ตอนที่ 287 พรหมลิขิต

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 287 พรหมลิขิต
เมื่อวานสู่ขอหนานตูจวิ้นจู่ งานเลี้ยงวันนี้สู่ขอเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

เว่ยฉี่เหิงอึ้ง หันไปมองไป๋ชิงเหยียนอย่างไม่อยากเชื่อ

“ไป๋ชิงเหยียนสาบานไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไม่แต่งงานตลอดชีวิต! ที่สำคัญองค์ชายสี่อาจยังไม่ทราบว่าไป๋ชิงเหยียนเคยได้รับบาดเจ็บหนักจนทำให้มีบุตรได้ยาก หม่อมฉันไม่กล้าทำให้องค์ชายสี่เสียเวลาเพคะ” ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพอย่างนอบน้อม ไม่คิดปิดบังเรื่องนี้แต่อย่างใด ดูเหมือนว่านางจะตั้งใจไม่แต่งงานตลอดชีวิตจริงๆ

ต่งซื่อขมวดคิ้วกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ถอนหายใจออกมา

เว่ยฉี่เหิงตะลึงงัน

มือที่กำผ้าเช็ดหน้าแน่นของหลิ่วรั่วฟูค่อยๆ คลายออก กล่าวออกมายิ้มๆ “เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไม่ต้องดูถูกตัวเองถึงเพียงนี้หรอก องค์ชายสี่หลงรักเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ตั้งแต่แรกพบ พระองค์คงไม่สนพระทัยเรื่องทายาทหรอก…”

“รั่วฟู!” เสียนอ๋องมองหลิ่วรั่วฟู ส่งสัญญาณไม่ให้หญิงสาวทำตามอำเภอใจ ให้นั่งลงก่อน

อย่างไรเสียฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นเองแล้ว พระองค์คงไม่อนุญาตให้ไป๋ชิงเหยียนแต่งงานไปอยู่แคว้นอื่นแน่นอน หากหลิ่วรั่วฟูยังไม่สำรวม เกรงว่าฮ่องเต้อาจรำคาญได้

“หนานตูจวิ้นจู่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของแคว้นต้าจิ้น แม้องค์ชายสี่จะเข้าใจผิด ทว่า ทั้งคู่ก็แต่งงานกันได้นี่เพคะ!” ชิวกุ้ยเหรินมองไปทางฮ่องเต้ยิ้มๆ “ทรงดูสิเพคะ หนานตูจวิ้นจู่ทราบว่าองค์ชายสี่หลงรักเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ทว่า ยังช่วยออกหน้าแทนเช่นนี้ แสดงว่านางมีใจให้องค์ชายสี่นะเพคะ”

ไป๋ชิงเหยียนมองชิวกุ้ยเหรินอย่างประหลาดใจ ชิวกุ้ยเหรินกำลังช่วยแก้สถานการณ์ให้หลิ่วรั่วฟูอย่างนั้นหรือ

หญิงสาวหันไปมองเสียนอ๋อง อ๋องต่างสกุลเพียงองค์เดียวที่เหลืออยู่ในแคว้นต้าจิ้น อีกทั้งมีอำนาจทหารอยู่ในมือ…

ไป๋ชิงเหยียนกำมือที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อแน่น หรือว่าเหลียงอ๋องสมรู้ร่วมคิดกับเสียนอ๋องกันนะ

ฮ่องเต้พยักหน้า เอาแต่มองไปทางสาวงามที่นั่งอยู่ข้างกาย “ชิวกุ้ยเหรินกล่าวถูกต้องแล้ว”

สีหน้าของหลิ่วรั่วฟูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ชิวกุ้ยเหรินกำลังดูถูกนางอย่างนั้นหรือ!

สีหน้าของเสียนอ๋องก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เขากำลังจะเอ่ยปฏิเสธก็ได้ยินทูตของต้าเหลียงกล่าวออกมายิ้มๆ “ชิวกุ้ยเหรินกล่าวถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ แสดงว่าพรหมลิขิตกำหนดให้หนานตูจวิ้นจู่และองค์ชายสี่ของกระหม่อมเกิดมาคู่กันพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นฮ่องเต้พยักหน้า เสียนอ๋องจึงทำได้เพียงกลืนคำปฏิเสธลงไปในคอ มิเช่นนั้นอาจทำให้ฮ่องเต้พิโรธได้

หัวหน้าทูตส่งสัญญาณให้รองทูตดึงองค์ชายสี่ที่ยังตกตะลึงอยู่กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง

บัดนี้เว่ยฉี่เหิงอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่สนใจบัลลังก์จักรพรรดิแห่งต้าเหลียง ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องรับสนม ทว่า หากไม่มีทายาท…นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ทว่า หากได้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มาเป็นภรรยา เขาสาบานไว้ว่าจะไม่มีอนุ จะกลับคำได้อย่างไรกัน เช่นนั้นเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไม่มีทางแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน…

“งานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฝ่าบาทในครั้งนี้ พระองค์พระราชทานสมรสให้หนานตูจวิ้นจู่กับองค์ชายสี่ องค์รัชทายาทและองค์หญิงซีเหลียง ช่างเป็นเรื่องมงคลยิ่งนักเพคะ” ดวงตาวาวใสของชิวกุ้ยเหรินมองไปทางฮ่องเต้

“เจ้ากล่าวถูกแล้ว”

ฮองเฮากระแอมออกมาเล็กน้อย ทว่า ฮ่องเต้ยังตกอยู่ในภวังค์กับชิวกุ้ยเหริน อวี๋กุ้ยเฟยจึงเอ่ยแก้สถานการณ์ “ฝ่าบาททรงห่วงใยองค์รัชทายาทเช่นนี้ องค์รัชทายาทก็นึกถึงฝ่าบาทอยู่ตลอดเวลาจึงมอบกวางศักดิ์สิทธิ์เป็นของขวัญให้ฝ่าบาท ช่างเป็นพ่อที่เมตตาและบุตรที่กตัญญูจริงๆ เพคะ เป็นโชคดีของแคว้นต้าจิ้นจริงๆ เพคะ!”

องค์รัชทายาทถือโอกาสนี้สั่งให้คนนำกวางขาวศักดิ์สิทธิ์เข้ามาทันที

กวางขาวคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นต้าจิ้น ทุกคนที่นั่งอยู่เพิ่งเคยเห็นกวางขาวที่ตัวใหญ่ยักษ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ต่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ฮ่องเต้มีความสุขมาก ตรัสชมองค์รัชทายาทอีกยกใหญ่ เขายืนขึ้น ชูแก้ว น้ำเสียงดังกังวาน “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาจุติคุ้มครองแคว้นต้าจิ้น แคว้นต้าจิ้นเจริญรุ่งเรืองสืบไป!”

“แคว้นต้าจิ้นเจริญรุ่งเรืองสืบไป!”

“แคว้นต้าจิ้นเจริญรุ่งเรืองสืบไป!”

“แคว้นต้าจิ้นเจริญรุ่งเรืองสืบไป!”

บรรดาขุนนางก้มศีรษะแนบพื้น ตะโกนออกมาสามครั้ง

ราวกับว่าการทำเช่นนี้จะทำให้แคว้นต้าจิ้นเจริญรุ่งเรืองสืบไปจริงๆ

ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะแนบพื้นตามด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

ขันทีเล็กที่อยู่ด้านนอกเดินอ้อมไปยังด้านหลังของเกาเต๋าเม่า ใช้มือข้างหนึ่งป้องปากกระซิบข้างหูของเกาเต๋อเม่า

เกาเต๋อเม่าฟังจบจึงโบกมือให้ขันทีถอยไป จากนั้นเดินไปหยุดอยู่ข้างกายฮ่องเต้ยิ้มๆ “ฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่ให้เจี่ยงหมัวมัวนำของขวัญมาให้พ่ะย่ะค่ะ นางอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านป้ายังจำวันเกิดของเราได้” ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ให้เจี่ยงหมัวมัวเข้ามาเถิด”

เกาเต๋อเม่าจึงหันไปพยักหน้าให้ขันทีเล็กไปเชิญเจี่ยงหมัวมัวเข้ามา

ไม่นาน เจี่ยงหมัวมัวเดินเอามือประสานไว้ที่หน้าท้องเข้ามาด้านในท้องพระโรงอย่างนอบน้อม ด้านหลังมีคนแบกสิ่งของขนาดใหญ่ซึ่งมีผ้าสีแดงคลุมปิดไว้เดินตามมา เหมือนจะเดาได้ว่าเป็นฉากกั้น

เจี่ยงหมัวมัวก้มศีรษะคำนับเสร็จจึงกล่าวขึ้น “คารวะฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงใหญ่บำเพ็ญภาวนาขอพรให้แคว้นอยู่ที่วัด ท่านสั่งให้หม่อมฉันนำของขวัญมามอบให้ฝ่าบาทเพคะ…”

เจี่ยงหมัวมัวเบี่ยงกายเล็กน้อย สั่งให้คนเปิดผ้าคลุมออก เป็นฉากกั้นจริงๆ ด้วย

เมื่อฮ่องเต้เห็นฉากกั้นอันนั้น ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ผุดลุกขึ้นยืนทันที

