Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 28 ใช้ตนเองทดลองยา
บทที่ 28 ใช้ตนเองทดลองยา
โดย
Ink Stone_Romance
ไม่พอยังมี?
อะไรไม่พอ? คนเหล่านี้ใช้แล้วตายแล้ว ค่อยไปจับคนอื่น?
สวรรค์ นี่แตกต่างอะไรกับครั้งนั้นที่ป้องกันฝีดาษสังหารหมู่คนไม่ติดโรค
นี่มันสังหารคนแล้ว นี่มันสังหารคนแล้ว
สีหน้าบรรดาท่านหมอยุ่งเหยิงแล้ว
คุณหนูจวินก็ประหลาดใจมากเช่นกัน
นางไม่เคยคิดว่าเรื่องที่นี่จะปิดบังองครักษ์เสื้อแพรได้ แล้วก็ไม่เคยคิดจะปิดพวกเขาด้วย
นี่ก็ไม่มีอะไรให้ปิดบัง
แต่นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลู่อวิ๋นฉีจะทำเช่นนี้
เขาได้ยินคำที่ตนพูด ได้ยินการตั้งคำถามของบรรดาท่านหมอก็ถึงกับหิ้วคนกลุ่มหนึ่งมาทันทีทันใด
พิษฝีดาษนี่ใช้ได้ไม่ได้ ทำให้คนถึงตายหรือไม่ พูดไปพูดมาไม่รู้ชัด ทดลองดูสักทีไม่ใช่ก็รู้แล้วหรือ
คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉี สีหน้าสับสนอยู่บ้าง
เรื่องนี้ยังไงก็ต้องแก้เช่นนี้
แต่….
ลู่อวิ๋นฉีเห็นนางในที่สุดมองมาทางตนเอง มุมปากโค้งขึ้นนิดๆ
คุณหนูจวินรู้สึกเพียงเลือดลมปั่นป่วนวูบหนึ่ง
นางไม่อยากเห็นเขา ไม่อยากเห็นรอยยิ้มของเขา อย่าให้นางมองเห็นรอยยิ้มเช่นนี้อีกเลย
นางเคลื่อนสายตาหลบ ยกเท้าก้าวไปข้างหน้า
“คุณหนูจวิน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองเห็นร้องเรียกทันที
คุณหนูจวินหยุดเท้าอีกครั้งมองไปทางเขา
“คุณหนูจวิน ทำเช่นนี้ไม่ได้” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย สีหน้าตระหนก “ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาเป็นครอบครัวของคนป่วย เป็นคนที่มาขอรักษา จะทำเช่นนี้กับพวกเขาได้อย่างไร เอาพวกเขามาลองพิษได้อย่างไร”
ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยปาก ท่านหมอคนอื่นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เรื่องมาถึงวันนี้ ยื่นศีรษะก็เป็นดาบหดศีรษะก็เป็นดาบเหมือนกัน ไม่สนแล้ว หลับหูหลับตาออกไปเลย
“ใช่แล้ว ทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
“นี่น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ”
“พวกเขาเป็นคนนะ”
บรรดาท่านหมอพากันร้องเอ่ย
คน? สำหรับองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้แล้ว คนกับสัตว์ไม่มีอะไรต่างกัน
คุณหนูจวินมองคนที่ถูกมัดอยู่บนพื้น พวกเขาเดิมทีอาจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เที่ยงคืนอยู่ดีๆ ถูกจับมัดไว้ แต่ละคนๆสีหน้าหวาดกลัว ตอนนี้ฉับพลันได้ยินว่าลองพิษสองคำ กลัวเข้าจริงๆ สลบไปหลายรายทันที
