บทที่ 319 เดินไม่ไหวถ้าไม่มีคนช่วยพยุง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 319 เดินไม่ไหวถ้าไม่มีคนช่วยพยุง

หลังจากวางเย่แจ๋หยิ่งลงบนเตียงเปลแล้ว หลานเยาเยา จึงทำความสะอาดบาดแผลของเขาก่อน

เย่แจ๋หยิ่งได้รับบาดเจ็บภายนอกมากมายหลายแผล ลึกบ้างตื้นบ้าง แตกต่างกันไป

แต่อะไรเหล่านี้ก็นับว่าดีแล้ว ที่ต้องระวัง และสำคัญที่สุดคือการบาดเจ็บภายใน ก่อนหน้านี้อาการบาดเจ็บภายในก็ยังไม่หายดีเลย

มาตอนนี้ต้องตกลงมาจากความสูงขนาดนั้น ทั้งยังใช้ตัวเองเป็นโล่มนุษย์ เพื่อปกป้องนางอีก

ดังนั้น !

เขาคงจะบาดเจ็บหนักกว่านางไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าเป็นแน่

ในไม่ช้า หลานเยาเยาก็ทำความสะอาดบาดแผลเสร็จ จากนั้นจึงให้น้ำเกลือ เนื่องจากการให้น้ำเกลือ ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานอยู่สักหน่อย

ในช่วงเวลานั้นเอง

หลังจากที่หลานเยาเยาเอง กินยาเข้าไปบางส่วนแล้ว ก็สังเกตสถานการณ์รอบตัวอย่างระมัดระวัง

หลุมที่พวกเขาตกลงมา ไม่สามารถขึ้นไปได้อย่างแน่นอนแล้ว

คงทำได้เพียงหาทางออกทางอื่นให้ได้เท่านั้น

แต่ทว่า ในใจของนางกลับบังเกิดความสงสัย

อดีตเทพธิดาและท่านแม่ ล้วนหายสาบสูญไปจากต้นบุพเพแห่งนี้กันหมด จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า พวกนางตกลงมายังสถานที่แห่งนี้ ?

หากเป็นเช่นนั้นจริง

เหตุใดที่นี่ ถึงไม่มีร่องรอยว่าเคยมีคนมาเลยล่ะ?

หรือจะบอกว่า หลังจากที่ตกลงมาจากต้นบุพเพเข้ามาภายในนี้ มีหลายช่องทางเดิน

พวกนางไม่ได้กระจ่างชัดกับภายในช่องทางเดินเหล่านี้

หากเป็นกรณีนี้ คำอธิบายก็จะสมเหตุสมผล

เพียงแต่ว่า เพราะเหตุใดที่นี่ถึงเป็นน้ำแข็งทั้งหมด ?

นอกจากนี้ ยังเป็นห้องน้ำแข็งใต้ดินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอีกด้วย

ห้องน้ำแข็ง?

ไม่ถูกต้อง

ที่นี่ใหญ่ถึงขนาดนี้ ทั้งยังมีทางเดินหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะลึกมาก ไม่น่าจะเป็นห้องน้ำแข็งไปได้

ตอนนี้นางคงต้องเข้าไปในช่องทางนั้น เพื่อลองดูว่ามีจะทางออกหรือไม่

แต่ก็กลัวว่าเย่แจ๋หยิ่งอาจจะหนาว

หลานเยาเยาตั้งใจนำผ้าห่มคุณภาพสูง จากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บออกมาหลายผืน ไม่ว่าจะเป็นแบบฟูกปูหรือแบบห่มคลุม ล้วนนำมาห่อให้จนหนา

ก่อนออกเดินทาง

นางมองดูเย่แจ๋หยิ่งที่ยังหมดสติไม่ฟื้นด้วยสายตาลึกซึ้ง ริมฝีปากแดงสด เผยอเปิดออกแผ่วเบา :

“ข้าจะรีบกลับมาโดยเร็ว ”

พูดจบ

นางก็หมุนกายเดินไปยังช่องทางเดินนั้น

นางได้ปรับระดับความเร็ว ของระบบให้น้ำเกลือให้ช้าลงมากแล้ว แต่นางคงจะไปได้แค่หนึ่งชั่วโมงก็ต้องรีบกลับมา

เป็นเพราะว่า!

