นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 170 สวีฉางหลินผู้เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
“เสี่ยวเทียน อากาศหนาวแล้ว เจ้าต้องห่มผ้าให้ดี ต้องใส่เสื้อผ้าให้อุ่น อย่าให้ตัวเองเป็นหวัดล่ะ รู้ไหม?”
โจวกุ้ยหลานกำชับเจ้าก้อนน้อยด้วยความเป็นห่วง
เจ้าก้อนน้อยพยักหน้า จากนั้นก็ถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ “แล้วท่านพ่อจะไม่เป็นหวัดหรือ?”
“พ่อเจ้าแข็งแรง หนังหนา ไม่กลัวหนาว เจ้าไม่เหมือนกัน รู้ไหม?” โจวกุ้ยหลานไม่ยี่หระไอเย็นจากด้านหลัง เอ่ยกับเจ้าก้อนน้อย
พอนึกถึงว่าตอนนี้สวีฉางหลินคงหน้าตึง โจวกุ้ยหลานก็ครึ้มอกครึ้มใจอย่างแปลกประหลาด
ไอ้หยา สนุกไปเลย!
หยอกล้อชายงามก็รู้สึกดีอย่างนี้สิน่า!
มือของสวีฉางหลินชะงักอยู่กลางอากาศ ได้ยินที่ภรรยาตัวน้อยของตัวเองว่าแล้ว ใบหน้าก็บึ้งหนักกว่าเดิม
ดังนั้นจึงถอดเสื้อตัวในของตนแล้วนั่งบนเตียงเสียเลย เอื้อมมือกอดเอวของภรรยา แนบตัวเข้าชิด
“เจ้ามาชิดข้าทำไม? ข้าพลิกตัวไม่ได้แล้ว!” โจวกุ้ยหลานตีมือของสวีฉางหลิน บอกกับเขา
“อุ่นโพรงผ้าห่ม” สวีฉางหลินตอบ ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
ไม่แทะโลมภรรยาตัวเองแล้วจะไปแทะโลมใคร ผู้ชายตัวน้อยข้างๆ นั่นยังจ้องอยู่แน่ะ!
โจวกุ้ยหลานรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิจากด้านหลัง ไม่สบายตัวนิดๆ กอปรกับมือที่วางอยู่ตรงเอวนาง ทำให้นางกำลังมีไอร้อนพลุ่งพล่าน
ตาคนนี้ไม่รู้หรืออย่างไรว่าตัวเองหุ่นดี? ไม่รู้ว่านางจะกระโจนเข้าใส่หรือ? แล้วยังมาใช้แผนชายงามกับนางอีก จะเชื่อมั่นการควบคุมตัวเองของนางไปแล้วกระมัง!
เจ้าก้อนน้อยที่อยู่ข้างๆ มุดเข้ามาในอกนาง โจวกุ้ยหลานกระชับกอดเขาแน่นกว่าเดิม
รีบนอนรีบๆ หลับ หลับแล้วก็เรียบร้อย
นางหลับตาลง ไม่ขยับอีก สวีฉางหลินย่อมรู้ว่าจะหลับนอนกับภรรยาในบ้านแม่ยายไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่กอดแล้วปลอบประโลมใจตัวเอง
จะไม่ยินยอมอย่างไร ตอนนี้ก็ได้แต่หลับตาแล้ว
“จริงสิ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เจ้าพาพวกพี่เอ้อร์เฉียงไปเผาถ่านด้วยเถอะ ให้พวกเขาเป็นลูกมือตัดต้นไม้อะไร” โจวกุ้ยหลานนึกเรื่องตอนกลางวันขึ้นได้ จึงรีบบอกกล่าวกับสวีฉางหลิน
สวีฉางหลิน “อืม” ทีหนึ่ง แล้วเกยคางกับศีรษะนาง
เมื่อเห็นดังนั้น โจวกุ้ยหลานก็ไม่พูดมากอีก หลับตานอน
เช้าวันถัดมา โจวต้าซานพาเอ้อร์เฉียงกับซานเฉียงมาแล้ว สำหรับหลี่ซิ่วยิงก็ให้หวังหยู่ชุนดูแลไป เพื่อให้เอ้อร์เฉียงสามารถตามไปหาเงินได้ นางจึงจนปัญญา ได้แต่รับปาก
