ตอนที่ 325 โปรดชี้แนะด้วย
เดือนพฤษภาคมผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ในการจัดอันดับเรื่องสั้นเดือนพฤษภาคมบนบล็อก หลังจากที่เรื่องสะพานแขวนตงตงหล่นลงมาถูกอันดับที่สองพลิกแซงขึ้นนำ อันดับก็ไม่ได้หล่นลงไปอีก
ทว่ายังไม่สามารถกลับขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งได้
ถึงอย่างไรนิยายเรื่องนี้ก็ถูกเขี่ยให้ลงไปอยู่อันดับสองโดยผู้ชื่นชอบนิยายแนวไขปริศนาแบบดั้งเดิมซึ่งอ่านเรื่องสะพานแขวนตงตงหล่นลงมาแล้วรู้สึกรับไม่ได้
ถ้าหากไม่มีกลุ่มคนซึ่งยัดเยียดอันดับสองให้เช่นนี้ เดิมทีหลินเยวียนน่าจะคว้าแชมป์เดือนนี้ไปสบายๆ
หลายคนล้วนคิดว่านี่เป็นการจบบริบูรณ์
เจ้าแก่ฉู่ขวงชดใช้ในสิ่งที่เขาทำไว้กับผู้อ่าน
แต่ถึงกระนั้นแล้ว ขณะที่เดือนพฤษภาคมกำลังจะผ่านพ้นไป กลับมีสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ยอดดาวน์โหลดของเรื่องสะพานแขวนตงตงหล่นลงมาซึ่งเดิมทีถูกทับอยู่ในอันดับที่สองก็เริ่มเพิ่มขึ้นกะทันหัน
คล้ายกับว่ามีแนวโน้มกลับมาขึ้นครองบัลลังก์แชมป์โดยไม่ทันตั้งตัว!
เหตุผลนั้นแสนเรียบง่าย
นั่นก็คือ จู่ๆ บนโลกออนไลน์ก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มา และแสดงความคิดเห็นซึ่งแตกต่างไปจากผู้ที่ต่อต้านเรื่องสะพานแขวนตงตงหล่นลงมาอย่างสิ้นเชิง
‘นิยายเรื่องนี้เป็นผลงานที่ฉู่ขวงใช้ในการทดลองและทบทวนวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนรูปแบบผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้’
‘นี่น่าจะเป็นความคิดก้าวหน้าที่ต่อต้านแนวสืบสวนสอบสวน!’
‘ที่รั้งอยู่ในอันดับสองเป็นเพราะผู้คนเข้าใจเรื่องสะพานแขวนตงตงหล่นลงมาอย่างผิดมหันต์!’
สิ่งที่ขาดไม่ได้บนโลกออนไลน์ก็คือคนที่ตามกระแส
ยามที่มีผู้คนจำนวนมากตำหนิเรื่องสะพานแขวนตงตงหล่นลงมาว่าใช้ความน่าเบื่อมาทำให้เป็นเรื่องสนุก ก็มีเฮละโลตามมาช่วยสมทบ
ยามที่มีคนเริ่มชื่นชมเรื่องสะพานแขวนตงตงหล่นลงมา ว่ามีแนวคิดล้ำหน้า เป็นเกมและใคร่ครวญความคิด ก็มีคนชื่นชมไปตามกระแสเช่นกัน
หลังจากนั้น ทั้งสองกระแสก็เริ่มตีกัน
ในตอนนั้น ชื่อเสียงของฉู่ขวงมีบทบาทอยู่ไม่น้อย
มีผู้อ่านที่สนับสนุนฉู่ขวงบางคนแสดงความคิดเห็นอย่างเศร้าสลด
‘พวกคุณลองใช้สมองคิดดูสักนิด นักเขียนเก่งๆ อย่างฉู่ขวง จะหยิบเรื่องน่าเบื่อมาเขียนให้สนุกง่ายๆ เขียนนิยายสืบสวนสอบสวนรูปแบบผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ออกมาให้ถูกคนด่าเนี่ยนะ?’
แน่นอนว่าไม่ใช่!
หลายคนรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มวิเคราะห์เจตนาที่แท้จริงของฉู่ขวง
ทำไมฉู่ขวงต้องเสียดสีนักเขียนชื่อดังหลายคนในเรื่องสะพานแขวนตงตงหล่นลงมาด้วยล่ะ
ทำไมท้ายที่สุดแล้วถึงบอกว่าฆาตกรคือลิง
ทำไมถึงเขียนให้ตนเองเป็นผู้อ่านและผู้เสียชีวิตในเวลาเดียวกัน
ทำไม…
หลังจากที่คำถามนี้ปรากฏขึ้น ชาวเน็ตซึ่งสันทัดการตีความก็เผยไม้เด็ด เปิดเผยคำตอบที่ชัดเจนออกมา
‘ที่ฉู่ขวงกระทบกระเทียบนักเขียนแนวสืบสวนสอบสวนคงเพราะอยากบอกว่า ท้ายที่สุดแล้ว นักเขียนแนวสืบสวนสอบสวนก็เป็นเพียงนักรบบนกระดาษ ไม่มีนักเขียนสืบสวนสอบสวนคนไหนกลายเป็นนักสืบในชีวิตจริงได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่เขียนขึ้นจากสถานการณ์จำลองเท่านั้น ดังนั้นในนิยาย พวกเขาก็ไม่รู้ว่าฆาตกรเป็นใครเช่นกัน เมื่อคิดหาวิธีไม่ออก หมายความว่าพวกเขาเผชิญกับการฆาตกรรมในความเป็นจริง และไม่มีความสามารถที่จะหาฆาตกร’
‘ฆาตกรเป็นลิงถึงจะนับว่ายอดเยี่ยมที่สุด มีหลายครั้งที่นิยายสืบสวนสอบสวนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้อ่านจะไม่ชอบใจหากไม่ตื่นเต้น พวกเขาไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าสำหรับเหยื่อ เพียงแค่หาตัวฆาตกรให้เจอก็ดีที่สุดแล้ว’
‘ฉู่ขวงเขียนให้ตัวเองเป็นผู้เสียชีวิต บางทีอาจเป็นเพราะเขาคิดว่าแนวทางของรูปแบบผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้นั้นมีหลากหลายเหลือเกิน ง่ายที่จะกลายเป็นสุดโต่ง กลายเป็นเพียงการเล่นคำธรรมดาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน และตัวเขาเป็นผู้คิดค้นรูปแบบผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ จึงต้องแบกรับความรับผิดชอบเรื่องนี้’
‘นี่คือเจตนาของฉู่ขวงที่เขียนให้ตนเองเป็นผู้อ่าน เขาก็เหมือนกับนักอ่านอีกนับไม่ถ้วนที่อ่านสะพานแขวนตงตงหล่นลงมาแล้วรู้สึกหดหู่ เพราะเขารู้สึกว่ารูปแบบผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้เช่นนี้น่าเบื่อ รูปแบบผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ที่แท้จริงควรให้ข้อมูลที่มีความหมายแก่ผู้อ่าน ไม่ใช่การชี้นำให้ตีความข้อความผิดพลาด’
‘เด็กหนุ่มในเรื่อง เป็นตัวแทนของการประลองระหว่างฉู่ขวงซึ่งเขียนรูปแบบผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้จนธาตุไฟเข้าแทรก กับฉู่ขวงในปัจจุบัน!’
‘ว้าว ฟังทุกคนวิเคราะห์กันแล้วถึงได้รู้ว่าในผลงานชิ้นนี้มีการเปรียบเปรยหลายจุด หลายคนเข้าใจนิยายเรื่องนี้ผิดไปแล้ว ฉู่ขวงไม่ใช่คนตื้นเขินแบบนั้นหรอก!’
‘ลองมาคิดให้ละเอียด ฉู่ขวงเพียงแค่อธิบายแนวสืบสวนสอบสวนตามด้วยการหยอกล้อก็แค่นั้น’
‘…’
หลายคนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไร
ที่แท้ฉู่ขวงก็ตั้งใจมากๆ!
บางครั้งคนทั่วไปก็ไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ รอให้กระจ่างแล้ว กระแสคงเทมาทางเรื่องสะพานแขวนตงตงหล่นลงมา
ผลปรากฏว่าเป็นเช่นนั้น สะพานแขวนตงตงหล่นลงมากลับขึ้นมาเป็นผู้นำแล้ว
นิยายเรื่องนี้กลับขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้ง นิยายอันดับที่สองย่อมกลับไปอยู่ในอันดับที่สองดังเดิม
คุณพี่นักเขียนซึ่งอยู่ในอันดับสองได้รับประสบการณ์ขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาจากพื้นดินขึ้นฟ้า และกลับลงมาบนพื้นดินอีกครั้ง รู้สึกจุกอยู่ในอกแต่พูดไม่ออก
“พวกคุณกำลังปั่นหัวผมอยู่เหรอเนี่ย?”
เขารู้สึกว่าตนถูกปั่นหัวจริงๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของเขานั้นไม่ใช่เรื่องสำหลักสำคัญ
หลังจากที่การตีความสารพัดรูปแบบปรากฏขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ก็เริ่มมีแฟนคลับเข้าไปไต่ถามในปู้ลั่วของฉู่ขวง ว่าสรุปแล้วเจตนาที่แท้จริงของฉู่ขวงเป็นอย่างไรกันแน่
ไม่ต้องเอ่ยถึงชาวเน็ต
แม้แต่จินมู่เองก็ยังสับสน อดถามหลินเยวียนเป็นการส่วนตัวไม่ได้
“เจตนาที่แท้จริงของหัวหน้าคืออะไรเหรอครับ ทำไมในเรื่องถึงมีฉู่ขวงสองคน หรือว่าอีกหนึ่งคนคือตัวตนอีกด้านหนึ่งของหัวหน้า? เขียนแบบนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉู่ขวงหรอกใช่ไหมครับ หรือว่าหัวหน้ารู้สึกว่าตัวคนเดียวแล้วเหงา เลยหวังว่าบนโลกนี้จะมีคนที่เหมือนตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีก?”