ไม่อาจให้เย่แจ๋หยิ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันได้แม้แต่น้อย

ทางเดินเส้นนี้จะว่ากว้างก็ไม่กว้าง จะว่าแคบก็ไม่แคบ หากมีคนสักสามสี่คน เดินเรียงแถวกันมาก็ยังพอจุได้สบายๆ

เพียงแต่ว่าทั้งบนล่าง ซ้ายขวา ทั้งหมดล้วนฉาบด้วยพื้นผิวน้ำแข็งเย็นเฉียบ

ใต้ฝ่าเท้ามีความลื่น

จึงต้องเดินอย่างระมัดระวัง

หากไม่เช่นนั้น เพียงพริบตาที่ไม่ได้ระมัดระวัง ก็อาจจะล้มลงได้ทุกเมื่อ

หลานเยาเยาเดินไปครู่หนึ่ง นอกจากช่องทางที่เป็นโพรง ก็คือช่องทางที่เป็นโพรงไปเรื่อยๆ เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปมา ราวกับว่า มันขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเดินต่อไปครู่ใหญ่

ยังเดินไม่ถึงจุดปลายสุดของเส้นทาง นางลองประมาณเวลาที่ใช้ไป ก็เกือบจะครึ่งชั่วโมงได้แล้ว

เดินต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง หากยังไม่ถึงจุดปลายสุดอีกล่ะก็ นางก็จำเป็นต้องกลับไปแล้วล่ะ

ขณะเดินอยู่

จู่ๆเส้นผมที่คลออยู่บนหน้าอกของนาง ก็ถูกลมพัดจนปลิวขึ้นมา

หลานเยาเยาตกตะลึงไปชั่วครู่!

ที่นี่มีอากาศหายใจก็ไม่เลวแล้ว ทำไมถึงมีลมได้ล่ะ?

ด้านหลังเป็นช่องทางเดินกลับไปที่เดิม ด้านหน้าเป็นปลายสุดของเส้นทางที่มองไม่เห็น แล้วลมนี้มาจากไหน?

“ ตึ๊ก ตึ๊ก ตึ๊ก ……”

มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

จากไกลๆเข้ามาจนใกล้ ก้าวเดินช้าๆ ไม่ใช่จากด้านหน้า แต่เป็นด้านหลัง

นางหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ทว่าดวงตาของนาง กลับเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น

เป็นเย่แจ๋หยิ่ง ……

เขาแต่งกายด้วยชุดขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ ผมดำขลับราวน้ำหมึกมัดรวบยกสูง ใบหน้าขาวเนียนแผ่ไอเย็นชาไม่ยอมให้ผู้คนเข้าใกล้ออกมาหลายส่วน

ดวงตายังคงลึกล้ำราวกับวังน้ำวน ราวกับเป็นเทพเซียนผู้อมตะ ผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง ไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจกล้ำกลายความสูงศักดิ์และความเป็นราชาของเขาได้

เพียงแต่……

ไม่มีบาดแผลใด ๆ บนร่างกายของเขาเลย ไม่มีแม้กระทั่งรอยของเลือดสักรอยเดียว

กระทั่งสีหน้าอันเผือดขาวหรือซีดเซียว ก็ยังไม่มีปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

“ เย่แจ๋หยิ่ง …..”

เป็นภาพลวงตาอย่างนั้นหรือ?

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงของนาง ฝีเท้าที่ก้าวเดินเป็นจังหวะเนือยๆ อย่างเกียจคร้านของเขาก็ค่อยๆหยุดลง ดวงตาอันลึกล้ำเย็นชาจับจ้องนางเขม็ง

“ หนานซู่ ?”

หลังจากนั้นไม่นาน

เขาหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นเสียงหนึ่ง: “ที่นี่จะมีเสียงของนางอยู่ได้อย่างไรกัน?”

