ตอนที่ 220 รู้ตัวอีกที
ตอนที่ 220 รู้ตัวอีกที
ทั่วทั้งเรือนจิ่นซิ่วช่างเงียบสงบ เรือนขนาดใหญ่ไม่มีคนรับใช้แม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่มายืนรักษาความปลอดภัยภายในตำหนัก
อวี้ชิงลั่วหันหน้ามองไปรอบ ๆ พลางกระซิบว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าเรือนของไท่จื่อเฟยจะหนาวเหน็บเช่นนี้”
หากคนที่ไม่รู้เรื่องเดินผ่านมาที่นี่แล้วเห็นสภาพรกร้างเช่นนี้เกรงว่าคงคิดว่าที่นี่เป็นเรือนร้างที่ไม่มีใครเข้ามาพักอาศัย ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า คนที่พักอยู่ในเรือนแห่งนี้คือนายหญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดภายในตำหนักรัชทายาท
เย่หลานเฉิงเห็นฉากเช่นนี้ ภายในใจก็รู้สึกเศร้าโศกจนยุ่งเหยิงไปหมด เรือนจิ่นซิ่วในตอนนี้ต่างจากสภาพของวังที่เขาอยู่อาศัยก่อนหน้านี้ตรงไหนกัน? คิดไม่ถึงเลยว่าท่านแม่ของเขาก็ถูกปฏิบัติแบบนี้เช่นกัน
เย่หลานเฉิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ หมุนกายเข้าไปผลักประตูตรงหน้าเงียบ ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“โม่เสียน เจ้าอยู่ที่นี่” มือของเย่ซิวตู่ยังคงโอบอยู่บนเอวของอวี้ชิงลั่ว ท่าทางราวกับทำใจไม่ได้ที่ต้องปล่อยมือ โชคดีที่ตอนนี้ความสนใจของสตรีผู้นี้อยู่ที่เรือนอันแสนหนาวเหน็บ จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าตนเองอยู่ใกล้ชิดกับเขามากถึงเพียงนี้
โม่เสียนพยักหน้า เฝ้าอยู่ด้านนอกเรือนตามหน้าที่
หนานหนานกลอกตาไปรอบ ๆ อันที่จริงเขาอยากเดินเข้าไปด้านในเอามาก ๆ ทว่าเมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังของเสี่ยวเฉิงเฉิงเช่นนั้น เขาจึงฝืนใจอย่างยากลำบากเพื่อไว้หน้าอีกฝ่าย และตั้งใจลดเสียงให้เบาลงด้วย
ทว่าตอนที่เดินเข้าประตูเป็นเพราะหยุดเท้าไม่ทัน หน้าผากจึงกระแทกเข้ากับเย่หลานเฉิงที่หยุดอยู่ตรงหน้าเต็มแรง
“โอ๊ย เสี่ยวเฉิงเฉิงเหตุใดถึงไม่เดินล่ะ?” หนานหนานร้องโอดครวญอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งยังใช้มือกุมหน้าผากขณะบ่นตำหนิ
แม้ว่าเสียงของเขาจะแผ่วเบา ทว่าภายในห้องที่เงียบสงัดเช่นนี้ กลับดึงดูดความสนใจของสตรีที่นอนอยู่บนเตียงได้อย่างรวดเร็ว
“ใครน่ะ?” ไท่จื่อเฟยถึงกับตกใจ เงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกเป็นอย่างแรก
เย่หลานเฉิงเห็นนางตกใจ จึงไม่ได้เดินอย่างแผ่วเบาอีกต่อไป แต่กลับก้าวเท้าวิ่งเข้าไปด้านในห้องด้วยความรีบร้อน
เพียงไม่นาน หนานหนานก็ได้ยินเสียง ดัง ‘ตุบ’ จากการคุกเข่าลงบนพื้นอย่างชัดเจน
เป็นเพราะความกลัวภายในใจ เขาจึงแหวกม่านภายในห้องและวิ่งตามเข้าไป “เสี่ยวเฉิงเฉิง เกิดอะไรขึ้น ข้าได้ยิน…เอ่อ…”
หนานหนานกะพริบตาปริบ ๆ มองดูเย่หลานเฉิงที่คุกเข่าร้องไห้อยู่ด้านหน้าหน้าต่างจนใบหน้าเปียกปอน เขาจึงแอบตกใจ ก้าวเท้าไปด้านหน้าสองก้าวอย่างช้า ๆ และถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “เมื่อครู่ตอนที่คุกเข่าคงเจ็บมากเลยใช่หรือไม่? ดูสิเจ้าร้องไห้เพราะเจ็บจนอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว”
อวี้ชิงลั่วที่เดินตามหลังเข้ามายกมือตบหน้าผากตนเองแรง ๆ หนานหนาน…ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก
เย่หลานเฉิงไม่ได้ตอบคำถามของหนานหนาน ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจและไม่มีเวลาว่างที่จะสนใจหนานหนานแล้ว คนที่นอนอยู่ตรงหน้าคือท่านแม่ของเขา ท่านแม่ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน ทว่า…ท่านแม่กลับอยู่ในสภาพแห้งเหี่ยวซูบเซียวเช่นนี้
อวี้ชิงลั่วก็ตกใจเช่นกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่นางเจอกับไท่จื่อเฟย แม้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายจะดูไม่สู้ดี ทว่าก็ไม่ได้ถึงขั้นขาวซีดเช่นนี้ หลายวันมานี้นางต้องพบเจอกับอะไรกันแน่?