“ท่านหมอเฒ่าเฝิง พิษฝีของข้าไม่…” นางหันกลับมาเอ่ยกับท่านหมอเฒ่าเฝิงเสียงเบา
ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยขัดนาง
“ไม่ว่าท่านจะมั่นใจในพิษฝีของท่านเท่าไร เรื่องนี้ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้” เขาสีหน้าจริงจัง “นี่ไม่เกี่ยวกับมีปัญหาหรือไม่มีปัญหา นี่เป็นเรื่องที่ขัดฟ้าดินมนุษยธรรม
“ใช่แล้ว คุณหนูจวิน จะจับคนมาลองยาเช่นนี้ได้อย่างไร” ท่านหมอคนอื่นพากันเอ่ยขึ้น
“ทำเรื่องเช่นนี้ล้วนเป็นตนเองยินยอม โบราณมีเสินหนงลองชิมร้อยสมุนไพรเพื่อผู้คน ยุคก่อนมีฮัวโต๋ใช้ตนทดลองยาชา วันนี้ให้ข้าทดลองพิษฝีนี่เอง” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย หมุนตัวก็เดินไปทางโต๊ะด้านหน้าพระพุทธรูป
บรรดาท่านหมอฮือฮาทันที ทุกคนสีหน้าตกตะลึง ดวงตาสบกันครู่หนึ่งก็มีหลายคนกัดฟัน
“ข้าด้วย” พวกเขาเอ่ย เดินตามท่านหมอเฒ่าเฝิงมาถึงด้านหน้าโต๊ะ
ใต้แสงโคมสว่างไสว หลอดทองแดงมันด้านแวววาว
ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองไปทางคุณหนูจวินที่ยังยืนอยู่ตรงปากทางเข้าประตู
“มาเถอะ คุณหนูจวิน ให้ข้าลองก่อน” เขาเอ่ย
หมอคนอื่นหลายคนก็พากันเอ่ยปากด้วย
“ให้ข้าลองก่อน”
“ให้ข้าลอง ปกติข้าก็ช่วยงานไม่มาก คนป่วยที่นี่ขาดพวกท่านไม่ได้”
ภาพนี้ทำให้หมอมากกว่าเดิมลุกขึ้นมาด้วยแล้ว
“ข้าเอง”
“ข้าเอง”
“ทุกคนอย่าทะเลาะกัน ยังไงก็ไม่อาจลองกันหมดได้ พวกเรายังต้องดูแลคนป่วย”
“ทุกคนฟังข้า พวกเราจับฉลาก”
ด้านในโถงพระพุทธรูปบรรยากาศหวาดกลัวฉับพลันสลาย ที่มาแทนที่คือความฮึกเหิมรวมถึงความแน่วแน่
มองเห็นท่านหมอเหล่านี้แย่งกันเอาตนเองลองพิษก่อน เฉินชีที่ยังถูกองครักษ์เสื้อแพรจับไว้ก็อดไม่ได้จมูกขัดเคือง
“ล้วนบอกกันว่าหมอจิตใจเมตตา วันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าอะไรคือใจเมตตา” เขาหันไปสะอึกสะอื้นเอ่ยกับคนข้างตัว “ท่านว่าใช่หรือไม่พี่ใหญ่”
องครักษ์เสื้อแพรด้านข้างสีหน้านิ่งสนิท ราวกับรูปปั้น สิ่งใดล้วนไม่ได้ยินและไม่พูดไม่จา
พูดถึงจิตใจเมตตากับคนพวกนี้ใยไม่ใช่สีซอให้ควายฟัง? เฉินชีเบะปากไม่พูดจาแล้ว
คุณหนูจวินมองบรรดาท่านหมอที่แย่งกันลองยาก่อนเหล่านี้ คำนับให้อีกครั้ง
“ดี ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ให้ตัวเอง…” นางเอ่ย
คำพูดนางยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกท่านหมอทั้งหลายขัด
“คุณหนูจวินท่านอย่าเลย” ท่านหมอพากันเอ่ย
“ต่อให้ท่านไม่ต้องดูแลคนป่วย หากพวกเรากลุ่มนี้ไม่ไหวแล้ว ท่านยังต้องปลูกฝีให้กลุ่มต่อไปนะ” ยังมีคนเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา
คุณหนูจวินก็หัวเราะแล้ว นางไม่ลังเลเดินตรงเข้าไป หยิบหลอดทองแดงเรียวอันหนึ่งขึ้นมา
“ท่านหมอเฒ่าเฝิง ท่านก่อนเถอะ” นางเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่ลังเลสักนิด
“บอกแล้วว่าไงเป็นข้า” เขายิ้มเอ่ย
“ท่านนั่งลง” คุณหนูจวินเอ่ย ชี้เก้าอี้ด้านข้าง
ท่านหมอเฒ่าเฝิงนั่งลงตามคำบอก มองคุณหนูจวินหยิบหลอดทองแดงเดินเข้ามาใกล้
“เงยหน้า” นางเอ่ย พลางถือหลอดทองแดงขึ้นมา
แม้เตรียมพร้อมมาแล้ว แต่เห็นหลอดทองแดงเรียวเล็กนี่เข้าใกล้ปากจมูก ไม่ใช่แค่คนรอบด้าน กระทั่งท่านหมอเฒ่าเฝิงก็อดไม่ได้ร่างกายเกร็งเครียด
คุณหนูจวินไม่ได้เคร่งเครียดสักนิด ถึงขั้นที่ไม่ให้เวลาพวกเขาตอบสนอง หยิบที่อุดสองด้านออกก็วางหลอดทองแดงเข้าไปในจมูกข้างหนึ่งของท่านหมอเฒ่าเฝิง เป่าลมจากอีกด้านหนึ่งของหลอดทองแดง
เมื่อสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในจมูก ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็หลับตาถอยหลังโดยไม่ทันรู้ตัว คุณหนูจวินหยิบหลอดทองแดงออกมาแล้วยืนตัวตรง
“เสร็จแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย
บรรดาท่านหมอคนอื่นมองท่านหมอเฒ่าเฝิงกังวล
“รู้สึกอย่างไร?” ทุกคนอดไม่ได้เอ่ยถาม
ท่านหมอเฒ่าเฝิงใช้มือกดจมูก
“เหม็นนิดหน่อย” เขาคิดนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น
บรรดาท่านหมออดไม่ได้หัวเราะขึ้นมา
“ปฏิกิริยาไม่เร็วขนาดนั้น คงต้องประมาณวันที่เจ็ด ท่านหมอเฒ่าเฝิงจะตัวร้อน แต่ก็แค่ตัวร้อน ไข้ลดลงก็ไม่เป็นไรแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย
บรรดาท่านหมอพยักหน้าสีหน้าต่างกันไปไม่พูดจา
“ข้าบ้าง” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย ตนเองนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว ท่าทางแน่วแน่
หลังการกระทำของเขาท่านหมอ อีกหลายคนก็พากันดึงเก้าอี้ของตนเข้ามานั่งลง
“ในเมื่อจะพิสูจน์ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพิสูจน์เพิ่มสักหลายคน” พวกเขาเอ่ย
คุณหนูจวินก็ไม่ได้ห้าม หยิบหลอดทองแดงแท่งแล้วแท่งเล่าออกมาค่อยๆ เป่าฝีวัวเข้าไปในจมูกของพวกเขาทีละคนๆ ระหว่างนี้ไม่ได้ราบรื่นไปเสียหมด ท่านหมอบางคนก็จามออกมาเดี๋ยวนั้น จามพิษฝีที่ยัดเป่าเข้าไปออกมาด้วย อีกสองคนเป่าเข้าไปแล้ว แต่น้ำมูกไหลออกมาไม่หยุด ผงพิษฝีก็ล้วนถูกชะออกมาด้วย
“แบบนี้ใช้ไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาผงมาทำเป็นแท่งสอด”ท่านหมอคนหนึ่งเสนอขึ้นมา
