บทที่ 290 ลู่หัว
บทที่ 290 ลู่หัว

แม่นมให้คนไปส่งจดหมายข้างนอก ไม่นานก็ได้รับจดหมายตอบกลับมา

เด็กรับใช้จวนลู่ถูกพาตัวมาตรงหน้าของตู้เหิง เมื่อนางเห็นก็จำได้ทันทีว่านี่คือเด็กรับใช้ที่ได้ความที่สุดข้างกายลู่หัว เขาผู้นี้มีนามว่า ‘อาเหลียง’

อาเหลียงมีใบหน้ายิ้มแย้ม เขากล่าวกับตู้เหิงด้วยความเคารพ “คุณชายของเราทราบว่าสองสามวันนี้แม่นางไม่ค่อยสบาย จึงเป็นห่วง ไม่กล้ามารบกวนท่าน ได้ยินว่าวันนี้แม่นางอาการดีขึ้นแล้ว จึงรีบให้ข้าน้อยตอบรับคำของท่านทันทีขอรับ”

ใบหน้าของตู้เหิงถูกปิดด้วยผ้าคลุม นางเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “คุณชายพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

อาเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายกล่าวว่า ขอบคุณแม่นางที่ยังจดจำภาพวาดที่เคยบอกว่าจะวาดได้ หากสีไม่พอจริง ๆ ทางนั้นยังมีอยู่บ้าง เพียงแต่กลัวว่าสีจะไม่ถูกใจแม่นาง ยามบ่ายหากแม่นางมีเวลาว่าง ไปร้านขายสีทางตอนใต้ของเมืองก็ได้ขอรับ”

ตู้เหิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าว่าง แต่ต้องรบกวนคุณชายของเจ้าไปเป็นเพื่อนข้า”

ใบหน้าของอาเหลียงแต้มรอยยิ้มดุจบุปผา “คุณชายของเราย่อมได้เสมอขอรับ! ข้าไม่ขอปิดบังแม่นางแล้วกัน…วันนี้ที่ข้าออกมา ก็เพื่อมารับประกันให้กับคุณชาย ไม่ว่าอย่างไรจะต้องเชิญแม่นางออกมาให้จงได้!”

แม่นมยืนคลี่ยิ้มอยู่ข้างกาย กลับเป็นตู้เหิงที่มีท่าทางเย็นชา

โชคดีที่มีผ้าคลุมปิดใบหน้าไว้ คนภายนอกจึงมองไม่เห็นถึงสีหน้าของนาง

อาเหลียงจึงได้พูดอย่างมีชั้นเชิงอีกครั้งว่าต้องกลับไปรายงานผล

ตู้เหิงเกิดแรงกระตุ้นในใจ จึงรั้งเขาไว้ “อาเหลียง เจ้าช้าก่อน”

เด็กรับใช้หยุดชะงัก ก่อนจะกล่าวด้วยความเคารพว่า “แม่นางยังมีสิ่งใดต้องการรับสั่งอีกหรือขอรับ?”

ตู้เหิงส่ายหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากจะถาม เจ้าต้องกลับไปรายงานผลที่จวนบัดเดี๋ยวนี้เลยหรือ?”

อาเหลียงคลี่ยิ้มพลางคิดว่า ในใจของตู้เหิงคงรีบอยากเข้าพบคุณชายของตน เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยชัดเจน

เขาพูดกับตู้เหิงด้วยรอยยิ้มว่า “รายงานแม่นาง ข้าน้อยมีเรื่องส่วนตัวต้องไปจัดการ จะอยู่นานไม่ได้เด็ดขาด ต้องรีบกลับจวนเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

ตู้เหิงตอบเป็นเชิงรับรู้หนึ่งครั้ง แล้วแสร้งทำเป็นเอ่ยถามโดยไม่ได้ตั้งใจ “เรื่องส่วนตัวอะไรหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงตัวเองเลย”

อาเหลียงตะลึงอย่างชัดเจน ก่อนจะเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน “มีอะไรที่ข้าน้อยบอกไม่ได้บ้างเล่าขอรับ? มีสหายในหมู่บ้านเดียวกันผู้หนึ่ง บังเอิญมาทำธุระในจวนตู้พอดี ข้าอยากไถ่ถามสถานการณ์ในช่วงนี้กับนาง…”

