้ใช้ชีวิต

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 349 ความตายทำให้ได้ใช้ชีวิต

ตอนที่ 349 ความตายทำให้ได้ใช้ชีวิต

เฉินเทียนเจียวรู้สึกว่าเขาน่าจะดื่มมากไปหน่อย ไม่อย่างนั้นคงไม่เห็นเหล่าต้ายืนอยู่ข้างหน้าโดยที่ไม่บุบสลายแถมยังพูดคุยกันได้แบบนี้

เหล่าต้าไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ บนร่างกาย แต่อีกฝ่ายดูอ่อนแอกว่าปกติ เฉินเทียนเจียวคิดว่าภาพที่เขาเห็นตรงหน้าคงเป็นเพราะดวงตาที่พร่ามัวจากการดื่มมากเกินไป

เมื่อสือจื่อจิ้นเห็นเฉินเทียนเจียวไม่ได้ตอบสนอง ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน หัวใจของเขาเย็นวูบไปชั่วขณะ

“ไม่ได้ยินเหรอ?”

เฉินเทียนเจียวยังคงแสดงอาการเบื่อหน่ายออกมา

“ผมได้ยิน เหล่าต้า คุณต้องการให้ผมทำบางอย่างให้เหรอเลยมาหากันถึงในฝัน ไม่เป็นไร พูดออกมาเถอะ เมื่อผมตื่นขึ้นผมจะทำให้คุณเอง”

สือจื่อจิ้นรู้สึกโล่งใจและสารภาพกับเฉินเทียนเจียว “ฉันอยากออกไปข้างนอก”

เฉินเทียนเจียวอ้าปากและเฝ้าดูเขาออกไปทางกำแพง

เหล้านี่แรงจริง ๆ

ท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัด สือจื่อจิ้นยืนอยู่บนหลังคาของอาคาร เขารู้สึกถึงประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับตอนเป็นวิญญาณ

เขารู้สึกเบา รู้สึกอิสระ รู้สึกราวกับว่าแม้แต่สายลมก็สามารถพัดพาเขาไปได้ง่าย ๆ

ทว่าเขาก็ยังสามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวเองได้อยู่

สือจื่อจิ้นสัมผัสอะไรไม่ได้ ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิร้อนหรือหนาว ไม่รู้สึกหิวหรืออิ่ม

เขาลอยไปตามสายลม ลอยไปได้ทุกที่ที่ต้องการ เขาสามารถยืนเคียงข้างนกที่ออกหากินเวลากลางคืน พร้อมกับอาบแสงจันทร์ยามราตรีควบคู่กันไปด้วยได้

ความรู้สึกผ่อนคลายและอิสระแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เขาถูกผูกมัดด้วยภารกิจและความรับผิดชอบมาครึ่งชีวิต เขาไม่สามารถร้องไห้ ไม่สามารถผ่อนคลาย ไม่สามารถขาดวินัยในตนเอง ไม่สามารถทำตัวสบาย ๆ และไม่สามารถทำให้ผู้คนผิดหวังได้

ไม่มีอะไรที่เขาได้ทำเพื่อตัวเอง

เขาขังตัวเองอยู่ในกฎและข้อบังคับ ติดอยู่ในความเชื่อเรื่องความชอบธรรม การบาดเจ็บ และการสละเลือดเนื้อ ทุกครั้งคือการเสียสละอิสรภาพและตัวตน

เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าความตายจะทำให้เขาได้ใช้ชีวิต

อย่างน้อยก่อนที่ร่างกายจะฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ เขาก็ไม่ต้องเป็นกัปตันหรือพลตรีที่ต้องแบกรับภาระหน้าที่สำคัญอีกต่อไป เขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้และไม่ต้องทำภารกิจทั้งวันทั้งคืนเหมือนแต่ก่อน

สือจื่อจิ้นหัวเราะอย่างไร้กังวลและไร้เหตุผล ดวงดาวทุกดวงต่างก็จับจ้องมาที่เขา

……

ในคืนเดียวกันนั้นซูเถานอนหลับอย่างกระสับกระส่าย รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังเฝ้าดูเธออยู่

ซูเถาเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองเสมอ เธอลุกขึ้นและมองไปรอบ ๆ แต่ก็พบเพียงหลิงอวี่เท่านั้นที่ส่งเสียงตะโกนขึ้นมาสองครั้ง “ราตรีสวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์”

ส่วนแมวและสุนัขตัวอื่น ๆ นั้นต่างก็นอนหลับสนิท

อ้อ แล้วก็มีหลินฟางจือ ซูเถาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาหลับไปแล้วและไม่ได้วิ่งไปมา จากนั้นเธอก็ทิ้งความสงสัยเอาไว้แล้วเดินจากไป

เป็นไปได้ไหมว่าช่วงนี้เธอยุ่งเกินไปจนทำให้เกิดอาการประสาทหลอน?

