ตอนที่ 299

My Disciples Are All Villains

ฝานลี่เทียนเติมพลังมาเป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหยวนดู่จะทำอะไรได้บ้าง แต่ถึงแบบนั้นเขาจะต้องได้รับผลกระทบจากการโจมตีนี้แน่ ตราประทับหยินหยางได้ขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ

โจวจี้เฟิง, ฝานซง และเหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงต่างก็ดวงตาเบิกกว้าง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสฝานจะเคลื่อนไหวต่อสู้ นับเป็นครั้งแรกที่ชายชราในตำนานคนนี้ได้ปลุกพลังลมปราณที่มีขึ้นมาได้อีกครั้ง หลังจากที่ขอทานเฒ่าถูกทำลายพลังวรยุทธไป เขาก็ใช้ชีวิตเหมือนกับคนที่หมดอาลัยตายอยาก ในที่สุดฝานลี่เทียนก็ได้ทิ้งอดีตที่เคยมีมาไปได้ พลังของฝานลี่เทียนที่ผ่านการฝึกฝนอันยาวนานมาจะเป็นยังไงกัน?

ใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากของเล้งลั่วได้แสดงสีหน้าแห่งการยอมรับออกมา

ฝานลี่เทียนได้ผลักพลังฝ่ามือไปที่ด้านหน้า ในตอนนั้นเองใบมีดพลังงานก็ได้ปรากฏขึ้นจากตราหยินหยาง ฝานลี่เทียนได้เสริมพลังใบมีดพลังงานด้วยพลังฝ่ามือของตัวเอง!

ในเวลาเดียวกันใบมีดพลังงานก็ได้ปรากฏขึ้นรอบๆ โลงศพที่หยวนดู่อาศัยอยู่ โดยปกติแล้วผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้จะสามารถควบคุมดาบพลังงานได้เพียงแค่ 2 เล่มเป็นอย่างมาก แต่หยวนดู่คนนี้กลับสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของดาบพลังงานได้ผ่านพลังพิเศษที่มีอยู่ในโลงศพ ตัวเขาที่อยู่ในโลงศพดูเหมือนกับว่ามีพลังลมปราณอันไร้ขีดจำกัด

ใบมีดพลังงานได้พุ่งออกมาจากทั้งสองด้าน คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็ถอยไปตามสัญชาตญาณ การต่อสู้นี้ดูไม่เหมือนกับการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้อีกต่อไป ไม่ว่าพวกเขาจะใช้พลังรูปแบบไหนก็แล้วแต่ การต่อสู้ของทั้งสองคนมันเหมือนกับการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูมากกว่า!

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

ใบมีดพลังงานได้เข้าปะทะกัน

ฝานลี่เทียนได้ยิ้มก่อนที่จะก้าวออกมาข้างหน้า ตัวเขาได้กระแทกฝ่ามือไปที่พื้นตรงหน้า

ตู๊มม!

พลังการก่อตัวของปรากฏการณ์ทั้งสี่ที่อยู่บนพื้นรอบๆ โลงศพแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

“เยี่ยมมาก! ” ฝานซงที่เห็นแบบนั้นกล่าวชมเชยออกมา

ไม่มีใครบอกว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะใช้ได้แต่ใบมีดพลังงานได้เท่านั้น เป็นเรื่องปกติที่ผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้จะสามารถทำลายพื้นได้ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นแรกเองก็ยังสามารถทำลายพื้นได้เช่นกั้น

เมื่อทุกคนคิดว่าฝานลี่เทียนกำลังคว้าชัยชนะ ในตอนนั้นเองพลังที่อยู่บนพื้นก็เริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง รูปแบบพลังได้ก่อตัวขึ้นก่อนที่จะยิงพลังไปที่ตราหยินหยางที่ฝานลี่เทียนมี

ตู๊ม!

