บทที่ 330 หมู่บ้านชาวประมง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 330 หมู่บ้านชาวประมง

ปรมาจารย์เตียวนั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินปรมาจารย์ก่วนพูดเช่นนี้ ก็ยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า “ศิษย์พี่ก่วนพูดถูก แม้ปืนนี้มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลานุภาพของวิชาที่แท้จริง ก็เปราะบางเหมือนเดิม จัดการคนทั่วไปยังพอได้ แต่สำหรับพวกเรากลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

เมื่อสิ้นเสียง สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปทันที

สีหน้าเหมียวหงอวี่ก็ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์ก่วนจะไม่ไว้หน้าขนาดนี้ ถ้าคนอื่นเป็นคนพูดประโยคนี้ เขาคงเอาปืนไรเฟิลยิงอัดไปนานแล้ว ดูสิว่าหัวนายกับลูกปืนฉันอะไรจะแข็งกว่ากัน

แต่ปรมาจารย์ก่วนกับปรมาจารย์เตียวเป็นปรมาจารย์บู๊ของตระกูล ล่วงเกินไม่ได้ ดังนั้นเขาทำได้เพียงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ทักษะปืนของฉันจะสู้ปรมาจารย์ก่วนได้ยังไงล่ะ อย่าว่าแต่เมืองจิ่วโถวเลย ทั้งประเทศตงหัวก็มีน้อยคนที่จะเทียบกับปรมาจารย์ก่วนได้”

ปรมาจารย์ก่วนกับปรมาจารย์เตียวทำหน้าจริงจัง ใบหน้ามีความยโส

ชื่อเสียงของพวกเขาสองคน ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงลอยๆ เท่านั้น

ดึงใครคนหนึ่งออกมา พละกำลังก็อยู่ในระดับปรมาจารย์บู๊สูงสุด ถึงกระทั่งที่ว่าทั้งสองคนร่วมมือกันและเสริมด้วยวิชา สามารถเทียบกับนักเสวียนได้เลย!

แน่นอนว่าเทียบกับนักเสวียนได้ เป็นแค่ฉายาของพวกเขาเอง ส่วนจะเทียบกันได้หรือไม่ จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เคยเจอเลย

ปรมาจารย์เตียวโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน แม้ฝีมือของเราอยู่ในระดับปรมาจารย์บู๊สูงสุด แต่เหนือปรมาจารย์บู๊ก็ยังมีแดนอื่น นายไม่ได้ยินเหรอว่าช่วงนี้มีผู้ฝึกฝนหัวกะทิปรากฏตัวในเมืองเยียนจิง ใช้พละกำลังของคนคนเดียว กดดันนักเสวียนของสำนักมือโลหิต เราเทียบกับเขายังห่างชั้นกันมาก”

ปรมาจารย์ก่วนพยักหน้า แต่ความได้ใจบนใบหน้าปรากฏออกมาชัดเจน

พวกเขาสองคนเป็นปรมาจารย์บู๊ แต่กลับเอาตัวเองไปเทียบกับนักเสวียน นั่นแสดงว่าพวกเขาเอาตัวเองมาอยู่ในระดับเดียวกับนักเสวียน ดูถูกดูแคลนพวกปรมาจารย์บู๊เหล่านั้น

“อะไรกันล่ะ เส้นทางวิถีบู๊ไม่สิ้นสุด ไม่แน่วันใดวันหนึ่งปรมาจารย์ทั้งสองท่านอาจทะลุระดับถึงนักเสวียนก็ได้” เหมียวหงอวี่พูดเยินยออย่างหน้าไม่อาย

ต่อไปเขาต้องกลับไปแก่งแย่งตำแหน่งเจ้าบ้าน ยังต้องพึ่งพาปรมาจารย์สองคนนี้ แน่นอนว่าต้องเยินยอให้พวกเขาพอใจ