ต่อจากนั้น

เขาก้าวอย่างเฉื่อยชาอีกครั้งตรงไปยังหลานเยาเยา

ทางหลานเยาเยานั้น ก็ได้ร้องเรียกชื่อของเย่แจ๋หยิ่งไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว

แต่แล้วก็ดูเหมือนว่า ในการร้องเรียกครั้งแรกนั้น เขามีการสัมผัสรับรู้ได้ แต่เมื่อส่งเสียงร้องเรียกครั้งถัดไป เขากลับไม่ได้ยินมันเสียแล้ว

สายตาจ้องมองดูเขาเดินตรงเข้ามาหาตนเอง ทั้งยังเดินผ่านร่างของนางไปอีกด้วย …….

แต่แล้ว!

ในเวลานั้นเอง ชายที่ดูเหมือนกับเย่แจ๋หยิ่งทุกประการคนนั้น คล้ายว่าจู่ๆก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ในดวงตาปรากฏคลื่นความเจ็บปวดผืนหนึ่งวาดผ่าน วินาทีถัดมาเขาก็กุมเข้าที่หัวใจของตัวเอง

เขาหันกลับไปทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน มองไปยังที่ที่หลานเยาเยาอยู่ แต่กลับไม่มีใคร

จากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไป สัมผัสอากาศว่างเปล่าตรงหน้า แต่กลับไม่มีอะไรอยู่เลย

เมื่อมองไปยังมือที่เอื้อมมาหาตัวเอง อีกทั้งเป้าหมาย คือหน้าอกของนางอีกต่างหาก ดวงตาของนางก็พลันเปลี่ยนไปทันที รีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว

เชี่ย!

ภาพลวงตาอย่างเจ้า ยังมีหน้าคิดจะมาเอาเปรียบกันอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีทางซะหรอก!

ต่อให้เขาสัมผัสโดนตัวนางไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้!

สุดท้ายแล้ว นางก็ต้องยืนดูมือข้างหนึ่งที่พยายามยื่นมาข้างหน้าตนเอง พยายามลูบไปลูบมา แม้ว่าจะไม่สามารถสัมผัสโดนได้ก็จริง แต่ความรู้สึกนั้น มันก็เป็นอะไรที่แปลกประหลาดน่าดู

ด้วยเหตุนี้ นางถึงได้ไม่ยอมอย่างไรล่ะ!

“เฮอะ……”

“ ข้าคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ!”

ชายคนนั้นบ่นพึมพำกับตัวเองประโยคหนึ่ง เก็บมือที่ยังคงหลงเหลือความรัก ความอาวรณ์กลับมา จากนั้นจึงหันกายเดินจากไป

เมื่อมองไปยังเงาร่างด้านหลังของชายคนนั้น ที่ค่อยๆจางหายไปทีละน้อย หลานเยาเยากลับรู้สึกว่าด้านหลังของเขา ดูเปลี่ยวเหงาเศร้าโศกอย่างบอกไม่ถูก

หลานเยาเยาเงียบงันลงไปชั่วขณะ

นางหยิบมีดผ่าตัดที่คมกริบหาใดเปรียบ ออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ สลักรอยสัญลักษณ์ลงไปบนกำแพงน้ำแข็ง

จากนั้นจึงเดินกลับไปโดยใช้เส้นทางเดิม

นางเกือบจะลืมเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไปเสียแล้ว พิณจิ่วเซียวหวงเพ่ย ก็ตกลงมาพร้อมๆ กับพวกเขา บางทีอาจจะตกลงมา ตรงตำแหน่งเดียวกันกับที่พวกเขาตกก็เป็นไปได้

นางจำเป็นต้องตามหามันให้พบ

บางทีมันอาจจะมีบทบาทสำคัญกับที่นี่

หวังแค่ว่าเมื่อมันตกลงมาจากความสูงขนาดนั้น มันจะยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ชำรุดเสียหายไปเสียก่อน

เมื่อโอบกอดความหวังในการตามหา พิณจิ่วเซียวหวงเพ่ย เอาไว้ในอก หลานเยาเยาก็ก้าวเท้าเดินเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าเกือบจะไปถึงตำแหน่งที่เย่แจ๋หยิ่งอยู่เมื่อครู่นี้แล้ว

ในขณะที่เดินไปถึงมุมเลี้ยวโค้ง

จู่ๆนางก็ชะงักฝีเท้าโดยพลัน

เพราะเย่แจ๋หยิ่งในชุดคลุมสีดำยืนอยู่ตรงกันข้ามกับนาง

สีหน้าขาวเผือดซีดเซียว ท่าทางที่ดูอ่อนแอ และสายตาที่จ้องมองอย่างลึกล้ำ พริบตาเดียวก็เจาะทะลุเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจนาง

“ เจ้าตื่นแล้วหรือ?”