ตราหยินหยานที่เป็นพลังของฝานลี่เทียนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ยิ่งไปกว่านั้นหยวนดู่ยังมีใบมีดพลังงานอีกสองชิ้นที่หมุนรอบโลงศพของตัวเอง

“น่าสนใจ” เล้งลั่วปรบมือออกมา คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็งุนงง

‘ทำไมเขาถึงไม่โจมตีต่อล่ะ? ‘

‘นี่มันยังไม่จบลงสินะ? ‘

หยวนดู่ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะโจมตีครั้งต่อไป ทำไมหยวนดู่ถึงไม่ใช้ดาบพลังงานที่มีโจมตีฝานลี่เทียนในโอกาสนี้ล่ะ? ในตอนนั้นเองคนอื่นๆ ต่างก็สับสน

ฝานลี่เทียนได้คารวะให้ก่อนที่จะพูดออกมา “ข้ายอมรับความพ่ายแพ้เอาไว้เอง”

ฮั๊ววู่เด๋าพยักหน้าก่อนที่จะยอมรับหน้าที่อธิบายอีกครั้ง “ดูเหมือนว่าพลังที่ใช้จะถึงขีดจำกัดของผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้แล้ว”

เมื่อคนอื่นๆ เห็นแบบนั้นทุกคนก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ พวกเขาต่างก็มองข้ามระดับพลังไป…ฮั๊ววู่เด๋าพูดถูกต้องแล้ว ผู้ฝึกยุทธขั้นสังหรณ์หยั่งรู้จะสามารถใช้พลังฝ่ามือและดาบพลังงานได้เพียงสองเล่มเป็นอย่างมาก…ในตอนที่พลังตราประทับของหยวนดู่ถูกทำลายไป ในตอนนั้นดาบพลังงานทั้งสองเล่มของเขายังคงอยู่ ส่วนพลังตราหยินหยางที่ฝานลี่เทียนใช้ได้ถูกทำลายไปพร้อมกับดาบพลังงาน ดังนั้นผู้ที่เป็นฝ่ายเหนือกว่านั่นก็คือหยวนดู่นั่นเอง

ฝานลี่เทียนยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “วิธีการของเจ้าเปิดหูเปิดตาของข้าจริงๆ ” หลังจากพูดจบตัวเขาก็ได้ถอยกลับไป

ถ้าหากผู้อาวุโสอย่างเล้งลั่วและฝานลี่เทียนที่มากประสบการณ์ยังไม่สามารถเอาชนะหยวนดู่ในการต่อสู้แบบนี้ได้ คนอื่นๆ เองก็คงจะไม่สามารถทำได้เช่นกัน ประสบการณ์ในการต่อสู้ไม่อาจจะสร้างขึ้นมาได้โดยใช้แค่พรสวรรค์เท่านั้น มันต้องอาศัยระยะเวลาอันยาวนานในการเรียนรู้นั่นเอง

ฮั๊ววู่เด๋าเป็นผู้ที่พูดออกมาอีกครั้ง “เห็นทีข้าคงจะต้องยอม…พลังของข้ามีดีแค่การป้องกันเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพลังผนึกตราประทับทั้งหกเองยังต้องใช้พลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ในการใช้งาน ในแง่ของการใช้ดาบ ฝีมือของข้าเองก็ไม่เอาไหนอีกด้วย” หลังจากที่พูดเสร็จฮั๊ววู่เด๋าก็ได้ถอยออกไปเช่นกัน

ไม่มีผู้อาวุโสทั้งสามคอยประมือกับหยวนดู่อีกต่อไป ในตอนนี้บรรยากาศได้ดูน่าอึดอัดขึ้นมานิดหน่อย

หยวนดู่ได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าได้ฝึกฝนวิถีแห่งดาบในสุสานแห่งดาบมาเป็นเวลากว่าร้อยปี ไม่แปลกเลยที่ข้าจะสามารถเอาชนะพวกเจ้าได้แบบนี้…”

ต้วนมู่เฉิงได้ควงหอกราชันย์ที่อยู่ในมือก่อนที่จะพูดออกมา “สิ่งที่เจ้าพูดก็แค่คำพูดจากปากของเจ้าเท่านั้น นี่ไม่ใช่การประลองที่แท้จริง ในการต่อสู้จริงใครจะไปสนกฎเกณฑ์ที่อีกฝ่ายเป็นผู้กำหนดล่ะ? ” คำพูดของต้วนมู่เฉิงมีส่วนถูก ในการต่อสู้จริงคงจะไม่มีใครใช้พลังของตัวเองแบบออมมือแบบนี้

ตู๊ม!

