ตอนที่ 297

My Disciples Are All Villains

ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหยวนดู่ถึงได้หัวเราะออกมาแบบนี้ โจวจี้เฟิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้สั่งการทุกคน “ถอยเร็วเข้า”

ทุกคนที่ได้ยินก็ได้ถอยกลับไปในม่านพลัง

ฝานซงและคนอื่นๆ จ้องมองมาจากด้านหลังของม่านพลังอย่างเป็นห่วง ในตอนนี้ม่านพลังได้อ่อนพลังลงมากแล้ว ด้วยพลังของมันในตอนนี้จะเพียงพอที่จะขับไล่ยอดฝีมืออย่างหยวนดู่ออกไปได้หรือไม่? โจวจี้เฟิงและฝานซงรู้ดีว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมืออย่างหยวนดู่ได้

ในตอนนั้นเองโลงศพใบนั้นก็ได้ลอยทะลุม่านพลังมาราวกับว่าม่านพลังไม่มีอยู่จริง ม่านพลังยังคงมีสภาพเช่นเดิม มันไม่มีร่องรอยหรือแม้แต่ความเสียหายที่ได้รับ

“นี่มันอะไรกัน…” ฝานซงและโจวจี้เฟิงต่างก็รู้สึกงุนงง

โลงศพในตอนนี้ได้ลอยอยู่เหนือพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่สัมผัสได้ถึงกับการจ้องมองของโลงศพใบนั้น

เมื่อฝานซงเห็นลวดลายใต้โลงศพตัวเขาก็ได้แต่อุทานออกมาด้วยความตกใจ “นั่นมันลวดลายของพลัง? “

นี่ไม่ใช่โลงศพธรรมดาๆ ถ้าหากเป็นโลงศพธรรมดาจริงมันคงจะต้านทานการกัดกร่อนที่สุสานแห่งดาบมีไม่ได้แน่

พื้นผิวของโลงศพดูทั้งเรียบและมันวาว ที่ใต้โลงศพเป็นที่เดียวเท่านั้นที่มีลวดลายของพลังซ่อนอยู่

เสียงอันแหบแห้งของหยวนดู่ได้ดังออกมาจากโลงศพใบเดิมอีกครั้ง “ยังไงซะคนรุ่นใหม่ก็จะแทนที่คนรุ่นเก่าอย่างพวกเราอยู่ดี…”

“ผู้อาวุโสหยวน…ท่าน…ท่านช่วยกลับมาในวันอื่นจะได้ไหม…” โจวจี้เฟิงชักดาบออกมาราวกับว่าตัวเขากำลังจะเริ่มการต่อสู้

“ขั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นหรอ? ” หยวนดู่หัวเราะออกมา เป็นธรรมดาที่อัจฉริยะผู้ใช้ดาบจากเมืองหลวงทางตอนเหนือจะดูแคลนผู้ฝึกยุทธที่ด้อยไปกว่าตน

พรึ๊บ!

โลงศพใบนั้นได้ไถตัวเองสู่พื้นเบื้องล่าง

ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็ใช้พลังลมปราณเพื่อคลุมตัวเองในทันที

ตู๊ม!

โลงศพสีดำได้ปล่อยคลื่นพลังออกมาก่อนที่จะสลายพลังของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย

โจวจี้เฟิง, ฝานซง และกลุ่มผู้ฝึกยุทธหญิงต่างก็เดินโซเซไปที่ด้านหลัง ทุกคนต้านคลื่นพลังที่ไหลออกมาจากโลงศพไม่ได้เลย

ไม่จำเป็นจะต้องเทียบวัดความแข็งแกร่งของทั้งสองฝั่ง การโจมตีในครั้งนี้พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่าพลังวรยุทธที่หยวนดู่มีอยู่สูงเกินไป พลังของเขาเป็นพลังของผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์กว่า 100 คน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวได้

แต่ถึงแบบนั้นผู้ที่อยู่ในโลงศพไม่ได้ต้องการที่จะเข่นฆ่า พลังที่ได้ปล่อยออกมามีไว้เพื่อสลายพลังของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น หยวนดู่ที่เอาชนะทุกคนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มลึก “นำทางไปซะ”

ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงก็ได้ประกาศเจตนาออกมาอย่างเสียงดัง “ผู้อาวุโสฮั๊วได้สั่งเอาไว้ว่าไม่ให้พวกเราปล่อยให้ผู้อาวุโสขึ้นไปบนภูเขา”

ที่ด้านหน้าห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า

เล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน และฮั๊ววู่เด๋ากำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้า ส่วนต้วนมู่เฉิงและหยวนเอ๋อกำลังยืนอยู่ด้านข้าง คนอื่นๆ ที่อยู่ด้วยล้วนแต่ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขา

ในตอนนี้โลงศพได้ลอยมาถึงพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย

เมื่อเล้งลั่วและฝานลี่เทียนมองเห็นโลงศพ ทั้งคู่ก็ได้แต่สบตากันก่อนที่จะส่ายหัว ภายในโลกใบนี้มีเรื่องประหลาดมากมาย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้อาวุโสที่มีทั้งประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง แต่ถึงแบบนั้นนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นอะไรที่แปลกประหลาดแบบนี้