แม่นมที่อยู่ข้างกายได้เอ่ยกับตู้เหิงว่า “ใช่แล้ว อาเหลียงเคยบอกกับข้าว่าเขามีสหายบ้านเดียวกัน บังเอิญนางไปทำความสะอาดลานบ้านของคุณหนูรองเจ้าค่ะ”

ตู้เหิงแสยะยิ้มเย็นชาในใจ

สหายบ้านเดียวกันอะไรกันเล่า! คิดว่านับตั้งแต่นี้ไป ลู่หัวจะต้องมีความข้องเกี่ยวกับน้องสาวต่างสายเลือดของนางเป็นแน่!

แต่เรื่องที่แอบอ้างสหายบ้านเดียวกัน ก็แค่ส่งสารเท่านั้น

พวกเขาแอบมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กันมานานหลายปีใต้จมูกของนาง คงจะคิดว่านางเป็นตัวตลกที่โง่เขลากระมัง!

ใบหน้าของตู้เหิงยังแสดงความเย็นชา ทว่าสุดท้ายก็พยักหน้าให้กับอาเหลียง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ารีบไปเถิด!”

อาเหลียงทำความเคารพ แล้วเร่งฝีเท้าจากไปทันที

สีหน้าเดือดดาลของตู้เหิงไม่ได้ถูกแสดงออกมา แม่นมที่เฝ้าปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายนางมาตลอด ก็ยังมองไม่ออกว่าในเวลานี้อารมณ์ของนางนั้นไม่ปกติ

แม่นมยังคงเอ่ยอย่างดีใจ “คุณหนูควรจะออกไปเดินเล่นกับบุรุษหนุ่มรูปงามในเมืองหลวงให้มากกว่านี้นะเจ้าคะ แสดงไมตรีต่อกันและกันบ้าง คุณชายลู่เดิมทีมีความสนใจในตัวของคุณหนูอยู่แล้ว เทียวไปเทียวมาเช่นนี้ มีหรือที่ความสัมพันธ์จะไม่งอกงามอย่างช้าๆ ?”

ตู้เหิงตอบ ‘อื้อ’ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย

เมืองต้าเยี่ยนไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อการแบ่งแยกชายหญิงสักเท่าใด หญิงสาวทุกคนล้วนเป็นอิสระ ในเมืองหลวงมักจะพบเจอกับหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานต่างคลุมหน้าด้วยผ้าเดินเคียงชายหนุ่ม

แม่นมเอ่ยยังคงเอ่ยถามจุกจิก “ช่วงบ่ายคุณหนูจะแต่งกายอย่างไรเจ้าคะ? ให้อาซู่ตามไปด้วยหรือไม่? แล้วให้ผู้อื่นตามไปหรือไม่เจ้าคะ?”

สภาพจิตใจของตู้เหิงค่อนข้างหดหู่ จึงไม่อยากพูดมากนัก “แม่นมจัดการได้เลย”

แม่นมส่งเสียง ‘ไอหยา’ ด้วยความดีใจ จากนั้นก็ออกไปเตรียมตัว

ในที่สุดตู้เหิงก็มีเวลาส่วนตัวเสียที นางค่อย ๆ จิบชาในมือ ครุ่นคิดว่าควรจะจัดการอย่างไรหลังจากนี้ในใจ

อยากเคลื่อนไหวบางอย่างในเมืองหลวง พึ่งพาแค่บรรดาคนที่ผู้เป็นแม่ทิ้งไว้ให้เหล่านั้นคงไม่พอ ลู่หัวเป็นตัวช่วยที่ดีอย่างมากคนหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย

กิจการที่ตัวเองทำ สามารถให้ลู่หัวออกมาช่วยแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากเหล่านั้นได้

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงอำนาจของคนที่อยู่เบื้องหลังแต่อย่างใด…

ในอดีตชาติ นางถูกเขาทรยศมาทั้งชีวิต!

ในชาตินี้นางต้องเล่นงานเขาให้อยู่ในเงื้อมมือของตนให้จงได้!

เหอะ หากหลินเหราเป็นเหมือนกับชาติที่แล้ว มีหรือที่นางต้องทำเช่นนี้?

…..