เจี่ยงหมัวมัวแสร้งทำเป็นไม่เห็นการเสียอาการของฮ่องเต้ เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทยังทรงจำได้หรือไม่เพคะว่าตอนที่คุณหนูไป๋ซู่ชิว บุตรสาวขององค์หญิงใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ นางเคยรับปากว่าจะปักภาพของฝ่าบาทลงในฉากกั้นเพื่อเป็นของขวัญวันประสูติให้พระองค์ ทว่า คุณหนูของหม่อมฉันปักได้เพียงครึ่งเดียวก็เสียชีวิตลงเสียก่อน องค์หญิงใหญ่เก็บฉากกั้นอันนี้ไว้ในคลังเก็บของ นึกไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้องค์หญิงใหญ่จะได้พบกับสตรีประหลาดผู้หนึ่ง นางมีฝีมือเย็บปักเหมือนกับคุณหนูซู่ชิวไม่มีผิดเพี้ยน องค์หญิงใหญ่สั่งให้คนไปตามหาสตรีผู้นั้น นางเพิ่งปักฉากกั้นนี้เสร็จเมื่อเช้า องค์หญิงใหญ่จึงสั่งให้หม่อมฉันนำมามอบให้ฝ่าบาทเพคะ ถือว่าทำแทนคำสัญญาที่คุณหนูของหม่อมฉันเคยให้ไว้กับฝ่าบาทเพคะ”

ริมฝีปากของฮ่องเต้สั่นเทา ก้าวลงมาจากบันไดสูงอย่างรีบร้อน มองดูลวดลายฉากกั้นกึ่งเก่ากึ่งใหม่ตรงหน้า การเย็บปักช่างเหมือนกับฝีมือของไป๋ซู่ชิวไม่มีผิดเพี้ยนจริงๆ

เมื่อเห็นฮ่องเต้ตาแดงก่ำเล็กน้อย เจี่ยงหมัวมัวรีบคุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้นข้างกายฮ่องเต้ “ฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่มีเรื่องอยากทูลขอฝ่าบาทเรื่องหนึ่งเพคะ ตอนนั้นฝ่าบาททรงติดค้างบรรดาศักดิ์จวิ้นจู่ให้คุณหนูซู่ชิว ตรัสว่าเมื่อคุณหนูของหม่อมฉันกลับมาจากเจียวโจวจะทรงทูลขอจักรพรรดิองค์ก่อนพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ ทว่า เมื่อคลี่คลายเรื่องโรคระบาดที่เจียวโจวเสร็จ คุณหนูของหม่อมฉันไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก! องค์หญิงใหญ่ต้องการรับแม่นางหลูที่มีฝีมือการเย็บปักถักร้อยราวกับคุณหนูไม่มีผิดเพี้ยนเป็นบุตรบุญธรรม รับตำแหน่งจวิ้นจู่แทนคุณหนูเพคะ!”

ฮ่องเต้ได้ยินจึงขมวดคิ้วแน่น “ท่านป้าชราจนเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร แค่มีฝีมือเย็บปักคล้ายกับซู่ชิวเท่านั้น จะแทนที่ซู่ชิวได้อย่างไร!”

ไม่มีผู้ใดในโลกนี้แทนที่ซู่ชิวของเขาได้

เจี่ยงหมัวมัวรีบก้มหน้าลง แสร้งเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “ทว่า ฝ่าบาทเพคะ แม่นางหลูผู้นี้ แม่นางหลู…”

“เจี่ยงหมัวมัวกลับไปบอกท่านป้าว่าหากท่านเอ็นดูก็รับเลี้ยงไว้ดูเล่นเสมือนหมาแมว แต่จะยกขึ้นเทียบกับไป๋ซู่ชิวไม่ได้เด็ดขาด!”

เจี่ยงหมัวมัวกัดฟันแน่น ก้มศีรษะแนบพื้นพลางกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ฝ่าบาทเพคะ แม่นางหลูผู้นี้อายุสิบแปดปี เกิดวันที่หก เดือนสองเพคะ! ไม่เพียงแต่มีฝีมือการเย็บปักเหมือนกับคุณหนูของหม่อมฉันเท่านั้น นางยังมีใบหน้าคล้ายคลึงกับคุณหนูราวกับเป็นคนคนเดียวกันเลยเพคะ!”

เจี่ยงหมัวมัวกล่าวจบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้มศีรษะแนบพื้นอีกครั้งพลางกล่าวอย่างสะอื้น “องค์หญิงใหญ่กำชับไม่ให้หม่อมฉันเอ่ยออกมา ทว่า สำหรับองค์หญิงใหญ่แล้ว แม่นางหลูผู้นั้นไม่ใช่หมาแมวที่ใดนะเพคะ หม่อมฉันและองค์หญิงใหญ่ต่างรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้คือคุณหนูของบ่าวกลับชาติมาเกิดเพคะ”