‘ฮิฮิ เป็นยังไงกันล่ะ? โลงศพลอยฟ้ามาแล้ว…พวกเจ้าคงจะเชื่อข้าแล้วสินะ? ‘

หลังจากที่เงียบอยู่นานในที่สุดหยวนดู่ก็ได้พูดออกมาจากด้านในโลงศพ “พี่จีอยู่ที่ไหนกัน? “

“ท่านปรมจารย์กำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่” เล้งลั่วได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น แต่ไม่ว่าจะยังไงอีกฝ่ายก็เป็นถึงผู้อาวุโสที่อยู่มานานหลายปี เป็นธรรมดาที่เล้งลั่วจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรกันแน่ การพูดหลอกชายผู้มีประสบการณ์ไปคงไม่มีความหมาย คงจะดีกว่าถ้าตอบไปตรงๆ

“เก็บตัวฝึกฝนอย่างงั้นหรอ? “

เสียงอันนุ่มลึกของหยวนดู่ทำให้ตัวเขาฟังดูน่ากังขา “นับตั้งแต่ที่เขาออกจากสุสานแห่งดาบมา ท่านปรมาจารย์ก็เก็บตัวฝึกฝนตัวเองมาโดยตลอด ท่านจะไม่เชื่ออย่างงั้นสินะ? “

โลงศพแกว่งไปแกว่งมาเล็กน้อย ที่รอบโลงศพเต็มไปด้วยความผันผวนของพลังลมปราณ พลังนั้นได้กระเพื่อมไปรอบๆ ก่อนที่จะสลายหายไป

โลงศพได้ชี้ปลายด้านไปยังเล้งลั่วและฝานลี่เทียนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ “พวกเจ้าเป็นใครกัน? ” คำถามที่ได้พูดออกมาถามทั้งคู่

เล้งลั่วไม่ได้ตั้งใจที่จะเก็บซ่อนตัวตนเอาไว้ “ข้าเล้งลั่ว”

ฝานลี่เทียนได้พูดตามมา “ข้า…” ตัวเขาเกือบที่จะบอกว่าตัวเองเป็นฝานลี่เทียนไป แต่ท้ายที่สุดตัวเขาก็หยุดความคิดนั้น ตัวเขานึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักแห่งความบริสุทธิ์มา ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็พูดออกมาอีกครั้ง “ข้าก็แค่ขอทานคนหนึ่ง ชื่อไม่ได้มีความหมายสำหรับข้า”

หยวนดู่หัวเราะออกมาเบาๆ “เล้งลั่ว ถ้าหากจำไม่ผิดเจ้าเป็นยอดฝีมือผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของบัญชีดำเมื่อ 300 ปีก่อน…และเจ้า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พีจีใจดีจนรับขอทานให้มาอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าแบบนี้ได้? “

“เป็นธรรมดาที่ท่านปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะใจกว้าง เพราะแบบนั้นข้าก็เลยอยู่ที่นี่ได้”

“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ …” นี่เป็นครั้งแรกที่หยวนดู่ได้ยินคนชื่นชมจีเทียนเด๋า การที่จะเกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้ขึ้นได้มันเป็นอะไรที่เป็นไปได้ยากมาก ตัวเขาเคยแต่ได้ยินคนก่นด่าจีเทียนเด๋ามาตลอดทั้งชีวิต การที่จะมีคนยกย่องชื่นชมแบบนี้ถือว่าแปลกมาก

“หยวนดู่…เจ้าตั้งใจที่จะมาท้าประลองท่านปรมาจารย์ แต่ข้าเกรงว่าท่านจะต้องผิดหวัง” เล้งลั่วพูดออกมา คนอื่นๆ เองก็จ้องมองไปยังเล้งลั่ว เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่เล้งลั่วมีสิทธิ์ที่จะเรียกชื่อของหยวนดู่ออกมาตรงๆ

ฝานลี่เทียนเองยังเอ่ยชื่อของหยวนดู่ด้วยเช่นกัน

“หืม? “

“ข้าเองก็เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว” เล้งลั่วพูดออกมา

หยวนดู่นิ่งเงียบ แม้ว่าตัวเขาจะซ่อนตัวอยู่ภายใต้โลงศพ แต่เห็นได้ชัดว่าตัวเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ หลังจากนั้นไม่นานเสียงของเขาก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง “เล้งลั่ว ข้ารู้ดีว่าในตอนนี้เจ้าบาดเจ็บอยู่ เพราะแบบนั้นอย่าคิดที่จะมาข่มขู่ข้าจะดีกว่า ส่วนเจ้าขอทานเฒ่า แม้ว่าพลังรอบตัวเจ้าจะดูไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่ถึงแบบนั้นข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ไร้ประสบการณ์ แต่ด้วยพลังวรยุทธที่มีในตอนนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะข้าได้”

เมื่อได้ยินแบบนั้นเล้งลั่วและฝานลี่เทียนต่างก็สบตากัน

คนอื่นๆ เองก็ดูตื่นตกใจ

การต่อสู้กันระหว่างยอดฝีมือ ระหว่างยอดฝีมือด้วยกันเองมักจะปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้ แต่หยวนดู่สามารถมองออกทุกอย่าง เขาทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?