ยามบ่าย

ตู้เหิงนั่งรถม้ามายังตอนใต้ของเมืองตามนัดหมาย

ทางตอนใต้ของเมืองมีสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีร้านขายสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ [1]มากมาย หนึ่งในนั้นเป็นสถานที่นัดแนะของตู้เหิงและลู่หัว เป็นที่ที่พวกเขาเคยไปเมื่อก่อนหน้านั้น

ภายในตึกสูงสองชั้น ชั้นที่หนึ่งจะขายของประเภทพู่กัน หมึก กระดาษและที่ฝนหมึก ส่วนชั้นสองไม่ได้มีไว้ต้อนรับแขก

หลังจากที่ตู้เหิงออกเรือนกับลู่หัว ก็เพิ่งรู้ว่าที่แห่งนี้เป็นที่ที่ลู่หัวและเหล่าคุณชายใช้ปรึกษาหารือเรื่องสำคัญ ๆ กัน

รถม้าของตู้เหิงมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านขายของ ทันใดนั้นก็มีลูกจ้างออกมาต้อนรับ “แม่นางตู้!”

อาซู่ยื่นมือไปหาตู้เหิง และประคองนางลงมาจากรถม้า

ตู้เหิงชำเลืองมองใบหน้าของคนผู้นี้ โดยไม่พูดสิ่งใด นอกจากพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย

ลูกจ้างผู้นั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายของเรารออยู่ภายในร้านแล้วขอรับ เขาสั่งให้ข้ามาต้อนรับแม่นางตู้หน้าประตู รอจนแม่นางตู้มาถึงก็ให้พาเข้าไปด้านใน”

ตู้เหิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยกเท้าก้าวเข้าไปในร้านค้า

ชั้นที่หนึ่งภายในร้านนั้นกว้างขวางมาก กระดาษและพู่กันที่งดงามประณีตได้ถูกจัดแสดงอยู่ในตู้ไม้แต่ละตู้ ทันทีที่มีคนเข้ามาด้านในก็พลันรู้สึกถึงความสงบ

ลู่หัวเห็นตู้เหิงเป็นคนแรก จึงลุกขึ้นและเดินเข้ามา

เขามีรูปร่างไม่สูงไม่เตี้ยนัก หน้าตาถือว่าหล่อคมกว่าบรรดาชายหนุ่มรูปงามในเมืองหลวง ทันทีที่มาถึงตรงหน้าตู้เหิง เขาก็ทำความเคารพนาง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่นางตู้ ไม่พบกันเสียนาน สบายดีหรือไม่?”

ขณะพูด ลู่หัวได้มองเข้าไปในดวงตาอันงดงามคู่นั้นที่อยู่นอกผ้าคลุม สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม รวมทั้งความดีใจที่ได้พบนาง

ตู้เหิงทำความเคารพกลับ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ขอบคุณคุณชายที่เป็นห่วง เพียงแต่สองสามวันนี้ต้องลมหนาวมากเกินไป จึงป่วยมาตลอด แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”

ปกติแล้วยามที่พวกเขาไปมาหาสู่กัน ตู้เหิงมักจะอ่อนโยนเสมอ บางครั้งก็แสดงท่าทางเอียงอาย แต่ไม่เคยเย็นชาเช่นนี้มาก่อน

ลู่หัวคิดว่านางคงจะหงุดหงิดกับความไม่เอาไหนของเขา จึงได้แสดงสีหน้ากลุ้มใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะกล่าวอธิบายด้วยเสียงต่ำ “เป็นข้าน้อยเองที่เลินเล่อ สองสามวันนี้ก็ยุ่งตัวเป็นเกลียว จึงไม่เคยได้ไถ่ถามถึงสุขภาพของแม่นางเลย”

ตู้เหิงหัวเราะเย็นชาในใจ แต่ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใด

สองสามวันนี้เขาติดต่อกับน้องสาวต่างมารดาของตู้เหิงอยู่ต่างหาก เพียงแต่…

ตู้เหิงไม่รอให้เขาคิดมากนัก รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “คุณชายลู่ เราไปดูสีกันเถอะ”

ลู่หัวเห็นว่านางพูดโดยไม่ได้เป็นกังวล จึงปล่อยวางเรื่องนี้แล้วนำทางตู้เหิงไปยังบริเวณที่ขายสีวาดภาพ

เหล่าคนรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง ได้เฝ้ามองอยู่ไกล ๆ ทั้งสองคนยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ พูดคุยด้วยเสียงต่ำเป็นครั้งคราว

ตู้เหิงเลือกสีอยู่สองสามประเภทอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วแสร้งทำเป็นเอ่ยถามโดยไม่ได้ตั้งใจ “เราเคยมาร้านนี้สองสามครั้งแล้ว เหตุใดถึงไม่เห็นลูกค้าสักเท่าไร?”