“หลานเฉิง…หลานเฉิง…เจ้าคือหลานเฉิงรึ แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน” ไท่จื่อเฟยร้องไห้จนใบหน้าเปียกปอนไม่แพ้กัน ร่างกายทั้งผอมแห้งและอ่อนแอที่นอนอยู่บนเตียงพยายามจะลุกขึ้นมาเพื่อกอดลูกชายเพียงคนเดียวของนางจนแทบทนไม่ไหว
เย่หลานเฉิงคุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง เอาแต่พูดขอโทษพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาไม่หยุด “เป็นเพราะหลานเฉิงอกตัญญู…ท่านแม่…หลานเฉิงมิอาจอยู่ปรนนิบัติข้างกายท่านแม่ได้ หลานเฉิงผิดเอง ท่านแม่เป็นอะไรหรือ? เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของท่านแม่?”
หนานหนานหันซ้ายมองขวา ก่อนจะก้มหน้าครุ่นคิด จากนั้นจึงเงยหน้ามองท่านแม่ของตนเอง
จากสีหน้าของท่านแม่ ดูเหมือนว่าจะซับซ้อนอย่างมาก ทั้งยังดูแฝงด้วยอารมณ์ความรู้สึกด้วย อืม หรือว่าท่านแม่จะชอบฟังเรื่องแบบนี้?
หนานหนานตระหนักขึ้นได้ มิน่าล่ะคำพูดประจบสอพลอที่เขาเคยใช้กับท่านแม่ก่อนหน้านี้กลับทำให้ท่านแม่แสดงท่าทางไม่แยแส ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาพูดไม่ถูกนี่เอง…อืม…ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว หลังจากนี้เขาต้องพูดประจบท่านแม่เหมือนที่เสี่ยวเฉิงเฉิงพูดเมื่อครู่…อืม…ทำตามนี้แหละ
อวี้ชิงลั่วเหลือบมองหนานหนานปราดหนึ่ง นางเลี้ยงเจ้าเด็กคนนี้มากับมือ เห็นดวงตาของเขากลอกไปมาหลายรอบ นางก็ตัดสินได้ในทันทีว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้กำลังคิดอะไร เฮ้อ นางไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าควรจะบอกว่าหนานหนานฉลาดปราดเปรื่อง หรือว่าเขาโง่เกินไปถึงจะเหมาสม
ขอแค่เจ้าเด็กคนนี้ไม่พูดจาเหลวไหล นางก็เห็นใจเขาแล้ว
ไท่จื่อเฟยกุมมือเย่หลานเฉิงด้วยความคิดถึง บนร่างกายของนางเต็มไปด้วยบาดแผล จึงทำให้นางไม่สามารถลุกขึ้นมานั่งและกอดลูกชายไว้ในอ้อมกอดได้ ทั้ง ๆ ที่ภายในใจยังมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเย่หลานเฉิงปลอดภัย คำพูดทั้งหมดจึงติดอยู่ที่กลางลำคอ ไม่ว่าอย่างไรก็จนปัญญาที่จะพูดออกมา
สิ่งที่นางเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ เย่หลานเฉิงจะปลอดภัยหรือไม่ จะได้รับความอยุติธรรมหรือไม่
ตอนนี้เมื่อได้เห็นท่าทางของเย่หลานเฉิงที่ดูสุขภาพแข็งแรง ใบหน้าอมชมพู ไม่ได้ผอมจนหนังติดกระดูก นางก็เบาใจลงแล้ว ดูเหมือนว่าฝ่าบาทคงปฏิบัติกับเขาอย่างดีจริง ๆ
ความคิดของไท่จื่อเฟยที่เพิ่งจะนึกถึง ‘ฝ่าบาท’ จู่ ๆ หัวใจก็เกิดอาการกระตุกอย่างฉับพลัน นางรีบจับมือเย่หลานเฉิง เอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้นว่า “หลานเฉิง เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? เจ้าอยู่ในวังมิใช่รึ? เจ้า…เจ้าแอบออกมาจากวังโดยพลการใช่หรือไม่? เด็กคนนี้…เจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษที่ตามมาหากทำเช่นนี้ร้ายแรงมากเพียงใด?”