หลินเยวียน “…”
เมื่อคนเหงาเลือกที่จะไม่พูด ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรจะพูด แต่เพราะไม่มีใครให้พูดด้วยต่างหาก
และความเหงา ก็คือยามที่เรามีเรื่องจะพูด แต่กลับไม่มีใครยินดีรับฟัง หรือยามที่มีคนยินดีรับฟัง แต่จู่ๆ เรากลับไม่มีเรื่องจะพูด
เอาเถอะ พูดอะไรที่รู้เรื่องสักหน่อยดีกว่า
สิ่งที่อยู่ในใจของหลินเยวียนในตอนนี้ก็คือ ‘ฉันมีความสุขที่กลับมาได้ที่หนึ่งอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจความคิดของฉันผิดไป’
เช่นเดียวกับที่หลี่ว์ซวิ่นกล่าวไว้ว่า หน้าบ้านเขาปลูกต้นไม้ไว้สองต้น ต้นหนึ่งคือต้นพุทรา อีกต้นหนึ่งก็คือต้นพุทราเช่นกัน[1]
หลินเยวียนนึกไม่ถึง ว่าจะมีวันที่ตนได้กลายเป็นต้นพุทราทั้งสองต้นนั้น และได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน
บนโลกนี้ นับว่าเชี่ยวชาญการอ่านและตีความมากจริงๆ
มิน่าล่ะ ตอนที่ตนสอบ ต่อให้เป็นเพลงที่ตนปล่อยออกไป คะแนนที่ได้ก็มักจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสมอ
สิ่งที่ตนไม่มี ก็คือความคิดเชื่อมโยงแบบที่ชาวเน็ตมี
มีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจจากข้อมูลเบื้องหลังของระบบ
หลังจากที่อังลีถ่ายทำเรื่องชีวิตอัศจรรย์ของพายจบ นักข่าวนับไม่ถ้วนสัมภาษณ์และสอบถามเขาว่าอุปลักษณ์ในภาพยนตร์แท้จริงแล้วหมายถึงอะไร
อังลีไม่ได้ตอบ
นี่เป็นวิธีการที่ชาญฉลาด และควรค่าแก่การเรียนรู้
เพราะฉะนั้นหลินเยวียนจึงไม่คิดจะอธิบาย
ถ้าหากความเข้าใจผิดไม่ได้ส่งผลเสีย ทุกคนจะเข้าใจผิดต่อไปก็ไม่เป็นไร
จะให้เขาไปบอกทุกคนว่า ที่เขียนนิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ก็เพราะระบบลดราคาพอดี แล้วฉันก็อยากเป็นเจ้าแก่ให้สมกับที่ทุกคนบ่นไงล่ะ
หลินเยวียนถึงขั้นคิดว่า ต่อให้อธิบายไปเช่นนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อ
ช่างเถอะ
ในวันสุดท้ายของเดือนพฤษภาคม หลินเยวียนคว้าอันดับหนึ่งไปทั้งน้ำตา
เดิมทีคิดว่า สงครามวรรณกรรมแนวสืบสวนสอบสวนจะจบลงด้วยประการฉะนี้
ที่ไหนได้ เมื่อเดือนมิถุนายนเคลื่อนคล้อยเข้ามา นิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องใหม่ของเหลิ่งกวงก็ปล่อยออกมาสายฟ้าแลบ!
ขณะเดียวกัน
เหลิ่งกวงแท็กฉู่ขวงบนปู้ลั่ว พร้อมกับข้อความสั้นๆ ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดสังเวียนประชันวรรณกรรมอย่างเป็นทางการ
‘โปรดชี้แนะด้วย’
………………………………………..
[1]หน้าบ้านปลูกต้นไม้ไว้สองต้น ต้นหนึ่งคือต้นพุทรา อีกต้นหนึ่งก็คือต้นพุทราเช่นกัน เป็นประโยคซึ่งปรากฏในบทความเรื่อง ‘ราตรียามสารทฤดู’ ของหลี่ว์ซวิ่น ประโยคนี้มีการตีความหลากหลายรูปแบบต่างกันไป เช่น บ้างกล่าวว่าหมายถึงความเปล่าเปลี่ยวและหมดหวังต่อโลกแห่งความเป็นจริงของหลี่ว์ซวิ่น ยามที่เขาเดินออกมาจากบ้าน และพบว่าหน้าบ้านของตนไม่มีอะไรนอกจากต้นพุทรา จึงเกิดความคาดหวังว่าต้นไม้อีกต้นหนึ่งจะแตกต่างกันออกไป แต่กลับพบว่าต้นไม้อีกต้นหนึ่งก็เป็นต้นพุทราเช่นเดียวกัน บ้างก็กล่าวว่าต้นพุทราเปรียบเปรยถึงผู้คน ต่อให้เป็นคนเหมือนกัน แต่กลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันไป บ้างก็ว่าสามารถตีความได้ถึงความสิ้นหวังและความหวังในเวลาเดียวกัน เป็นต้น