เธอพาตัวเองกลับไปที่เตียงพร้อมกับความสงสัยที่ยังหาคำตอบไม่ได้ จากนั้นก็ห่มผ้านวมแล้วจมสู่ห้วงนิทรา

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูเถาก็ลืมไปเสียสนิทว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้

วันนี้เธอต้องเริ่มออกไปขุดหาอาวุธที่ซ่อนอยู่ เพราะหากยังไม่มีอาวุธ อวี๋ผอผ่อคงตำหนิเธอยกใหญ่แน่

แต่ก่อนอื่นต้องไปขุดหลินฟางจือขึ้นจากเตียงเสียก่อน เพราะซูเถาจำเป็นต้องนำอาวุธเหล่านั้นขนส่งผ่านห้วงมิติของอีกฝ่าย

หลินฟางจือหาวด้วยความง่วง ใต้ตาของเขาดำคล้ำ ดูเหมือนว่าคงทำงานหามรุ่งหามค่ำและเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ซูเถาเองก็รู้สึกเป็นห่วงเขาไม่น้อย

“วันนี้หลังจากที่กลับมา นายก็พักผ่อนซะนะ พักผ่อนให้เต็มที่ อีกอย่างจะให้ฉันหาผู้ช่วยให้นายไหม”

หลินฟางจือพูดทันที “ผมไม่ง่วง ไม่จำเป็น ผมทำเองได้”

เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูของซูเถา เธอก็รู้สึกว่าเขาพยายามสนับสนุนเธอ พยายามแข็งแกร่งและไม่ต้องการสร้างปัญหาใด ๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกเป็นทุกข์มากยิ่งขึ้น

เด็กหนุ่มคนนี้นี่

ซูเถาลูบผมของเขา “เหนื่อยหน่อยนะ แต่นายไม่ต้องกังวล ฉันจะให้พี่จวงหว่านหาผู้ช่วยให้นาย”

หลินฟางจือหยุดนิ่งอย่างเชื่อฟัง

“ฟางจือ เมื่อคืนนายหลับสบายไหม รู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องหรือเปล่า”

คนโดนถามตกตะลึง

“ถามเฉย ๆ น่ะ บางทีฉันอาจจะคิดมากไปเอง พวกเราไปกันเถอะ”

ก่อนจากไป ซูเถาพบว่าเฮยจือหม่าอยู่ในบ้านอย่างเชื่อฟัง มันเดินตามล่าเจียวอย่างสุภาพ หรือไม่ก็เลียขนของเสียวหั่วเยี่ยน

เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตัวแสบของเธอ

ในขณะที่ล่าเจียวยังคนหวาดกลัวผู้คนไม่เว้นแม้แต่ไป๋จือหม่า เพราะอีกฝ่ายพุ่งมาระบายเล็บใส่มันทันทีเมื่อมันเข้ามาในห้อง

การมาของสมาชิกใหม่อาจจะทำให้ไป๋จือหม่าเกิดความเครียด มันยังปรับตัวให้เข้ากับล่าเจียวไม่ได้ และเมื่อใดก็ตามที่ล่าเจียวอยู่ในห้อง มันก็จะพุ่งไปใช้อุ้งเท้าตบเข้าที่หัวจนล่าเจียวต้องวิ่งหนี

แม้ซูเถาจะพยายามหยุดแต่ก็ไม่ได้ผล ไป๋จือหม่าดูเหมือนจะตื่นตระหนกมาก ไม่ใช่แค่กินอาหารไม่ได้ แต่ขนาดอาหารกระป๋องที่มันโปรดปราน และเคยกินหมดภายในคราวเดียว ผ่านไปสองวันแล้วมันก็ยังกินไม่หมด

บางครั้งตอนกลางดึกในขณะที่เธอนอนหลับไปแล้ว มันก็จะส่งเสียงร้องออกมาอย่างกระวนกระวายแล้วกระโดดขึ้นเตียง และเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเธอมันก็จะเงียบเสียงลง