เล้งลั่วได้จ้องมองพลังลมปราณที่ผันผวนอยู่รอบโลงศพ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้พูดออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีไพ่ตายเก็บซ่อนเอาไว้อยู่อย่างงั้นสินะ”

“เจ้าพูดยอข้าเกินไปแล้ว”

“อัจฉริยะผู้ใช้ดาบจากเมืองหลวงทางตอนเหนือ หยวนดู่ เจ้าอยู่มาอย่างน้อยๆ ก็เป็นเวลากว่า 900 ปีแล้ว…ถ้าหากเจ้าไม่ได้เป็นอะไร ทำไมท่านถึงต้องซ่อนตัวอยู่ภายในโลงศพแบบนั้นกัน? ” เล้งลั่วได้ถามออกมาอย่างสงสัย

ทุกๆ คนเองก็เงียบสนิทก่อนที่จะเหลือบมองไปที่หยวนดู่

เห็นได้ชัดว่าหยวนดู่มาที่นี่ก็เพื่อเตรียมตัวที่จะตาย ถ้าหากตัวเขาอยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์ การจะมาตายที่นี่คงจะไม่เกิดขึ้นแน่

เสียงหัวเราะได้ดังออกมาจากภายในโลงศพอีกครั้ง “มีเพียงแค่สองอย่างเท่านั้น…ที่ทำให้ข้ารู้สึกเสียใจตลอดชีวิต…อย่างแรกเป็นปัญหาที่ข้าไม่สามารถจัดการได้ มันเกี่ยวกับอายุขัยของข้านั่นเอง อย่างที่สองเป็นเรื่องที่ข้าเอาชนะพี่จีไม่ได้ น่าเสียดาย ข้าน่ะเหลือเวลาไม่มากแล้ว อย่างน้อยๆ ก่อนที่ข้าจะตายข้าก็ไม่อยากมีอะไรติดค้างอีก ถึงแม้ว่าข้าจะต้องพ่ายแพ้อีกครั้ง ข้าก็จะยอมตายแต่โดยดี”

เล้งลั่วได้พูดขึ้น “ถ้าหากเจ้าต้องการเอาชนะท่านปรมาจารย์ เจ้าจะต้องผ่านข้าไปให้ได้ก่อน”

“ข้าด้วย”

“ข้าอีกคน”

“ข้าก็ด้วย”

ฝานลี่เทียน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อต่างก็พูดขึ้น

ผู้ที่กล้ายืนหยัดต่อสู้กับหยวนดู่นับว่าเป็นยอดฝีมือของศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว

หยวนดู่พูดออกมาอย่างมีอารมณ์ “คนรุ่นเก่ายังไงก็ต้องถูกคนรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่สักวัน…ก็ดี ดีมาก…” หลังจากพูดจบพลังลมปราณสีดำก็ได้โผล่ออกมาจากโลงศพ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่การโจมตี สัญลักษณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายใต้โลงศพค่อยๆ เลือนหายไป ดูเหมือนว่าเขาจะจงใจที่จะทำให้ตัวเองอ่อนแอลง

คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็รู้สึกสับสน หยวนดู่พยายามที่จะทำอะไรกันแน่?

ในตอนนั้นเองโลงศพค่อยๆ ลอยต่ำลงจนถึงพื้นดิน

เมื่อเล้งลั่วเห็นแบบนั้น ตัวเขาก็เชื่อว่าพลังวรยุทธที่หยวนดู่มีบัดนี้ได้ถดถอยลงไปมากแล้ว ตัวเขาได้พูดออกมา “ด้วยพลังวรยุทธของเจ้าในตอนนี้ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำลายพลังผนึกตราประทับทั้งหกของผู้อาวุโสฮั๊วได้ เจ้าในตอนนี้จะไปสู้กับท่านปรมาจารย์ได้ยังไงกัน? “

คนอื่นๆ ล้วนแต่จ้องมองไปยังโลงศพใบนั้น

‘หรือเป็นเพราะว่าพลังถดถอยลงก็เลยอยากจะมาตายที่นี่ให้เร็วขึ้นอย่างงั้นหรอ? ‘

คนอื่นๆ เองรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประเมินคู่ต่อสู้สูงเกินไป ฮั๊ววู่เด๋าคารวะก่อนจะพูดเสริม “ข้าเป็นเพียงผู้เยาว์ที่ไร้ความสามารถเท่านั้น ข้าฮั๊ววู่เด๋าแห่งสำนักหยุน”

โลงศพใบนั้นได้ร่อนลงกับพื้นก่อนที่จะตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นแนวตั้ง

ตู๊ม!

ส่วนที่เป็นด้านล่างของโลงศพบัดนี้ได้ตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าทุกคน บัดนี้ลวดลายแห่งพลังได้หายไปจากโลงศพแล้ว