ลู่หัวตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อนัดแนะกับแม่นางที่นี่ ข้าน้อยจึงไม่อยากให้คนนอกเข้ามาก่อกวน”

ตู้เหิงยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับมองลู่หัวแวบหนึ่ง

นางมีรูปโฉมงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดวงตาคู่งามก็ดูราวกับพูดได้ ทำให้ผู้อื่นเห็นแล้วหลงใหลไม่น้อย

“สองสามวันนี้ข้าได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยมาซื้อของที่นี่ คิดว่าร้านที่คุณชายลู่เลือกแห่งนี้ จะต้องยอดเยี่ยมเป็นแน่”

ลู่หัวไม่ได้มีความระแวดระวังต่อนาง นอกจากกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องน้อยโปรดการวาดภาพ พู่กันและหมึกมากมายของเขาล้วนซื้อจากร้านนี้ทั้งสิ้น”

บัดนี้องค์จักรพรรดิทรงมีพระโอรสเพียงผู้เดียว อีกทั้งพระชนม์ก็ยังเยาว์นัก จึงยังขึ้นครองบัลลังก์ไม่ได้

เพียงแต่องค์จักรพรรดิทรงปฏิบัติกับเหล่าพี่น้องของตัวเองอย่างดี องค์จักรพรรดิองค์ก่อนนั้นโหดเหี้ยม เนรเทศเหล่าพี่น้องอย่างพวกเขา สังหารเป็นสังหาร ยามที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ จึงรับตัวลูกหลานของพวกเขากลับมาในวังหลวง

ท่านอ๋องน้อยผู้นี้เป็นโอรสขององค์รัชทายาทองค์ก่อน มีพรสวรรค์ปราดเปรื่อง ฝีมือการวาดภาพก็ดี

คิ้วเรียวของตู้เหิงเลิกขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวกับลู่หัว “ภาพวาดของท่านอ๋องน้อยเป็นสิ่งที่มีค่าดั่งทองคำ หากเป็นงานวาดที่ใช้สีย้อมเดียวกับท่านอ๋องน้อย คิดว่าคงจะงดงามดุจเทพสร้างแน่นอน”

ลู่หัวไม่ชอบที่ตู้เหิงเอ่ยถึงผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องน้อยก็ยังไม่ได้อภิเษกสมรส เขาจึงไม่อยากให้ตู้เหิงมีความสนใจต่ออีกฝ่าย

ชายหนุ่มยิ้ม แล้วกล่าวกับตู้เหิงว่า “ภาพวาดของแม่นางตู้ ช่างงดงามประณีตมาก เหตุใดจะต้องอิจฉาผู้อื่นด้วย?”

ตู้เหิงคลี่ยิ้ม โดยไม่พูดสิ่งใด

ทั้งสองคนเลือกสีวาดภาพอยู่ครึ่งวัน จากนั้นก็ไปนั่งพูดคุยกันในร้านน้ำชาอีกพักใหญ่ เมื่อใกล้ถึงช่วงพลบค่ำ ตู้เหิงก็กลับจวนอย่างพออกพอใจ

เมื่อขึ้นรถม้าแล้ว หญิงสาวได้มองพิจารณาสีวาดภาพที่เพิ่งซื้อมาใหม่ พร้อมกับแสยะยิ้มเย็นชาในใจ…

ลู่หัว ชีวิตชาตินี้เรามาคอยดูกัน!

…………………………………………………………………………………………………………

[1] สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ คือกระดาษ หมึก พู่กัน แท่งฝนหมึก

สารจากผู้แปล

ลู่หัวคือเจ้ากรรมนายเวรของนังตู้เมื่อชาติที่แล้วแน่ ๆ ดูนางแค้นฝังหุ่นผู้ชายคนนี้เหลือเกิน

ไหหม่า(海馬)