บทที่ 288 วังปีศาจ หลี่ว์ปู้

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 288 วังปีศาจ หลี่ว์ปู้

“ที่แท้เจ้าก็มีเผ่ามารคอยช่วย ยังพูดอีกว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ฝ่าเคราะห์!”

พระกษิติครรภ์ตะคอก เขาตบฝ่ามือผ่านอากาศไปทางจี้เซียนเสินทันที

พริบตาเดียว อัสนีดำนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นแส้หวดตีจี้เซียนเสิน ครั้งนี้แม้แต่วิญญาณของเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยายได้

“อ๊ากกกกกก”

จี้เซียนเสินร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ จ้องมองพระกษิติครรภ์ด้วยความอาฆาตแค้น

หากเขาสามารถฝ่าออกไปได้ จะมาถอนรากวังกษิติครรภ์อย่างแน่นอน!

ก้นบึ้งดวงตาของพระกษิติครรภ์เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

มารร้ายเช่นนี้ปรากฏตัว ถือเป็นเรื่องไม่ดีของมรรคาสวรรค์จริงๆ

……

กาลเวลาพ้นผ่าน ตั้งแต่หลงเฮ่าจากไปก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว

หลังจากหานเจวี๋ยทะลวงระดับจักรพรรดิเซียนสามวัฏ ตบะก็รุดหน้าอีกครั้ง เวลาที่ใช้สังหารจักรพรรดิเทพอีกาทองมหาวิมุตก็ลดสั้นลงเรื่อยๆ เพียงแต่ยังอยู่ห่างจากการสังหารภายในเสี้ยวพริบตาอีกไกล

วันนี้ หานเจวี๋ยเพิ่งสาปแช่งศัตรูเสร็จ เขานำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาตรวจดูป้ายศิลามรรคาสวรรค์

เดิมทีเขาคิดว่าอันดับของโลกเขย่าพิภพจะขยับสูงขึ้น ไม่นึกเลยว่าจะตกไปอยู่อันดับที่สามร้อยกว่า

‘ไม่สมเหตุสมผลเลย! โลกเขย่าพิภพแข็งแกร่งขึ้นตลอดมิใช่หรือ’

หานเจวี๋ยมองไล่ลงไปด้านล่าง พบว่าโลกมนุษย์ที่เดิมทีมีเกือบหนึ่งหมื่นใบเพิ่มไปถึงสองหมื่นใบแล้ว

‘ทำไมถึงเยอะขนาดนี้’

หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกๆ เขาใช้ป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ติดต่อตี้ไท่ไป๋ทันที

ไม่นานนัก ตี้ไท่ไป๋ก็เชื่อมต่อพลังจิตกับเขา

“ก่อนนี้วังสวรรค์บอกว่าจะละทิ้งโลกมนุษย์ไม่ใช่หรือ ไม่เพียงแต่วังสวรรค์ กลุ่มอิทธิพลใหญ่ในแดนเซียนรวมถึงเผ่าพันธุ์บรรพกาลกับตระกูลซ่อนเร้นเหล่านั้นก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ต่างปลดปล่อยโลกมนุษย์ที่อยู่ใต้อาณัติของตน ขณะนี้โลกมนุษย์ทั้งหมดดูแลโดยมรรคาสวรรค์แดนเซียน อันดับก็ไม่ใช่อันดับโลกมนุษย์ของวังสวรรค์อีกต่อไป แต่เป็นอันดับของปวงสวรรค์หมื่นโลกา” ตี้ไท่ไป๋กล่าวอย่างจนปัญญา

“พูดอีกอย่างก็คือ ยามนี้เทพในโลกมนุษย์ไม่อยู่ในการดูแลของวังสวรรค์ เจ้าก็ไม่ได้รับการคุ้มครองจากดวงชะตาของวังสวรรค์ หากเจ้ากลัวอันตรายก็ละทิ้งโลกเขย่าพิภพกลับมาที่วังสวรรค์ได้”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง

หานเจวี๋ยเข้าใจในฉับพลัน ไม่นึกว่าจะมีโลกมนุษย์มากมายเช่นนี้

มิน่าล่ะวังสวรรค์ถึงไม่อาจครอบครองแดนเซียนได้แต่เพียงผู้เดียว แค่ควบคุมโลกมนุษย์ครึ่งหนึ่งเท่านั้น

หานเจวี๋ยไม่ได้ตอบตกลงตี้ไท่ไป๋ว่าจะไปวังสวรรค์ เมื่อตี้ไท่ไป๋ถามว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาบอกแค่ว่าตนเองหลบอยู่ที่ใดสักแห่ง ไม่กล้าเข้าสู่สังคมโลก

ก่อนหน้านั้นเขาเคยเตือนหลงเฮ่าแล้ว ไม่ให้หลงเฮ่าแพร่งพรายเรื่องที่พวกเขาอยู่ในยมโลกออกไป ด้วยระดับความประทับใจที่หลงเฮ่ามีต่อเขา อีกฝ่ายคงไม่พูดออกมา

เห็นได้ชัดว่าตี้ไท่ไป๋พูดเยอะกว่าแต่ก่อนไม่น้อย พูดคุยกับหานเจวี๋ยมากมาย ล้วนเป็นเรื่องความลำบากยากแค้นของวังสวรรค์ในขณะนี้

ภายในไม่สงบภายนอกมารุกราน!

การพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องทำให้ขวัญกำลังใจทหารของวังสวรรค์ถดถอย มหาเคราะห์มาถึง มีเทพเซียนไม่น้อยคิดที่จะหลบหนีเหมือนกับหานเจวี๋ย อยากจะกลับไปสำนัก เผ่าพันธุ์ นิกายหรือราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง หนีไปให้ห่างจากการช่วงชิงในมหาเคราะห์ ยังดีที่จักรพรรดิสวรรค์เผด็จการ จัดการคำวิจารณ์ที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้แล้ว

สิ่งที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงก็คือ สามยอดแม่ทัพเทพกลับมาพร้อมกัน วังปีศาจไม่อาจบุกโจมตีประตูสวรรค์ทั้งสี่ทิศได้

พูดคุยกับตี้ไท่ไป๋อยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยตัดการเชื่อมต่อของพลังจิต

หานเจวี๋ยวางป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ลง และจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด

ตอนนี้โลกเขย่าพิภพเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์ ไม่มีความสัมพันธ์ใดกับวังสวรรค์เลย นี่นับเป็นเรื่องดี

ก่อนหน้านั้นเขายังกังวลว่าวังสวรรค์จะเข้าร่วมมหาเคราะห์ แล้วดวงชะตาจะส่งผลเสียต่อโลกเขย่าพิภพด้วย

มิน่าล่ะพุทธะอาภรณ์ขาวถึงคิดจะทำให้โลกเขย่าพิภพกลายเป็นแดนเซียนแห่งที่สอง บางทีอาจจะเป็นไปได้จริงๆ

หานเจวี๋ยลุกขึ้นเดินไปยังริมวารีทางช้างเผือกสวรรค์เก้าชั้นฟ้า บุปผาเทพปู้โจวสูงเท่าต้นไม้ต้นเล็กๆ ต้นหนึ่งแล้ว สูงกว่าดอกพลับพลึงแดงบริเวณรอบๆ เสียอีก พลังวิญญาณฟ้าดินที่มันสร้างขึ้นมาเข้มข้นกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ยังไม่พอสำหรับการฝึกบำเพ็ญของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยคิดในใจ หรือไม่ก็ผสานวารีทางช้างเผือกสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับบุปผาเทพปู้โจวเข้าด้วยกันเลย?

เรื่องมาถึงตอนนี้ สำหรับหานเจวี๋ยแล้วไอเซียนของวารีทางช้างเผือกสวรรค์เก้าชั้นฟ้าไม่สำคัญอะไรแล้ว ปล่อยมันไว้อย่างนี้ก็ไม่มีความหมาย

ขณะที่หานเจวี๋ยครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในใจเขา

“นายท่าน แย่แล้ว มีศัตรูผู้แข็งแกร่งหมายยึดครองแม่น้ำมรรคกระบี่!”

น้ำเสียงของหลิวเป้ยดูตึงเครียดมาก

หานเจวี๋ยได้ยินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

เมื่อก่อนตอนที่จั้งกูซิงประจำการอยู่ เหตุใดถึงไม่มีเรื่องอะไรเลย

นี่มรรคาสวรรค์อยากทำร้ายข้าหรือ

……

แม่น้ำมรรคกระบี่

หลิวเป้ยมองดูเงาร่างที่อยู่ไกลๆ คนผู้นั้นก็คืออวี้เทียนเป่าจากวังเทพ

อวี้เทียนเป่าเดินลอยชายพลางมองดูแม่น้ำมรรคกระบี่

“จิ๊ๆ มิน่าล่ะจั้งกูซิงถึงยอมตั้งมั่นพิทักษ์ที่นี่ ในนี้แฝงไปด้วยกฎมรรคกระบี่ สามารถยกระดับการตระหนักรู้มรรคกระบี่ได้” อวี้เทียนเป่ากล่าวชื่นชม

เขาหันไปมองหลิวเป้ยก่อนพูด “เจ้าคิดดีหรือยัง ให้ข้าเป็นนายเสีย มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องตาย”

หลิวเป้ยกัดฟันบอก “ให้ข้าคิดดูอีกหน่อย!”

“มีอะไรให้ต้องคิดเล่า หรือว่าเจ้าคิดจะยื้อเวลา? วางใจเถอะ ไม่มีผู้ใดมาช่วยเจ้าได้หรอก ผู้พิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่คนก่อนถูกข้าจับไปแล้ว เจ้ามาทีหลัง พลังแท้จริงไม่น่าจะมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่”

หลิวเป้ยนิ่งเงียบ เขาร้อนรนอย่างหาที่เปรียบมิได้

ขณะนั้นเอง!

มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวข้างกายหลิวเป้ย หานเจวี๋ยนั่นเอง

ครั้งนี้ไม่ใช่จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยที่มาเยือน แต่เป็นร่างต้นที่กระโจนเข้าสู่แม่น้ำมรรคกระบี่โดยตรง

มียอดสมบัติมากมายกับตัวเช่นนี้ ฝ่ายตรงข้ามทำร้ายเขาไม่ได้อย่างแน่นอน!

หากเป็นแค่จิตวิญญาณหรือจิตรับรู้ มีความเป็นไปได้มากที่จะถูกฝ่ายตรงข้ามทำให้เสียหายอย่างหนัก กระทั่งอาจถูกจับตัวไปได้

หานเจวี๋ยมองไปทางอวี้เทียนเป่า มองไม่เห็นตบะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย ดูจากกลิ่นอายของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ตบะน่าจะห่างจากจอมปีศาจคุกรัตติกาลไม่มากนัก

อวี้เทียนเป่าเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวก็ขมวดคิ้วทันใด

‘เป็นบุรุษที่รูปงามมาก! เซียนแท้ไท่อี่หรือ

ไม่ใช่! บนตัวเจ้านี่สวมสมบัติมรรคจักรพรรดิอยู่!’

อวี้เทียนเป่าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านคือใคร”

หานเจวี๋ยกล่าวตอบเนือยๆ “วังปีศาจ หลี่ว์ปู้”

‘จักรพรรดิวังปีศาจ?’

อวี้เทียนเป่าขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม จิตสังหารทะลักล้นในใจ

วังเทพกับวังปีศาจเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้

ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก!

รบ!

อวี้เทียนเป่ากำลังจะลงมือ ในมือของหานเจวี๋ยก็ปรากฏกระบี่พิพากษาอนธการโดยพลัน ก่อนจะฟันไปทางเขาหนึ่งกระบี่

“เจ้าสุนัขนี่! คิดไม่ถึงว่าจะลงมือก่อน!”

อวี้เทียนเป่าแอบด่า เขารีบยกมือต้านทานไว้อย่างรวดเร็ว พลังเวทที่น่าพรั่นพรึงของจักรพรรดิเซียนรวมตัวกันเป็นเกราะกำบังขนาดยักษ์ อากาศโดยรอบแม่น้ำมรรคกระบี่สั่นไหวอย่างรุนแรง

ปราณกระบี่ที่น่ากลัวสายหนึ่งปะทะเข้าใส่อวี้เทียนเป่าเกิดเป็นเสียงดังตูม เกราะกำบังพลังเวทหายไปในพริบตา ร่างของเขาก็กระเด็นออกไปด้วย

เงาร่างแต่ละเงาที่เดินอยู่ในแม่น้ำมรรคกระบี่หายไป แม่น้ำมรรคกระบี่ไหลทะลักอย่างบ้าคลั่ง ราวกับจะสลายไปได้ตลอดเวลา

เมื่ออวี้เทียนเป่าทรงตัวได้มั่น ก็มองไปทางหานเจวี๋ยด้วยความหวาดผวา

นี่คือปราณกระบี่อันใดกัน

ดูเหมือนธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลับทำร้ายวิญญาณมรรคจักรพรรดิของเขาได้!

‘ไม่ได้การ! หนี!’

อวี้เทียนเป่าหายไปจากที่เดิมทันใด

หานเจวี๋ยหายตัวตามไปด้วย

ในเมื่อได้พบกันแล้ว จะปล่อยไปได้อย่างไร

ปราณกระบี่เมื่อครู่นี้ยังทิ้งร่องรอยไว้บนตัวอวี้เทียนเป่า หานเจวี๋ยสามารถตามรอยได้

อวี้เทียนเป่าเคลื่อนย้ายอย่างต่อเนื่อง ปรากฏตัวและหายวับไปในห้วงอากาศว่างเปล่าไม่หยุด

“สมควรตาย วังปีศาจซ่อนจักรพรรดิเซียนไว้มากเท่าใดกันแน่” อวี้เทียนเป่ากัดฟันด่า

‘หลี่ว์ปู้! ดีมาก! ข้าจดจำเจ้าเอาไว้แล้ว!’

ในใจอวี้เทียนเป่าเต็มไปด้วยจิตสังหาร มิน่าล่ะจั้งกูซิงถึงไม่ยี่หระอะไร ที่แท้ก็สมคบคิดกับวังปีศาจนานแล้ว

“ฝ่าบาทจักรพรรดิปีศาจ เขามาแล้ว!”

น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจลอยเข้ามา อวี้เทียนเป่าตกใจจนต้องหยุดลงตามจิตใต้สำนึก

ทันทีที่หยุดลง ใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะ

‘แย่แล้ว! นี่ไม่ใช่เสียงของหลี่ว์ปู้หรอกหรือ

จักรพรรดิปีศาจจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร’

อวี้เทียนเป่านำเจดีย์วิเศษออกมาทันทีราวกับเป็นการสนองตอบตามเงื่อนไข จากนั้นก็หลบเข้าไปในเจดีย์นี้

……………………………………….