ตอนที่ 180 จงมองตาข้าและทำตามที่ข้าชี้แนะ (2)
“เยี่ยมมาก” จิ่วจิ่วกอดน้ำเต้าใหญ่ แก้มนางเป็นสีแดงก่ำขณะมองดูโหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งอยู่ในข่ายอาคมและถอนหายใจเบา ๆ
บัดนี้ อีกหนึ่งในสามนักชิมของยอดเขาหยกน้อย แค่กๆ สามเทพธิดาแห่งยอดเขาหยกน้อย ในที่สุดก็กลายเป็นเซียน เวลานี้ก็เหลือเพียงแค่หลิงเอ๋อร์น้อยเท่านั้น!
จิ่วอูเดินเอามือไพล่หลังขณะกล่าวกับจิ่วจิ่วว่า “ดีอย่างไรกัน!?! คิดถึงตัวเองสักหน่อยสิ ศิษย์น้องหญิงแสนดีของข้า!”
จิ่วจิ่วกะพริบตาและตอบศิษย์พี่ห้าของนางว่า “เช่นนี้แล้วไม่ดีอย่างไรกัน? เสวียนหย่าบรรลุเซียนไปแล้ว นางกลายเป็นเซียนไปแล้ว”
“เจ้าได้ยินที่นางพูดหรือไม่?”
“นางพูดอะไร…หือ?”
ในที่สุดจิ่วจิ่วก็นึกขึ้นได้ ทันใดนั้น นางก็กะพริบตาปริบๆ และฉีกยิ้มบานแฉ่งจนดวงตากลมโตโค้งปานจันทร์เสี้ยวคว่ำ…
“เหอะๆๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่เสวียนหย่าสนใจเสี่ยวโซ่วโซ่ว? เรื่องนี้น่าสนใจ หลิงเอ๋อร์น้อยชอบเสี่ยวโซ่วโซ่ว ตอนนี้เสวียนหย่าเผยความรู้สึกของนางต่อหน้าธารกำนัลแล้ว ว้าว… หลิงเอ๋อร์น้อยจะสู้กับเสวียนหย่าหรือไม่?”
จิ่วอูอดเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้ขณะฝืนยิ้มขื่นและกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงต่อไป
“เสี่ยวจิ่ว เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเจ้าซ่อนความรู้สึกผิดปกติที่มีต่อศิษย์หลานฉางโซ่วเอาไว้ด้วย?”
“เฮ้ ศิษย์พี่ห้า ท่านเข้าใจผิดแล้ว” จิ่วจิ่วโบกมือแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงสี่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว ข้ายังหัวเราะต่อหน้าเสี่ยวโซ่วโซ่วอีกด้วย หลังจากนั้น ข้าก็ตระหนักว่าศิษย์พี่ห้า ท่านและศิษย์พี่หญิงสี่คิดถึงกันตลอดทั้งวัน จิตใจของท่านเต็มไปด้วยความคิดที่ใกล้ชิดกันเหล่านั้น ก็คงแปลกหากท่านไม่ได้เข้าใจผิด! ข้าไปที่ยอดเขาหยกน้อยเพื่อเอาสุราและโอสถ กินเนื้อสัตว์ คู่บำเพ็ญเต๋าไม่จำเป็นสำหรับข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังมีความเชื่อมั่นต่อเสี่ยวฉางโซ่ว คล้ายกับ… อืม… ความรักที่คนขี้เมามีต่อปรมาจารย์การบ่มสุรา การฝึกบำเพ็ญนั้นเงียบเหงาอ้างว้างนัก แค่มีคนคอยอยู่กับข้า ช่วยคลายความเบื่อหน่ายให้ข้าก็เพียงพอแล้ว”
จิ่วอูเงียบงันทันทีขณะมองไปที่ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขา
ดวงตาของจิ่วจิ่วชัดเจนและเผยรอยยิ้มสบายใจ
“จริงๆ หรือ?”
จิ่วอูขมวดคิ้วและถาม ทว่าขณะที่กำลังจะถามจิ่วจิ่วต่อไป เขาก็รู้สึกว่าหยกสื่อสารกำลังสั่นอย่างต่อเนื่อง
ส่งตรงจากฮูหยิน เขาจะกล้าไม่ดูข้อความได้อย่างไรกัน!?!