หอกราชันย์ได้กระแทกเข้ากับพื้นหิน พลังลมปราณที่ปกคลุมหอกราชันย์ได้แผ่กระจายไปรอบๆ ตัว มันเป็นพลังที่ดูคล้ายกับเกลียวคลื่นก็ว่าได้ คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็ถอยกลับไป

แม้แต่ฝานลี่เทียนและเล้งลั่วก็ยังไม่ได้มีพลังเท่ากับต้วนมู่เฉิง

ต้วนมู่เฉิงและโลงศพสีดำกำลังเผชิญหน้ากัน ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างก็เฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหยวนดู่ก็ได้พูดออกมา “ถ้าหากข้าสู้กับเจ้าอย่างสุดกำลัง เจ้าจะต้องตายแน่…แน่นอนว่าหลังจากนั้นเองข้าก็คงจะต่อสู้ต่อไปไม่ได้ด้วย”

โลงศพสีดำไม่ขยับไปไหน หยวนดู่กำลังให้เวลาต้วนมู่เฉิงตัดสินใจ

“ต้วนมู่เฉิงเขาคงจะต้องสู้อย่างสุดพลังสินะ? ” คนอื่นๆ ที่เฝ้ามองอยู่รู้ดีว่าต้วนมู่เฉิงมีนิสัยเป็นคนยังไง พวกเขาได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

ต้วนมู่เฉิงยกมือของเขาขึ้นมา หอกราชันย์ที่ปักอยู่ที่พื้นถูกต้วนมู่เฉิงยกออกมาด้วยเช่นกัน พลังอันมหาศาลได้เข้าปกคลุมหอกราชันย์ที่เขามี “ให้ข้าได้ลองก่อนเถอะ…”

ซู่ววว!

พลังอวตารที่สูงกว่า 30 ฟุตได้ปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของต้วนมู่เฉิง ที่ด้านหลังพลังอวตารมีกลีบดอกบัวสีทองสองกลีบกำลังหมุนอย่างช้าๆ

คนอื่นๆ รู้ดีว่าต้วนมู่เฉิงเป็นคนที่กล้าหาญมากแค่ไหน…แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะกล้าหาญจนไร้ความกลัวเช่นนี้

บรรยากาศที่ดูผ่อนคลายบัดนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นบรรยากาศที่ตึงเครียดอีกครั้ง “ต้วนมู่เฉิง ฟังข้า อย่าทำอะไรผลีผลามจะดีกว่า” ฮั๊ววู่เด๋าพยายามให้คำแนะนำ

ท้ายที่สุดยังไงซะหยวนดู่ก็เป็นอัจฉริยะผู้ใช้ดาบที่มาจากเมืองหลวงทางตอนเหนือ เขาได้ให้โอกาสที่จะท้าประลองกับทุกคนด้วยดาบโดยใช้พลังวรยุทธในขั้นสังหรณ์หยั่งรู้ เหตุใดต้วนมู่เฉิงถึงจะต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายแบบนั้นกันด้วย? นี่มันไม่มีอะไรคุ้มค่าจริงๆ!

“ไม่จำเป็นจะต้องเตือนข้า ผู้อาวุโสฮั๊ว…ท่านอาจารย์ไม่อยู่ที่นี่ ถ้าหากแม้แต่ข้ายังสู้ไม่ไหวแล้วใครกันจะทำได้? “

ถ้าหากไม่มียู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วย และยังไม่มีอาจารย์อยู่อีก เป็นธรรมดาที่ต้วนมู่เฉิงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและยังมีตำแหน่งอาวุโสสูงสุดอีกด้วย แม้ว่าฝานลี่เทียนและเล้งลั่วจะมีตำแหน่งและพลังที่สูงส่งกว่า แต่ถึงแบบนั้นพลังของพวกเขาก็ยังไม่ฟื้นตัวกลับมา ดังนั้นทั้งคู่จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้าดูต่อไป

“เยี่ยมมาก…เยี่ยมจริงๆ ” หยวนดู่ได้พูดออกมาเสียงดัง “ข้าประเมินพี่จีต่ำไป ใครจะไปคิดว่าเขาจะมีศิษย์เช่นนี้ได้…ถ้าหากเจ้าต้องการข้าจะแสดงพลังแห่งดาบที่แท้จริงให้กับเจ้าได้เห็นเอง” พลังลมปราณที่อยู่รอบๆ โลงศพเริ่มผันผวนอย่างรุนแรง พลังได้กระเพื่อมออกมาโดยรอบราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ มันแตกต่างกับก่อนหน้านี้ราวกับคนละโลก