ไท่จื่อเฟยเป็นห่วงจนจิตใจยุ่งเหยิง สถานการณ์ในตอนนี้ของตนเองเป็นเช่นไรนางย่อมรู้ดีที่สุด หากเย่หลานเฉิงปรากฏตัวภายในตำหนักรัชทายาท หากเขามาที่นี่เพื่อดูอาการของนาง รัชทายาทไม่มีทางไม่ส่งคนมารายงานเช่นนี้ และคงไม่ปล่อยให้หลานเฉิงมาเจอนางในสภาพเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ เช่นนี้ด้วย ดังนั้นการที่หลานเฉิงมาที่ตำหนักรัชทายาท คนอื่น ๆ ภายในตำหนักย่อมไม่ทราบเรื่องนี้เป็นแน่
เย่หลานเฉิงรีบดึงมือไท่จื่อเฟยที่กำลังวิตกกังวล ก่อนจะปาดน้ำตา หันหน้าไปมองเย่ซิวตู๋ “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ออกมาจากวังโดยพลการ ท่านอาแปดได้รับราชโองการจากเสด็จปู่ให้พาพวกเราออกจากวัง หลังจากนั้นข้าได้เจอกับพ่อบ้าน พ่อบ้านบอกข้าว่าท่านแม่ป่วยหนัก ข้าจึงให้ท่านอาห้าแอบพามาดูอาการท่านแม่ที่จวนรัชทายาท”
ท่านอาห้า? ท่านอ๋องซิว?
ไท่จื่อเฟยเงยหน้าขึ้นทันใด จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าภายในห้องแห่งนี้นอกจากเย่หลานเฉิงแล้ว ยังมีคนสองคนยืนคู่กัน และเด็กที่ดูมีชีวิตชีวาอีกหนึ่งคน
“น้อง…น้องห้า…” ไท่จื่อเฟยรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อครู่นางตื่นเต้นมากเกินไปจริง ๆ จึงไม่สังเกตเห็นว่าภายในห้องยังมีคนอื่นยืนอยู่ด้วย จึงได้ทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้
ไท่จื่อเฟยรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า พยายามจะจัดระเบียบรูปลักษณ์ของตนเอง ครั้นย้อนนึกถึงสภาพเมื่อครู่ที่ถูกคนอื่นเห็นแล้ว ตอนนี้ยังจะมีอะไรต้องรีบร้อนอีก นางจึงยิ้มอย่างขมขื่น ปรับอารมณ์ให้นิ่งสงบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าวินาทีต่อมา นางกลับเห็นมือของเย่ซิวตู๋ที่วางอยู่บนเอวของอวี้ชิงลั่วตลอดเวลา นางชะงักไปเล็กน้อย และเข้าใจได้ในเวลาต่อมา จึงยกมุมปากแย้มยิ้ม “แม่นางอวี้ เราได้เจอกันอีกแล้ว”
ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นความจริง ท่านอ๋องซิวที่มีจิตใจและท่าทีเย็นชามาโดยตลอด บัดนี้กลับหวั่นไหวแล้ว ทั้งยังหลงแบบหัวปักหัวปำเสียด้วย
อวี้ชิงลั่วพยักหน้าให้นางเบา ๆ ก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว จู่ ๆ นางก็ชะงักไป กะพริบตาปริบ ๆ รู้ตัวอีกทีนางก็เพิ่งจะต้นพบว่ามือที่อยู่บนเอวของนางยังคงโอบอยู่ตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมปลอ่ย อวี้ชิงลั่วสูดลมเย็นเข้าปากแรง ๆ หันไปจ้องมองอีกฝ่ายทันใด “นี่เป็นห้องของสตรี ท่านเข้ามาทำอะไร?”
…………………………
สารจากผู้แปล
แง ทำไมแม่ลูกคู่นี้ถึงมีชีวิตที่ลำบากแบบนี้น้า
ท่านอ๋องปล่อยมือได้แล้ว ได้ทีโอบไม่ปล่อยเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)