วิธีนี้ไม่เลว คุณหนูจวินพยักหน้า บรรดาท่านหมอจึงวุ่นวายขึ้นมาเดี๋ยวนั้น หาแผ่นสำลี เอาน้ำมา มองคุณหนูจวินเทผงพิษฝีออกมาผสมทาลงบนแผ่นสำลีม้วนเป็นแท่ง
“ใช่ใช่ อย่างนี้แหละแล้วยัดเข้าไป” ท่านหมอคนหนึ่งหยิบแผ่นสำลีที่พันผงฝีดาษจนเหมือนเมล็ดพุทรายัดเข้าไปในจมูกของท่านหมอคนหนึ่ง เหลือเพียงสายที่หัวเส้นหนึ่งไว้ข้างนอก
ท่านหมอคนนั้นสูดจมุกอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้จามออกมา
“นี่ดีกว่าเมื่อครู่มากแล้ว” เขาพยักหน้าเอ่ย
บรรดาท่านหมอล้วนดีใจมากโล่งใจปลื้มปริ่ม ราวกับแก้ไขโรคร้ายยากลำบากอะไรได้ ที่จริงพวกเขากำลังทำให้ตนเองติดโรคฝีดาษอยู่นะ เรื่องน่ากลัวเช่นนี้ปฏิกิริยาเช่นนี้ประหลาดนัก
เฉินชีที่ยืนอยู่นอกประตูไร้คำพูด
บรรดาท่านหมอเหล่านี้ปล่อยวางอย่างสิ้นเชิงแล้วจริงๆ แล้วทำอย่างไรได้อีก ถอยก็ถอยไม่ได้แล้ว มีเพียงไปข้างหน้า วิจัยสร้างวิธีที่ทำให้คนไม่เป็นฝีดาษอีกต่อไปออกมาได้จริงๆ นั่นถึงพลิกสถานการณ์พ่ายแพ้ได้
หัวหน้ากองร้อยเจียงมองลู่อวิ๋นฉีทีหนึ่ง
นอกจากพูดสองประโยคนั้น เขาก็ไม่เอ่ยวาจาอีก เพียงมองการกระทำของเด็กสาวคนนั้นในโถงพระพุทธรูป
หัวหน้ากองร้อยเจียงมองชายหญิงสิบกว่าคนที่ถูกโยนไว้บนพื้นอีกหน
“ใต้เท้า” เขายังคงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งเอ่ยขึ้น
ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวโบกมือทีหนึ่ง ตนเองก้าวออกไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว
หัวหน้ากองร้อยเจียงโล่งอก ช่างเถอะ บรรดาท่านหมอเหล่านี้ยินดีสละตนเอง พวกเขาใยต้องขวาง อย่างไรบรรดาท่านหมอก็ดี คนเหล่านี้ก็ดีล้วนเหมือนกัน
เขาก็โบกมือ บรรดาองครักษ์เสื้อแพรหิ้วชายหญิงบนพื้นจากไปอย่างพร้อมเพรียง
ค่ำคืนกำลังถดถอยไป ทิศตะวันออกค่อยๆ สว่าง ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่นอกเขาวัดมองขอบฟ้า
“ใต้เท้า” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งดุจเงาภูตผีพลันปรากฏตัวข้างกายเขาเอ่ยเสียงเบา “เมื่อครู่บุตรชายเฉิงกั๋วกงก็อยู่”
ด้านนี้เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เขาไม่อยู่ถึงแปลก ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท
“ตอนนี้เขาจากไปแล้ว มุ่งไปในเมือง” องครักษ์เสื้อแพรเอ่ยเสียงเบา แล้วก้มศีรษะ “พวกเด็กๆ ขวางไม่อยู่”
สายตาของลู่อวิ๋นฉีกรอกเล็กน้อย มองไปทางบันไดยาวนอกวัด
“พวกเจ้าขวางเขาไม่อยู่หรอก” เขาเอ่ย
นี่ก็หมายความว่าไม่สั่งให้ไล่ล่าและจับตัว องครักษ์เสื้อแพรค้อมกายอีกครั้งเร้นกายหายไป
……………………………………….