สามวันต่อมา โจวกุ้ยหลานต้มโจ๊กถั่วรวมให้ทุกคนกินอย่างเดียว แน่นอนว่าโดยหลักคือให้หลิวเซียงกิน ให้นางเข้าใจว่าถึงจะเข้าบ้านพวกเขามาแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะได้กินข้าวขาวได้ทุกมื้อ
เหล่าไท่ไท่พาหลิวเซียงไปทำสวนตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวัน คนในหมู่บ้านที่มาบ้าน โจวกุ้ยหลานก็จัดการให้นั่งที่ห้องโถง ส่วนตนก็พาเจ้าก้อนน้อยทำงานของตัวเอง ดังนั้นคนที่มาจึงไม่สนุก ภายหลังจึงมาน้อยลงทุกที
พอเห็นดังนั้น เหล่าไท่ไท่จึงรีบถามว่านางทำได้อย่างไร โจวกุ้ยหลานจึงตอบตามความจริง เหลือบเหล่าไท่ไท่ทีหนึ่ง “ที่พวกเขามาทุกวันกับเพราะถูกท่านตามใจนั่นแหละ!”
คราวนี้เหล่าไท่ไท่ไม่ต่อความแล้ว ได้แต่พูดว่ากุ้ยหลานเก่ง
ถัดมาอีกสามวันหลิวเซียงทำงานเก่งดี งานในสวนนางคนเดียวก็ทำได้เรียบร้อยมาก กินโจ๊กถั่วรวมทุกวันก็ไม่บ่น ตั้งหน้าตั้งตาทำงานกับเหล่าไท่ไท่
ด้วยเช่นนี้ เหล่าไท่ไท่จึงเปลี่ยนทัศนคติต่อนาง รู้สึกว่านางก็เป็นคนทำงาน ที่สำคัญคือขยันขันแข็ง เห็นว่ามีงานก็ทำเสีย และที่สำคัญที่สุดก็คือ หลายวันนี้ไม่เล่นลูกไม้อะไร และไม่ไปหาโจวต้าไห่ตามลำพังด้วย
เหล่าไท่ไท่ตรอง ถ้านางยินดี เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ต่อเถอะ
ตกกลางคืน โจวกุ้ยหลานใช้ถ่านของตัวเองวาดแบบแปลนบ้านบนผ้าขาวแล้วมอบให้สวีฉางหลินดู
“เจ้าลองดูสิ ในนี้สร้างห้องสี่ห้องแล้วล้อมเป็นลานบ้านเล็กๆ อาบแดดตรงลานบ้านได้ ปลูกดอกไม้ต้นหญ้า รอบนอกปลูกผัก ผักแปลงเบ้อเร่อรอบนี้พอให้ครอบครัวเรากินแล้ว แล้วยังปลูกหญ้าเนเปียร์แคระอะไรก็ได้ พวกเราจะได้สะดวกเอามาเลี้ยงไก่”
โจวกุ้ยหลานชี้เส้นสีดำวงที่อยู่ข้างนอกอีก เอ่ยต่อ “ชั้นที่สามนี่จะเลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ด เลี้ยงหมูเลี้ยงห่าน พวกเราทำตรงนี้เป็นคอก แล้วให้เป็ดไก่อยู่ในเล้าตัวเอง พัฒนาธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ของเรา ด้านนอกสุดทำรั้วสูงเท่าคน บนกำแพงปักเศษกระเบื้องแหลมๆ ไม่ให้คนปีนกำแพงเข้ามา”
“จริงสิ ประตูด้านนอกสุดทำสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นประตูเสาเหล็ก ข้างในติดประตูไม้อีกบาน แบบนี้จะปลอดภัยหน่อย คนเขาก็จะมองไม่เห็นสภาพในบ้านเราด้วย ยังมีห้องใต้ดิน ข้าอยากทำห้องใต้ดินในห้องทางเหนือของเรา เก็บธันยพืชผักอะไร ถ้าต่อไปมีภัยแล้วอีก พวกเราก็มีข้าวกิน เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”
สวีฉางหลินมองเส้นสีดำเป็นวงบิดๆ เบี้ยวๆ บนผ้าขาวแล้วก็นิ่งเงียบ
หากไม่ใช่เพราะภรรยาตัวน้อยของตนสาธยายว่านี่คืออะไร ชาติเกรงว่าเขาคงทายไม่ถูก
แค่บ้านที่นางว่านี่ ต้องใหญ่เทียมใด?