“อื้ม!” เย่แจ๋หยิ่งพยักหน้าน้อยๆ

หลานเยาเยายิ้มจาง ๆ จากนั้นจึงค่อยเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้าๆ

“ทำไมถึงลุกจากเตียงเสียแล้ว รีบกลับไปนอนบนเตียงเร็วเข้า” สภาพอ่อนแอจนแทบจะต้านลมไม่ได้ขนาดนี้แล้ว ยังจะวิ่งเพ่นพ่านไปไหนอีกล่ะนั่น?

แต่แล้ว!

หลังจากที่หลานเยาเยาเดินผ่านเขาไป กลับพบว่าเขาไม่ได้ตามมาด้วย จึงอดหันไปถามไม่ได้

“เป็นอะไรไปหรือ?”

“ เดินไม่ไหวแล้ว!” เขาพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

สีหน้าของเขา ดูเหมือนอยากจะพูดออกมาด้วยว่า ถ้าไม่มาช่วยพยุงล่ะก็ แม้แต่ก้าวเดียวก็เดินไม่ไหวแล้ว อย่างนั้นทีเดียว

“…. ”

ผู้ชายตัวโตๆคนหนึ่งเดินมาได้เองจนไกลขนาดนี้แล้ว พอเห็นนางปุ๊บ กลับบอกว่าเดินไม่ไหวแล้ว เห็นได้ชัดๆเลยว่าเขาเป็นปิศาจหนุ่มจอมหลอกลวงคนหนึ่งแน่ๆ

แต่ว่าไม่มีทางเลือก

รอยแผลบนร่างกายของเย่แจ๋หยิ่งทั้งหลาย ก็ล้วนเป็นเพราะนาง

คนเค้าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมออดอ้อนเสียหน่อย ก็ไม่ผิดอะไรนี่นะ

ดังนั้นแล้ว!

หลานเยาเยาเดินไปช่วยพยุงเขา ส่งกลับไปที่เตียงเปล

เมื่อมองไปที่ถุงน้ำเกลือ ที่แขวนไว้ ในสภาพยังให้น้ำเกลือไม่เสร็จ นางจึงดึงมือของเย่แจ๋หยิ่งเข้ามา แล้วใช้เข็มทิ่มเข้าเส้นเลือดของเขาโดยตรง

เย่แจ๋หยิ่ง มองดูนางลงมืออย่างอยากสนอกสนใจ ประกายในดวงตาก็อบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาก

“หลังจากให้น้ำเกลือถุงนี้หมด ถึงจะสามารถถอดเข็มออกได้”

“อื้ม!”

ตอนนี้หลานเยาเยาไม่กลัวว่า เย่แจ๋หยิ่งจะเกิดรู้อะไรขึ้นมาอีกแล้ว

เพราะในความเป็นจริง!

ถึงอย่างไรเสียเขาก็รู้แล้วว่านางคือหลานเยาเยา เช่นนั้นเรื่องที่นางหยิบเอาข้าวของออกมาจากกลางอากาศได้ เขาก็ควรรู้มาตั้งนานแล้วเช่นกัน

หากไม่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ ตอนที่เห็นนางให้น้ำเกลือเขาเช่นนี้ ทำไมเขาถึงไม่มีอาการแปลกใจเลยแม้แต่น้อยกันล่ะ?

หลังจากกำชับเย่แจ๋หยิ่งอย่าเคลื่อนไหวมั่วซั่วแล้ว นางก็เตรียมตัวจะออกตามหา พิณจิ่วเซียวหวงเพ่ยต่อ แต่ยังไม่ทันจะผละมือกลับถูกเขาจับไว้แน่นเสียแล้ว…..