“ชมเกินไปแล้วๆ” ปรมาจารย์ทั้งสองคนโบกมือพัลวัน แต่อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้

แม้ปากพูดว่าอยู่ในระดับปรมาจารย์บู๊สูงสุดแล้ว ห่างจากนักเสวียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่พวกเขารู้ว่านักเสวียนยากขนาดไหน แดนที่ห่างกันเพียงนิดเดียว คนจำนวนมากใช้เวลาและกำลังทั้งชีวิต ก็ยังไม่สามารถไปถึงได้

ทว่าถึงรู้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อพูดออกมาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ตรงมุมของเรือ เหยาเผิงมองทุกคนคุยกันแล้วพูดกับมู่เซิ่งเสียงเบาว่า “ลูกพี่ พวกเขาหมายถึงพี่หรือเปล่า กล้าพูดถึงพี่ลับหลัง เทียบกับนักเสวียนอะไรกัน ถ้าพี่เดินออกไปตอนนี้ ผมรับรองเลยว่าตาเฒ่าสองคนนั้นต้องตกใจจนไม่กล้าทำอะไรแน่ๆ”

มู่เซิ่งยิ้มแล้วส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

เขาไม่สนใจเรื่องแก่งแย่งชื่อเสียง ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ ขอแค่การเดินทางครั้งนี้ทำให้เขาได้ของที่อยากได้ก็พอแล้ว

ความเร็วของเรือเร็วมาก ไม่นานเรือสำราญด้านหลังก็กลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ หายลับไปจากสายตา และเรือลำนี้ก็มุ่งหน้ามายังอีกเกาะหนึ่ง

เกาะแห่งนี้ไม่ใหญ่ ไม่ถึงหนึ่งในสามของเกาะสองใจ มีต้นไม้นานาชนิดอยู่บนเกาะ มีท่าเรือธรรมดาๆ อยู่ไม่กี่ท่า เหมือนเกาะร้างที่ตัดขาดจากโลกภายนอก

“นี่เป็นเกาะที่อยู่ใกล้ขุมสมบัติที่สุด บนเกาะมีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทุกคนพักผ่อนที่นี่สักคืน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ” เหมียวหงอวี่กระโดดลงจากเรือ แล้วเรียกทุกคนลงจากเรือ

ทุกคนยกอุปกรณ์แล้วพากันกระโดดลงจากเรือ

มู่เซิ่งกับเหยาเผิงก็กระโดดลงมา ยืนอย่างมั่นคงอยู่ที่ชายฝั่ง

เหยาเผิงแอบเอาแผนที่สมบัติออกมาแอบเทียบกัน จากเส้นทางในแผนที่ นี่เป็นเกาะที่อยู่ใกล้สมบัติมากที่สุด ต่อไปเดินทางประมาณครึ่งวันก็ถึงแล้ว

“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสมบัติชิ้นเดียวกัน” มู่เซิ่งยิ้มบางๆ ดูเหมือนครั้งนี้บังเอิญแย่งของชิ้นเดียวกับเหมียวหงอวี่แล้วสินะ

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามู่เซิ่งจะยอมแพ้ ใครจะเป็นคนได้ของไปก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน

“พี่หงอวี่ แล้วสองคนนี้ล่ะ เราไม่ได้เตรียมที่พักเกินไว้” ขณะนั้นหลิวต้าเลี่ยงชี้ไปยังมู่เซิ่งกับเหยาเผิงที่อยู่ไกลๆ แล้วถามด้วยเสียงเบา

ปรมาจารย์ก่วนมองทั้งสองคนอย่างรังเกียจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเหมียวหงอวี่หาผู้ช่วยมาสองคน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นขยะสองคนนี้ ดูจากบุคลิกแล้วคงไม่ใช่แม้กระทั่งปรมาจารย์บู๊

“เหมียวหงอวี่ ฉันว่าปล่อยคนหลอกลวงสองคนนี้ไปตามยถากรรมเถอะ” ปรมาจารย์ก่วนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยขึ้น