โลงศพใบนั้นลอยขึ้นมาเล็กน้อยก่อน ในตอนนั้นเองก็มีน้ำเสียงอันนุ่มลึกของใครบางคนดังมาจากศาลาทางด้านตะวันออกซะก่อน “ถอยไปซะ”

ต้วนมู่เฉิงสั่นไปทั้งตัวก่อนที่จะคุกเข่าลง “ท่านอาจารย์! “

เล้งลั่ว, ฝานลี่เทียน และฮั๊ววู่เด๋าต่างก็จ้องมองไปยังที่ไกลแสนไกล

นอกเหนือจากผู้อาวุโสทั้งสาม คนอื่นๆ ที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็คุกเข่าก่อนที่จะทักทายลู่โจว “ท่านปรมาจารย์”

เหนือศาลาทางด้านตะวันออก ในตอนนี้ลู่โจวกำลังเดินอยู่บนอากาศราวกับว่าตัวเขาเบาดุจดั่งขนนก ลู่โจวในตอนนี้กำลังเดินตรงมาหาทุกๆ คน

หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นรีบพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์ ในที่สุดท่านก็ออกมา คนบ้าจากสุสานแห่งดาบตามมาหาเรื่องพวกเราแล้ว! “

ลู่โจวได้ร่อนลงบนพื้น ตัวเขาได้เดินมาหาทุกคนในขณะที่เอามือไขว้หลัง

เล้งลั่วและคนอื่นๆ ต่างก็คารวะให้กับลู่โจว

ลู่โจวจ้องมองไปยังโลงศพที่ลอยอยู่ ตัวเขาได้จ้องมองรอบตัวก่อนที่จะพูดออกมา “เตรียมเหล้าให้ข้าหน่อย”

หยวนดู่ได้หัวเราะออกมาทันที เสียงหัวเราะของเขาดังออกมาจากภายในโลงศพ ไม่มีใครรู้ว่าเขารู้สึกตื่นเต้นหรือไม่เห็นด้วยกันแน่ “ท่านเป็นคนเดียวที่เข้าใจข้า พี่จี”

ผู้ฝึกยุทธหญิงรีบเดินทางไปยังศาลาทางเหนือทันทีเพื่อที่จะหยิบเหล้าศตวรรษมา หลังจากที่ได้เหล้ามาพวกนางก็รีบจัดโต๊ะและเก้าอี้ให้กับลู่โจวและหยวนดู่

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะถือว่าเป็นผู้อาวุโสแล้ว ไหนเลยถึงต้องรังแกคนรุ่นหลังแบบนั้นด้วย…ข้ารู้สึกละอายแทนเจ้าจริงๆ “

โลงศพได้ร่อนลงมาอย่างช้าๆ

คนอื่นๆ ได้แต่เงียบ หยวนดู่ในตอนนี้ไม่ได้ดูหยิ่งผยองอีกต่อไป บางทีคงจะมีแต่ลู่โจวคนเดียวเท่านั้นที่จะกำราบหยวนดู่ได้

“พี่จี ท่านไม่ใช่คนที่จะยอมทำลายสัญญาที่มีระหว่างเราแน่”

สีหน้าของลู่โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ในความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมการศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ถึงใช้เวลานานเพียงนี้ ลู่โจวคิดว่าวันเวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นวันเวลาก็ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว

ลู่โจวไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ตัวเขาได้โบกมือตัวเองขึ้น ในตอนนั้นขวดเหล้าที่ถูกวางเอาไว้ก็ได้ลอยลงบนโต๊ะไป

“เจ้าคิดที่จะซ่อนตัวอยู่ในโลงศพนั่นไปตลอดเลยอย่างงั้นหรอ? “

กลิ่นหอมของเหล้าได้ลอยไปทั่ว

ฝานลี่เทียนรู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่ไม่อาจต้านทานได้

หยวนดู่ได้หัวเราะก่อนที่จะตอบกลับมา “ท่านยังคงใจดีเช่นเคย! ถ้าหากข้ารู้ก่อนหน้านี้ข้าก็คงจะท้าดื่มกับท่านแทนท้าประลองแล้วล่ะ! “