ซูเถารู้สึกลำบากใจ ดังนั้นเธอจึงต้องแยกล่าเจียวและไป๋จือหม่าไว้คนละบ้านเพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเจอกัน แต่วิธีนี้ก็แทบจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยบราวนี่ออนไลน์

ในขณะที่ซูเถากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่รบกวนจิตใจ เธอก็มาถึงที่ประชุมของเถาฉือเพื่อรวมตัวกับพวกสวีฉีพอดี

ระยะทางไม่ไกลนัก ใช้เวลาขับรถไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึง

มู่อั้นอั้นลงจากรถและมองไปรอบ ๆ ในที่สุดก็หยุดบนทางลาดดินที่ไม่ได้สะดุดตาผู้คนและชี้ไปที่เท้าของเธอ

“น่าจะอยู่ที่นี่ ลองขุดลงไปดู”

เมิ่งเสี่ยวป๋อถลกแขนเสื้อขึ้น พร้อมกับคว้าพลั่วและเริ่มขุด

เขามีพละกำลังสูงและเคลื่อนไหวได้รวดเร็วโดยแทบไม่ต้องให้คนอื่นช่วยทำอะไรเลย หลังจากขุดไปประมาณสิบนาที เขาก็เจอเข้ากับโลหะบางอย่าง

มู่อั้นอั้นลงไปที่หลุมและใช้มือปัดดินด้วยความดีใจ เธอคลำไปบริเวณนั้นสองครั้ง แล้วทุกคนได้ยินเสียงคลิก จากนั้นก็เห็นว่าเธอดึงบันไดที่ทอดสู่พื้นลงอย่างแรง

ฝุ่นและดินตลบลงไปที่ด้านล่างจนคลุ้งไปหมด

เนี่ยซือป๋อ มี๋อู้ และคนอื่น ๆ ต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

ถานหย่งเก็บซ่อนมันไว้อย่างดี โดยที่ไม่มีใครรู้ เห็นได้ชัดว่าถานหย่งไม่ไว้ใจใครตั้งแต่แรก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมี๋อู้ เขานับถือถานหย่งเป็นพี่ใหญ่ของเขาอย่างสุดหัวใจ และถวายจิตวิญญาณให้กับอีกฝ่าย แม้กระทั่งตอนที่ถูกจับ เขายังคิดว่ายอมตายดีกว่าทรยศถานเหล่าต้า มันช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ

สวีฉีเองก็ถอนหายใจ เขาเปิดไฟฉายแล้วพูดว่า

“เถ้าแก่ เสี่ยวป๋อและผมจะลงไปก่อน แล้วค่อยขึ้นมาหลังจากแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมเกรงว่าข้างล่างจะมีอันตราย”

ถานหย่งซ่อนอาวุธไว้มากมายที่นี่ เขาน่าจะป้องกันการโจรกรรมและการป้องกันอัคคีภัยต่าง ๆ เอาไว้

แต่สุดท้ายแล้ว กลายเป็นว่าพวกเขาคิดมากเกินไปเอง

เพราะหลังจากลงไปไม่ถึงสิบนาที สวีฉีก็ขึ้นมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ไม่มีอันตราย คุณสามารถลงไปได้ แต่อาวุธดูผิดหูผิดตาไปหน่อย ไม่เหมือนการผลิตทั่วไป ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”

คำพูดเหล่านี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคน โดยเฉพาะซูเถา เธอไม่ค่อยเข้าใจเรื่องอาวุธเท่าไหร่ ดังนั้นเป็นไปได้ไหมว่าพวกมันจะไม่สามารถใช้ได้ หากไม่ใช่การผลิตที่ปกติ?

สุดแสนจะสะเทือนใจ…

สวีฉีฉีกผ้าคลุมกันฝุ่นออก และแถวของปืนที่มีขนาดและรุ่นต่าง ๆ ซึ่งถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยก็ปรากฏขึ้นภายใต้แสงไฟฉาย

ตอนแรก ซูเถาไม่คิดว่าจะมีปัญหา แต่หลังจากพิจารณาเธอพบว่ารูปลักษณ์ของปืนเหล่านี้ดูคุ้นเคยมาก อย่างกับว่าเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง

หลังจากคิดอยู่นาน เธอก็ต้องตกตะลึงกับอาวุธที่อยู่ตรงหน้า

มันเหมือนกับปืนพลังงานนิวเคลียสของเธอเลย!