“คนหลอกลวงเหรอ” เหมียวหงอวี่อึ้งไป

“ถ้าศิษย์พี่ฉันดูไม่ผิด สองคนนี้ยังไม่ถึงระดับปรมาจารย์บู๊ด้วยซ้ำ” ปรมาจารย์เตียวพูดขึ้นมาข้างๆ

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าเหมียวหงอวี่แปรเปลี่ยนเป็นขยะแขยงมาก “หลิวต้าเลี่ยง สมองนายมีปัญหาหรือไง เรามียอดฝีมืออย่างปรมาจารย์ก่วนกับปรมาจารย์เตียวแล้ว นายเอาพวกเขามาอีกทำไม ให้พวกเขาอยู่บนเกาะนี่แหละ จะได้ไม่เผยแพร่ความลับของเรา”

หลิวต้าเลี่ยงพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที

เขาหันมาพูดกับมู่เซิ่งและเหยาเผิงว่า “พวกนายสองคนได้ยินหรือยัง เรื่องนี้พวกนายไม่ต้องเข้ามามีส่วนร่วม อยู่บนเกาะนี้นี่แหละ”

ความหมายของเขาชัดเจนมากแล้ว ในเมื่อไม่ให้พวกเขาเข้าร่วม งั้นค่าตอบแทนของเรื่องนี้ก็ไม่มีส่วนแบ่งของพวกเขา เพราะก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงข้อตกลงเพียงลมปาก ถึงกลับคำตอนนี้ก็ไม่เป็นไร

ยิ่งไปกว่านั้นพละกำลังของมู่เซิ่ง เทียบไม่ได้กับปรมาจารย์บู๊ ก่อนหน้านี้ประเมินเขาสูงเกินไป

ปรมาจารย์ก่วนปรายตามองทั้งสองคน อดส่ายหน้าหัวเราะเยาะไม่ได้ “หงอวี่ ถึงนายจะพาผู้ช่วยก็ไม่ควรหาคนแบบนี้นะ ฉันว่าฝีเท้าของไอ้อ้วนกับไอ้หนุ่มนั่นไม่มั่นคง วิ่งสองก้าวคงหอบแล้ว ยังพามาช่วยอีกเหรอ พามาเพิ่มความวุ่นวายมากกว่า”

ก่อนหน้านี้ได้ยินเหมียวหงอวี่พูดว่าหาคนหนุ่มที่มีพละกำลังระดับปรมาจารย์บู๊มาได้คนหนึ่ง ปรมาจารย์ก่วนไม่พอใจมาก สมัยนี้หมาแมวที่ไหนก็เรียกตัวเองว่าปรมาจารย์บู๊ได้หมดแล้ว ไม่ดูบ้างว่าตัวเองมีคุณสมบัตินั้นหรือเปล่า!

ดังนั้นหลังจากเห็นมู่เซิ่ง ปรมาจารย์ก่วนจึงเปิดโปงตัวตนของมู่เซิ่งทันที

เหมียวหงอวี่เกาหัวแกรกๆ ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ปรมาจารย์ก่วนฉันก็ไล่พวกเขาไปแล้วนี่ไง”

“พวกนายสองคนคนละห้าพัน จัดการเรื่องที่พักกันเอาเอง ถ้าพรุ่งนี้เช้าลุกไหวก็อยู่เรือลำสุดท้าย ถ้าลุกขึ้นไม่ไหวก็เอาเงินแล้วไสหัวไปซะ!” หลิวต้าเลี่ยงก็เริ่มมีความมั่นใจ

“บัดซบ ทำไมนายพูดกับลูกพี่ฉันแบบนี้ ลืมตอนที่โดนซัดแล้วเหรอ” เหยาเผิงโมโหขึ้นมาทันที เขาชี้หน้าหลิวต้าเลี่ยงแล้วก่นด่าออกมา