จิ่วอูถือหยกสื่อสารเอาไว้ในมือของเขา ในขณะนั้น เสี้ยวสัมผัสเซียนรับรู้อันเล็กๆ ก็ได้แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขาแล้วกลายเป็นคำพูดไม่กี่คำ
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยพลันนิ่งงันทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ จิ่วจิ่วก็กลอกตามองบน โดยไม่สนใจศิษย์พี่ห้าของนางขณะยังคงมองโหย่วฉินเสวียนหย่า ซึ่งดูสง่างามมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเรื่องสนุกครั้งใหญ่ของพวกนางทั้งสามคนก็เริ่มปรากฏขึ้นมาในใจ
เป็นเรื่องสนุกของสามสาวจำอวดที่ไม่สวมใส่อาภรณ์
ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าเซียนจินสองสามคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินก็มารวมตัวกันไปหาจี้อู๋โหย่ว เจ้าสำนักตู้เซียนและกล่าวถึงเรื่องกรงที่โหย่วฉินเสวียนหย่าใช้ในระหว่างการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ให้เขาฟัง
จี้อู๋โหย่วกระแอมไอเป็นเวลานาน แต่ไม่ได้เอ่ยอันใด
ที่ด้านข้างนั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงไปถามบรรดาผู้อาวุโสและผู้บริหารของสำนักทันที หลายคนทำมุทราหยั่งรู้ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่สร้างกรงซึ่งสามารถช่วยข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้นั้น เป็นผู้ใดกัน
แต่กรงฟาราเดย์นั้นเคยปรากฏขึ้นเมื่อฉีหยวนอยู่ระหว่างการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์มาก่อน ผู้บริหารเซียนเสิ่นของสำนักที่มากับเขาจดจำมันได้ จึงไปหาปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งเพื่อรายงานเรื่องนี้ “ยอดเขาหยกน้อย?”
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเร็วๆ นี้มีปรากฏการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นในยอดเขาหยกน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนั้น จิ่วอูก็รีบวิ่งมาจากด้านข้างแล้วตะโกนว่า “อาจารย์! ศิษย์รู้ว่ากรงนั่นมาจากที่ใดขอรับ!”
“พูดมา”
จิ่วอูรีบกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ผู้อาวุโสเซียนเสิ่นของสำนักคนหนึ่งได้ทิ้งกรงนั้นเอาไว้ข้างหลังก่อนจะจากไป ย้อนกลับไปในยามนั้น ผู้อาวุโสผู้นั้นได้มีชีวิตอยู่จนสิ้นชีวิตโดยไม่มีศิษย์คนใด พลังเซียนของเขาอ่อนแอประหนึ่งมนุษย์ชรา และไม่กี่เดือนก่อนที่เขาจะสิ้นใจ เขาก็ได้รับการดูแลจากหลี่ฉางโซ่ว ศิษย์ของยอดเขาหยกน้อย ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากหอไป่ฝานให้ไปดูแลเช่นนั้น นอกจากนี้ก่อนที่ผู้อาวุโสคนนั้นจะจากไป เขายังได้ถ่ายทอดพลังเวทการสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ รวมถึงมอบสมบัติที่เรียกว่ากรงฟาราเดย์ให้แก่ศิษย์หลานฉางโซ่ว แต่เราไม่รู้จริงๆ ว่าสมบัตินี้ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร เวลานี้ยังเหลืออีกสองกรงซึ่งมีไว้สำหรับศิษย์หลานฉางโซ่ว และศิษย์น้องหญิงของเขา…”
ดูเหมือนว่า หว่างชิงผู้สูงส่งจะเข้าใจถ่องแท้ขึ้นมาในทันที
สิ่งที่จิ่วอูกล่าวออกมานั้นเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว
หลี่ฉางโซ่วมีพลังเวทในการสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์มาจากผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปแล้วเพราะสิ้นสุดอายุขัยแห่งเซียนของเขา ในขณะนั้น ผู้อาวุโสจึงทำได้เพียงมอบกรงฟาราเดย์ไปให้ผู้อื่น
พร้อมกันนั้น เขาก็ต้องการปูทางไปสู่อนาคตและถ่ายทอดพลังเวทในการสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ให้แก่หลิงเอ๋อร์
ในเวลานั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งทำมุทราหยั่งรู้ ก่อนจะพยักหน้าและเดินไปหาเหล่าเซียนจินสองสามคนที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสำราญใจ แล้วกระซิบบางอย่างกับเจ้าสำนักอย่างรวดเร็ว
จี้อู๋โหย่วจึงรีบกล่าวกับคนภายนอกว่าไม่มีวิธีการสร้างกรงฟาราเดย์เพราะมันเป็นสมบัติที่เหลือมาจากผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปแล้ว และในเวลานี้ ก็เหลืออีกเพียงสองกรงสุดท้ายเท่านั้นซึ่งมีไว้สำหรับศิษย์ที่ผู้อาวุโสท่านนั้นตั้งใจจะมอบให้