“ทำไมหรือ? เจ้าไม่ชอบ?” โจวกุ้ยหลานถาม
สวีฉางหลินเงียบงันพักหนึ่งแล้วจึงตอบ “ข้าจะวาดใหม่อีกครั้ง”
เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว โจวกุ้ยหลานก็หน้าแดงฝาดนิดๆ
นางวาดภาพไม่เป็นจริงๆ นี่ ได้แต่ใช้รูปทรงวงกลมสามเหลี่ยมอะไรมาแทน
สวีฉางหลินพลิกด้านผ้าขาวแล้ววางบนโต๊ะ ให้เจ้าก้อนน้อยไปหยิบถ่าน แล้วเริ่มวาดบนผ้าผืนนั้นตามคำบอกเล่าของโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง
โจวกุ้ยหลานกับเจ้าก้อนน้อยพาดตัวดูเขาวาดภาพอยู่บนโต๊ะ โจวกุ้ยหลานชี้ตำแหน่งบนผ้า แล้วให้สวีฉางหลินวาดตามความคิดของนาง
ด้วยตะเกียงไฟ สวีฉางหลินวาดอยู่ครึ่งชั่วยามเศษก็แผนภาพบ้านของพวกเขาเสร็จ โจวกุ้ยหลานหยิบผ้าขาวผืนนั้นขึ้นมา มองบ้าน แปลงปลูกผักในนั้นแล้วเป็นต้องสะท้อนถอดถอนใจ
“วาดได้ดีไปเลย สวีฉางหลิน เมื่อก่อนเจ้าเคยเรียนมาก่อนใช่ไหม?” โจวกุ้ยหลานถาม ดวงตาจับจดอยู่กับภาพนั้น
ไม่ผิด นี่ก็คือแผนภาพที่นางต้องการจะวาด แต่น่าเศร้าที่นางวาดออกมาไม่ได้
แต่ผู้ชายของนางกลับทำได้ยอดเยี่ยม
“เคยเรียน” สวีฉางหลินพลันตอบ เห็นภรรยาชอบจึงพลอยดีใจไปด้วย
“จุๆๆ นี่เจ้าจะร้ายกาจเกินไปแล้ว เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ต่อไปถ้าเราไม่มีกิน เจ้าก็ไปวาดภาพขายเถอะ อย่างไรเราก็ไม่อด”
โจวกุ้ยหลานชมเชยเนืองๆ
รอยยิ้มสวีฉางหลินพลันแข็งกระด้าง มองภาพวาดแล้วก็ขมวดคิ้ว
เอาภาพที่เขาวาดไปขาย? นั่นมิใช่ให้คนมาหาถึงประตูบ้านหรือ?
“เจ้าคงไม่ใช่อ๋องหรือองค์ชายอะไรกระมัง?”
โจวกุ้ยหลานมองสวีฉางหลิน ถามด้วยความสงสัย
ตานี่ถูกอบรมสั่งสอนมาดีเกินไปแล้ว เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ คนสามัญธรรมดาจะอบรมคนแบบนี้ออกมาได้หรือ? อย่างไรก็ไม่เชื่อ
สีหน้าสวีฉางหลินทื่อไปอีกครั้ง เผยอริมฝีปากบาง “ไม่ใช่”
“ไม่ใช่ก็ดี” โจวกุ้ยหลานตอบแล้วดูภาพของนางต่อ