เหล่าเซียนจินสองสามคนที่มาขอสมบัติต่างเผยสีหน้าผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้บีบให้พวกเขาลำบากใจแต่อย่างใดก่อนจะอำลาจากไป
จี้อู๋โหย่วยังไม่ทันได้นั่ง ในขณะนั้นก็มีเซียนจินอีกคนมาถึง…
และหลังจากนั้น ในเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น ก็มีบรรดาศิษย์หลายสิบคนจากทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าต่างแห่กันเข้ามาสอบถามถึงกรงฟาราเดย์
เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วเหนื่อยเกินกว่าที่จะจัดการกับสถานการณ์ได้ จึงตั้งป้ายไม้และเขียนชัดเจนว่า กรงนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาในสำนักตู้เซียน เขาบอกว่ามันเป็นของโบราณที่ผู้อาวุโสคนนั้นทิ้งไว้ และพวกเขาไม่มีวิธีการสร้างมัน…
จากนั้นเจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วก็จัดการให้สถานการณ์สงบลงได้
ทว่าปัญหาในเรื่องนี้ก็ยังไม่หมดสิ้น
หลังจากที่บรรดาศิษย์เข้าไปในภาพแผนที่เป็นเวลาเจ็ดวัน สัตว์ปีศาจและสัตว์ร้ายส่วนใหญ่ในภาพล้วนถูกกวาดล้างออกไป สมบัติส่วนใหญ่ถูกยึดเอาไป ส่วน ‘การต่อสู้ของบรรดาศิษย์’ ในคราวนี้ก็สิ้นสุดลง
ในขณะนั้น สำนักเซียนภายใต้สามสำนักบำเพ็ญเต๋านี้นับว่ามาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน ดูผิวเผินแล้ว ทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าล้วนดูมีเมตตาและเป็นมิตร ทั้งยังดูเหมือนว่าจะไม่มีการจัดลำดับระดับชั้นว่าผู้ใดได้คะแนนเหนือกว่าและด้อยกว่า วิธีจัดการเช่นนี้นับว่าฉลาดยอดเยี่ยมมากทีเดียว
ในอีกสองสามวันถัดมา หลี่ฉางโซ่วและสงหลิงลี่ก็ยังคงซ่อนตัวอยู่
บัดนี้ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูได้จากไปแล้ว โหย่วฉินเสวียนหย่ากำจัดปีศาจ และข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้นสู่เซียน นางโดดเด่นมากและได้สร้างความสำคัญให้กับสำนักตู้เซียนและสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินแล้ว เช่นนั้นย่อมนับว่า ภารกิจเผยพลังสร้างชื่อเสียงของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินที่ได้รับมาจากปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็ผ่านไปด้วยดีและเสร็จสิ้นลงแล้วเช่นกัน
พวกเขาไม่ต้องทำอะไรมากนัก
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ หลี่ฉางโซ่วทำการวิเคราะห์ภาพแผนที่อย่างต่อเนื่องเพื่อดูว่าผลกระทบของกรงฟาราเดย์ที่บังเอิญถูกเปิดเผยออกมานั้นจะส่งผลต่อเขาอย่างไร
เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็พบว่าไม่มีอันตรายร้ายแรงมากนัก อย่างมากที่สุด หากพบปัญหายุ่งยาก เขาย่อมหาทางแก้ไขสถานการณ์ในยามนั้นด้วยตัวเองได้ไม่ยาก
ไม่ใช่ทุกคนจะกล้าแตะต้องสำนักตู้เซียนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูอยู่เบื้องหลัง
ทว่าในวันที่เจ็ด เซียนจิน อวิ๋นจงจื่อแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานก็โจมตีอีกครั้ง เขาจับศิษย์ทั้งหมดจากภาพแผนที่สมบัติและส่งพวกเขากลับไปยังตำแหน่งเดิม
ทันทีที่หลี่ฉางโซ่วและสงหลิงลี่เพิ่งยืนขึ้นมั่นคงเรียบร้อย จิ่วอูก็เดินมาหาและพาหลี่ฉางโซ่วไปพบเจ้าสำนักนักพรตเต๋าจี้อู๋โหย่ว…
จี้อู๋โหย่วกระแอมไอออกมาสองสามครั้งขณะมองหลี่ฉางโซ่ว แล้วถามว่า “เรื่องกรงนั้น เจ้ากลัวกรรมใช่หรือไม่” “ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบพยักหน้าตอบรับ
จี้อู๋โหย่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าต้องยืนยันในภายหลังว่า เหลือกรงเพียงสองกรงเท่านั้นและอย่ามอบมันให้ผู้ใดนอกจากเจ้าและศิษย์น้องหญิงของเจ้า”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ปกป้องและช่วยเหลือศิษย์ขอรับ”
จี้อู๋โหย่วกล่าวอย่างสงบว่า “เจ้าเป็นศิษย์ในสำนักของข้า นี่เป็นเพียงเรื่องที่ข้าควรทำ”
“หลังจากนี้ ทันทีที่เซียนของสำนักบำเพ็ญเต๋าจากไป จะต้องมีคนมาสร้างปัญหาวุ่นวายให้ข้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น… จงมองตาข้าและทำตามที่ข้าชี้แนะ”
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ”
……………………………………………………………………